ลลิตา หาญวงษ์ เรื่อง
ผู้เขียนไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะ แต่ประสบการณ์เข้าๆ ออกๆ พม่าหลายปีมานี้ทำให้ผู้เขียนอดคิดถึงศิลปะและตัวศิลปินกับการต่อต้านอำนาจของรัฐไม่ได้ นี่ยังรวมถึงความพยายามของศิลปินในการนำเสนอประเด็นทางสังคมใหม่ๆ และความพยายามนำพม่าออกจากกรอบคิดเดิมๆ ที่ไม่พ้นเรื่องศาสนาและวัฒนธรรม ซึ่งเชื่อกันว่า “บริสุทธิ์และดีงาม”
ศิลปะกับศิลปินในที่นี้ หมายถึงจิตรกร นักวาดการ์ตูน นักแสดง จนถึงนักร้อง แม้เราไม่อาจเหมารวมได้ว่าศิลปินทุกคนและศิลปะทุกแขนงต้องออกมาต่อต้านเผด็จการ แต่อย่างน้อยในสังคมพม่าก็มีศิลปินจำนวนหนึ่งที่อุทิศตนให้กับประเด็นทางการเมืองและสังคม บางส่วนประสบความสำเร็จระดับโลก ชื่อเสียงของพวกเขาทำให้ผู้คนจากทั่วโลกเห็นความโหดร้ายของระบอบเผด็จการในพม่า แถมยังกระตุ้นให้คนในสังคมพม่าจำนวนมากตั้งคำถามว่าเมื่อเผด็จการได้เปลี่ยนรูปร่างไปแล้ว สังคมพม่าจะไปทางไหนต่อ
ในบทความชิ้นนี้ ผู้เขียนขอแนะนำให้ผู้อ่านรู้จักกับศิลปิน 3 กลุ่ม 3 แบบ ประกอบไปด้วยศิลปินเพลงฮิปฮอป ศิลปินตลก และศิลปินนักวาดภาพมือฉมัง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสร้างงานศิลปะออกมาต่างกัน แต่เผชิญประสบการณ์ชีวิตไม่ต่างกันนัก ทั้งหมดเคยเป็นนักโทษการเมือง เมื่อพ้นโทษก็ได้สร้างงานในแบบของตนเองพร้อมทั้งสร้างเสริมพลังของคนรุ่นใหม่ ให้ตระหนักถึงคุณค่าของสิทธิมนุษยชน
ศิลปินในพม่าเน้นบทบาททางสังคมของตนมาก ทำให้เราไม่สามารถมองศิลปะในพม่าในแง่มุมอื่นได้ นอกจากศิลปะมีหน้าที่รับใช้สังคมและเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน และการยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชน
ศิลปินกลุ่มแรกที่อยากจะแนะนำให้รู้จักเป็นศิลปินฮิปฮอปที่ประสบความสำเร็จมากในทศวรรษ 2000
ดนตรีฮิปฮอปมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจในพม่า เริ่มจากวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งภายใต้การนำของเซยา ตอ (Zeya Thaw) นักศึกษาหนุ่มจากมหาวิทยาลัยมัณฑะเลย์, อันเนกา (Annega), ยัน ยัน ชาน (Yan Yan Chan) และเฮง ซอ (Hein Zaw) ตั้งวงดนตรีฮิปฮอปในนาม Acid ขึ้นในปี 2000 พวกเขาออกอัลบั้มแรกชื่อ Beginning และได้รับเสียงตอบรับที่ดีอย่างล้นหลาม เรียกได้ว่าเป็นการเปิดสหัสวรรษใหม่ของวงการดนตรีในพม่าที่ถูกผูกขาดโดยดนตรีป๊อปโลกสวย วงฮาร์ดร็อค และเพลงแปลง (เพลงที่นำทำนองเพลงจากต่างประเทศที่กำลังได้รับความนิยมมาใส่เนื้อร้องพม่า)
ความโด่งดังของ Acid ไม่ได้มาจากหน้าตาของนักร้องหรือการนำเสนอดนตรีแนวใหม่เท่านั้น แต่อยู่ที่เนื้อหาของเพลงที่แม้จะร้อยเรียงกันอย่างงดงามแบบบทกวี แต่ก็ดุดันและโจมตีรัฐบาลทหารพม่าชัดเจน พร้อมทั้งสะท้อนปัญหาสังคมอย่างความยากจน ความเหลื่อมล้ำ และการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่กัดกินสังคมพม่ามาหลายสิบปี แรงบันดาลใจของ Acid มาจากเพลงแร็ปสะท้อนสังคมของศิลปินอเมริกันอย่างทูแพค ชาร์เคอร์ (Tupac Shakur)[1] อันที่จริงแล้ว เพลงของ Acid ไม่ได้มีแต่เรื่องการเมืองเท่านั้น พวกเขายังคงต้องสร้างยอดและอยู่รอดในทางธุรกิจด้วยเพลงรักและเพลงฮิปฮอปที่ติดหูไปพร้อมๆ กันด้วย
หลายคนอาจตั้งคำถามว่า ในยุคที่การแสดงออกทางการเมืองเป็นเรื่องยากลำบาก โดยเฉพาะหลังปี 1988 เมื่อนิสิตนักศึกษาเป็นแกนนำประท้วงรัฐบาลทหารจนนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือดในเหตุการณ์ ‘8888’ รัฐบาลสั่งปิดมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ และสอดส่องกิจกรรมทางการเมืองของนักศึกษาเป็นพิเศษ เพลงที่มีเนื้อหาเสียดสีสังคมและการเมืองของ Acid ผ่านตาหน่วยงานด้านการเซ็นเซอร์สื่อของรัฐบาลพม่าที่เข้มงวดอย่างมากไปได้อย่างไร
เนื่องจากฮิปฮอปหรือแร็ปเป็นดนตรีแนวใหม่มากสำหรับพม่า ศิลปินในยุคแรกจึงใช้สัญลักษณ์และการเปรียบเปรยมากมายในเนื้อเพลง ทำให้เจ้าหน้าที่กองเซ็นเซอร์ที่เป็นทหารไม่เข้าใจความหมายซ่อนเร้น จะมีก็แต่ศิลปินและบรรดาแฟนานุแฟนเท่านั้นที่จะ ‘เก็ต’ เนื้อหาซ่อนเร้นทางการเมืองเหล่านี้ แต่ถึงกระนั้น วง Acid ก็ต้องสู้รบกับกองเซ็นเซอร์มาตลอด ปรัชญาการทำเพลงของ Acid คือการหลีกเลี่ยงไม่ให้สมาชิกในวงติดคุก เพราะเท่ากับว่าพวกเขาจะเคลื่อนไหวในแบบของตนเองไม่ได้[2]
ในเวลาต่อมา บทบาททางการเมืองของศิลปินกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้นเมื่อ เซยา ตอ ผู้นำวง Acid เข้าไปร่วมก่อตั้ง Generation Wave ขบวนการคนรุ่นใหม่ที่สนใจการเมืองและการเปลี่ยนแปลงสังคมในปี 2007
ในยุคแรก Generation Wave มีสมาชิกราว 50 คน และเป็นคนหนุ่มสาววัย 15-25 ปีทั้งหมด[3] แนวทางของ Generation Wave ยังไม่ทิ้งวัฒนธรรมแบบฮิปฮอปและสตรีทอาร์ตที่พวกเขาชื่นชอบ คือการพ่นงานกราฟฟิตี้ (graffiti) ไปทั่วเมืองใหญ่อย่างย่างกุ้ง โปรยใบปลิว และเลือกใช้สโลแกนที่จดจำง่าย เช่น แจกสติ๊กเกอร์ที่เขียนว่า CNG ให้คนไปติดไว้หลังรถ (CNG นอกจากหมายถึงรถติดก๊าซ NGV แล้วยังมีความหมายว่า Change New Government หรือเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ด้วย)
แน่นอนว่า อิทธิพลของ Acid ต่อด้วยการเกิดขึ้นของ Generation Wave สร้างความไม่พอใจให้กับรัฐบาลสล็อร์ก (SLORC) ที่ในเวลานั้นมีพลเอกอาวุโสตาน ฉ่วย เป็นผู้บัญชาการใหญ่ เป็นเหตุให้มีการไล่ล่าจับกุมสมาชิก Generation Wave และสมาชิกวง Acid ตั้งแต่ปี 2008 บางส่วนหนีมาตั้งหลักที่ประเทศไทย ขณะที่สมาชิกมากกว่า 1 ใน 3 ถูกจับกุม
เซยา ตอ หัวหน้าวง Acid และหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Generation Wave ถูกจับและถูกตัดสินจำคุก 5 ปี เขาได้รับการปล่อยตัวออกมาในปี 2011 ในช่วงที่มีความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ในพม่า เพราะเป็นปีก่อนที่จะมีการเลือกตั้งซ่อม หลังการเลือกตั้ง พรรคสันนิบาตเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของออง ซาน ซู จี มีที่นั่งในรัฐสภาพม่าเป็นครั้งแรก ความสนใจการเมืองของเซยา ตอ ผลักดันให้เขาเข้าร่วมกับพรรค NLD และได้รับเลือกเข้าไปเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างที่หวัง[4]
ไม่ใช่แต่ศิลปินวัยรุ่นเท่านั้นที่เป็นพลังขับเคลื่อนสังคมในยุคเผด็จการทหาร ศิลปินบางคน เช่น ซากานาร์ (Zaganar) ชื่อในวงการของหม่อง ธุรา (Maung Thura) ซึ่งแปลว่า ‘แหนบ’ ใช้มุกตลกและเสียงหัวเราะเป็นอาวุธในการต่อสู้กับเผด็จการ
ชาวพม่ารู้จักซากานาร์เป็นอย่างดีและยกย่องให้เป็นวีรบุรุษประชาธิปไตยคนสำคัญ เขาอาจมีผู้รู้จักและนับถือมากใกล้เคียงกับออง ซาน ซู จี เลยทีเดียว
ผลงานของซากานาร์คล้ายกับวง Acid เพราะเขาเลือกใช้สัญลักษณ์ การล้อเลียน (parody) และมุกตลกเป็นเครื่องมือต่อต้านเผด็จการ การแสดงของเขาไม่ว่าจะเป็นบนเวที ทั้งในรูปแบบของทอล์คโชว์และการแสดงแบบคณะตลกที่เรียกว่า ‘อะเญง’ (anyeint) รวมถึงการปรากฏตัวบนจอเงินและจอแก้ว ได้รับความนิยมอย่างมาก ซากานาร์เชื่อมั่นในแนวทางประชาธิปไตยและเข้าร่วมการประท้วงต่อต้านรัฐบาลทหารครั้งใหญ่ที่สุดในปี 1988 แต่ถูกจับกุมและถูกส่งไปเรือนจำอินเส่ง (Insein) เรือนจำควบคุมนักโทษการเมืองและมีชื่อเสียงในเชิงลบมากที่สุด
หลังจากนั้นเขาก็เข้าๆ ออกๆ เรือนจำหลายครั้ง แต่เนื่องจากเป็นผู้มีการศึกษาดี เรียนจบจากวิทยาลัยทันตแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยย่างกุ้ง เขาจึงใช้ชั้นเชิงในการพูด ให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติเกี่ยวกับสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนในพม่าอยู่บ่อยครั้ง ซากานาร์ยังแชร์อุดมการณ์เดียวกับ Acid พวกเขาเชื่อมั่นว่าพลังของคนหนุ่มสาวจะเป็นรากฐานที่ดีให้กับสังคมในอนาคต ซากานาร์ฝึกคนหนุ่มจำนวนหนึ่งให้เป็นศิลปินตลกในคณะอะเญง
ซากานาร์มิได้ลงไปคลุกคลีกับวงการการเมืองระดับชาติอย่างเต็มตัว (เคยเป็นหนึ่งในคณะกรรมการสอบสวนหลังเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในรัฐยะไข่ ระหว่างชาวพุทธยะไข่กับชาวโรฮิงญาครั้งแรกในปี 2012 แต่คณะกรรมการนี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก) ในปัจจุบัน เขาเป็นผู้ก่อตั้ง HOME (The House of Media and Entertainment) องค์กรที่ทำหน้าที่เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในพม่า
ในส่วนของศิลปินประเภททัศนศิลป์ ธีมของศิลปะร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงในพม่าเกือบทั้งหมดเป็นเรื่องการเมือง มีจำนวนน้อยที่นำเสนอเรื่องสังคมและวัฒนธรรมอื่นๆ ศิลปินบางส่วนเคยเป็นนักโทษการเมือง และใช้สื่อผสมผสานเพื่อแสดงออกถึงการปิดกั้นเสรีภาพในยุคเผด็จการทหาร ศิลปินชาวพม่ากลุ่มนี้ได้รับโอกาสในต่างประเทศ บางคนเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง และเคยเป็นนักโทษการเมืองมาก่อน
เทง ลิน (Htein Lin) เป็นศิลปินร่วมสมัยที่อาจเรียกได้ว่ามีชื่อเสียงที่สุดในพม่ายุคปัจจุบัน จนได้รับยกย่องว่าเป็น ‘บรมครู’ (grand master) แห่งวงการศิลปะร่วมสมัยในพม่า[5] ชีวิตของเทง ลิน ไม่ต่างจากศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ในโลกตะวันตกนัก เพราะเต็มไปด้วยดราม่า ปม และความขมขื่นนานา
ชีวิตและชะตาชีวิตของเทง ลิน ก็คล้ายๆ กับนักการเมืองและศิลปินอีกหลายชีวิตในพม่าที่ล้วนเคยใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำ ถูกซ้อมทรมาน และถูกพรากจากคนที่รัก แต่ทุกคนล้วนมีความหวังและความใฝ่ฝันว่าพม่าจะมีอนาคตที่ดีกว่าเดิม
เทง ลิน นิยามตนเองว่าเป็นศิลปินและนักเขียน ไม่ใช่นักเคลื่อนไหวทางการเมือง[6] เมื่อครั้งอยู่พม่า เขาไม่เคยเรียนในโรงเรียนศิลปะ แต่พัฒนาความชื่นชอบศิลปะร่วมสมัยเมื่อเข้าร่วมการประท้วงในปี 1988 และต้องหลบหนีการจับกุมของรัฐบาลเข้าไปในฝั่งอินเดีย เขาใช้เวลาถึง 4 ปีในค่ายผู้อพยพชายแดนอินเดีย-พม่า และชายแดนจีน-พม่า เมื่อกลับไปพม่าและเริ่มเลี้ยงชีพโดยการเป็นนักแสดง เขาก็ถูกจับด้วยข้อกล่าวหาว่าดำเนินกิจกรรมอันเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาล
ในช่วงที่อยู่ในเรือนจำถึง 6 ปี เทง ลิน เริ่มงานศิลปะด้วยวัสดุที่พอจะหาได้ในเรือนจำ เช่น เสื้อนักโทษที่เขาใช้ทดแทนผืนผ้าใบเพื่อวาดรูป เข็มฉีดยาที่เขาใช้ระบายสีแทนพู่กัน และไหว้วานให้ผู้คุมเรือนจำที่คุ้นเคยกัน (พร้อมกับเงินใต้โต๊ะอีกเล็กน้อย) ซื้อสีน้ำ สีน้ำมัน และสีทาบ้านเข้ามาให้[7] ในช่วงหลายปีที่อยู่ในเรือนจำ เขาแอบนำรูปออกมาได้ถึง 300 รูป รูปที่เทง ลิน วาดในช่วงแรกๆ สื่อให้เห็นถึงความทุกข์ทรมานของนักโทษการเมืองในพม่า ที่ต้องอยู่ในเรือนจำที่คับแคบและมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนนักโทษอยู่บ่อยครั้ง
นอกจากภาพวาดและประติมากรรมบางส่วนจากช่วงที่เทง ลินอยู่ในเรือนจำแล้ว ยังมีงานศิลปะอีกบางส่วนที่ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างดี จริงอยู่ว่าปัจจุบันพม่าเริ่มเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นแล้ว แต่เทง ลิน และศิลปินร่วมสมัยในพม่าก็เห็นพ้องกันว่าศิลปินยังต้องสร้างความตระหนักรู้ให้กับสังคมอยู่ ทั้งเรื่องประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ศิลปะกับสังคม และเรื่องอื่นๆ
งานแสดงครั้งใหญ่ที่สุดของเทง ลิน ใน ปี 2015 มีชื่อว่า ‘A Show of Hands’ เป็นงานที่บอกเล่ามุมมองของเขาเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับนักโทษการเมืองในพม่า เขาใช้ปูนปลาสเตอร์หล่อมือของอดีตนักโทษการเมืองในพม่าที่อยู่ทั้งในและนอกประเทศ และจัดแสดงมือดังกล่าวหลายร้อยชิ้น
ไอเดียนี้เกิดขึ้นตอนที่เขาประสบอุบัติเหตุจนทำให้แขนหัก หมอที่ลอนดอนใช้เฝือกปูนปลาสเตอร์ดามกระดูกเขาให้เชื่อมกัน ทำให้เขาเริ่มสร้างงานศิลปะว่าด้วย ‘การหัก การซ่อมแซม และการรักษา’[8] งานแสดงชิ้นสำคัญนี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่สำคัญในพม่า กล่าวคือในปี 2012-13 มีนักโทษการเมืองหลายพันคนที่ได้รับอิสรภาพ หลังมีการปฏิรูปการเมืองในสมัยประธานาธิบดีเตง เส่ง เขา ‘ขอมือ’ เพื่อนๆ ของเขาเพื่อมาจัดแสดง เพื่อบอกเล่าความทารุณโหดร้ายที่นักโทษการเมืองในพม่าต้องประสบจากสภาวะการเมือง สังคม และเศรษฐกิจพม่าที่แตกสลาย
ผู้เขียนมีโอกาสพบกับเทง ลิน หลายครั้ง เมื่อครั้งที่พำนักอยู่ที่ลอนดอน เพราะครูสอนภาษาพม่าของผู้เขียนรู้จักคุ้นเคยกับเทง ลิน และภรรยา วิกกี้ โบว์แมน (Vicky Bowman) อดีตเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำพม่าเป็นอย่างดี และมีโอกาสได้ไปชมงานจัดแสดงชุดแรกๆ ของเขา หรือที่รู้จักกันว่าเป็นศิลปะจากในคุก
เทง ลินอาจโชคดีกว่าศิลปินพม่าหลายๆ คน ตรงที่เขามีโอกาสได้ทำงานศิลปะนอกพม่า ประสบการณ์ 6 ปีของเขาในลอนดอนนำพาให้เขาไปพบกับแกลลอรี่ชั้นนำ หน่วยงานที่ทำงานด้านศิลปะกับสิทธิมนุษยชน และนักสะสมศิลปะจากทั่วโลก งานของเทง ลินถูกกว้านซื้อโดยแกลลอรี่ในต่างประเทศ
เนื่องจากงานของเขากล่าวถึงสิทธิมนุษยชนและปัญหาทางการเมืองของพม่าเป็นหลัก เขาจึงได้รับความสนใจจากผู้นิยมศิลปะและหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนทั่วโลก เทง ลินจึงกลายเป็นกระบอกเสียงประกาศให้โลกรู้ถึงความป่าเถื่อนในสังคมที่ถูกเผด็จการทหารครอบงำมาหลายสิบปี และไม่แปลกที่ใครหลายคนจะเรียกเขาว่า ‘อ้ายเหว่ยเหว่ย แห่งพม่า’
ผู้เขียนเคยได้ยินศิลปินและภัณฑารักษ์บางคนพูดว่า “ศิลปะคือการเมืองในพม่า”[9] กล่าวคือศิลปินเกือบทั้งหมดเลือกสร้างสรรค์งานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับการเมือง พวกเขาใช้งานศิลปะและจินตนาการที่ไม่สิ้นสุดบอกเล่าประสบการณ์อันแสนบอบช้ำ และส่งข้อความให้ชาวโลกเห็นความระยำตำบอนของระบอบเผด็จการทหาร
นี่คือหน้าที่ของศิลปะเพื่อชีวิตและเพื่อสังคม ซึ่งอยู่คู่กับสังคมพม่ามาช้านาน
แม้ในปัจจุบันการเมืองและสังคมพม่าจะเดินไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ศิลปินในพม่าก็ยังไม่หยุดกระตุ้นเตือนให้สังคมเห็นว่ายังมีปัญหาอีกมากมายในสังคมที่รอการแก้ไข และประชาธิปไตยมิได้เป็นเพียงการเปลี่ยนรัฐบาลหรือการปฏิรูปการเมืองแบบผิวเผิน ศิลปะคอยเตือนให้สังคมตระหนักรู้อยู่เสมอว่าความคิดและจินตนาการยังเป็นสิ่งสำคัญของการสร้างสังคมสมัยใหม่ หลังยักษ์ใหญ่อย่างพม่าหลับใหลมานานถึง 5 ทศวรรษ
เชิงอรรถ
[1] “Rapping on the frustrations of life in Burma,” Mizzima, 26 May 2011: http://archive-1.mizzima.com/edop-38165/features-1591/5327-rapping-on-the-frustrations-of-life-in-burma
[2] “Acid – Myanmar’s hip-hop godfathers – to reunite at the Clubhouse tonight,” Coconuts Yangon, 22 September 2017: https://coconuts.co/yangon/lifestyle/acid-myanmars-hip-hop-godfathers-reunite-clubhouse-tonight/
[3] “‘Generation Wave’ youths challenge Burmese junta,” The Observers, 9 January 2010: http://observers.france24.com/en/20100901-generation-wave-youths-challenge-burmese-junta-burma-graffiti
[4] Nyein Ei Ei Htwe and Myo Satt, “Veteran Myanmar rappers pass the ACID test,’ Myanmar Times, 3 August 2015: https://www.mmtimes.com/lifestyle/15799-veteran-myanmar-rappers-pass-the-acid-test.html
[5] Lae Phyu Pya Myo Myint, “Myanmar: the deal of the art,” The Myanmar Times, 13 July 2017: https://www.mmtimes.com/lifestyle/26793-myanmar-the-deal-of-the-art.html
[6] ดูประวัติและที่มาของงานเทง ลินได้ที่เว็บไซต์ของเขา: http://www.hteinlin.com/about/
[7] Jane Perlez, “From a Burmese Prison, a Chronicle of Pain in Paint,” The New York Times, 23 August 2013: http://www.nytimes.com/2007/08/13/world/asia/13prisoners.html
[8] “A Show of Hands by Htein Lin”: http://www.hteinlin.com/a-show-of-hand/
[9] “BRANDNEW 2017 Art Project – Haymann Oo (Curator)”: https://www.youtube.com/watch?v=4 tBAncu95 MU&feature=youtu.be