เห็นคนพูดกันว่าเดี๋ยวนี้อ่านหนังสือ รู้สึกว่านักเขียน/นักแปลใช้ภาษายากเกินไป อ่านแล้วไม่เข้าใจ ลุงคิดเห็นกับเรื่องอย่างไรบ้างครับ – ป๊อป
ตอบคุณป๊อป
ลุงอยากให้มองเรื่องนี้ในมุมของภาษา ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับมุมของการเมือง
ลุงว่าภาษาไทยมีกรรมอยู่ตรงที่หน่วยงานซึ่งรับผิดชอบเรื่องการใช้ภาษานั้นต้วมเตี้ยม [ว. อาการที่ค่อยๆ เดินหรือคลานไปอย่างช้าๆ] และเชย [(แสลง) เร่อร่า เด๋อด๋า เปิ่น] คือทำงานแหละครับแต่มักจะช้า ไม่ทันกิน จนหลายครั้งตกเป็นจำเลยสังคม ทั้งที่จริงๆ แล้วควรเป็นผู้พิพากษา คือว่าไม่มีใครเห็นหัว [ก. คำพูดแสดงว่า ผู้อื่นซึ่งตนถือว่าอ่อนอาวุโสกว่า หรือเป็นผู้น้อยกว่า กระทำการข้ามหน้าข้ามตา] บางครั้งประกาศอะไรออกมาก็โดนชาวบ้านเอามาล้อเลียนเหมือนเรื่องตลก เพราะตนสื่อสารไม่เป็น ติดแหงกอยู่ในแบบแผนและวาทกรรม [น. การถกเถียงในประเด็นที่ยกขึ้นมา] ของระบบราชการ จนคุยกับชาวบ้านไม่รู้เรื่องแล้ว
กรรมอย่างที่สองของภาษาไทยคือ หน่วยงานเหล่านั้นยังติดในกรอบมาตรฐานของวิจิตรภาษาของวรรณคดี และติดทัศนะสั่งสอนฉันเกิดก่อนย่อมต้องรู้ดีกว่าเธอ อีหรอบเดียวกัน [(สำนวน) ทำนองเดียวกัน แบบเดียวกัน (มักใช้ในทางที่ไม่ดี)] คนเลยติดภาพว่าการใช้ภาษาให้ถูกความหมายกลายเป็นเรื่องล้าสมัย ก็ภาษามันควรจะมีชีวิต มีความวิวัฒน์ [น. ความคลี่คลายไปในทางที่เจริญ] เปลี่ยนแปลงไม่ใช่หรือ ภาษาต้องตามโลกให้ทันสิ
มุมหนึ่งนั้น คุณค่าของภาษาแต่ละภาษาตามมาตรฐานสากล เขาวัดกันที่ความซับซ้อน ทว่าแม่นเป๊ะของหลักไวยากรณ์ (ซึ่งไม่ใช่จุดแข็งของภาษาไทย) และวัดกันที่จำนวนศัพท์ ศัพท์ยิ่งเยอะก็ยิ่งรุ่มรวย ถือว่าคนชาตินั้นมีปัญญาใช้ภาษาของตน สร้างศัพท์ไว้เรียกขานทุกสิ่งในโลกได้โดยไม่ตกหล่น เพราะในที่สุดแล้วภาษานั้นมีไว้สื่อสาร ยิ่งสื่อสารได้มีประสิทธิภาพ ภาษาก็ยิ่งมีราคา
แล้วก็… ถ้าเราแม่นเรื่องความหมายของคำ จะไม่มีการใช้คำอย่าง ‘สวยสะพรึง’ [สะพรึงกลัว ว. พรั่นพรึง รู้สึกหวาดหวั่น] หลุดมาในโฆษณาเครื่องสำอาง (และอื่นๆ) ซึ่งจะว่าไปลุงว่าคำนี้มันก็ตลกดีนะครับ แต่บางคนที่เขาจริงจังอาจตลกไม่ออก
อีกแง่มุมนะครับ ระนาบความสัมพันธ์ระหว่างคนกับภาษาก็ไม่น่าจะต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างคนกับกฎหมาย สายนิติศาสตร์จะบอกว่า ‘ความไม่รู้กฎหมายไม่ใช่ข้อแก้ตัว’ คือการรู้กฎหมายคือหน้าที่ของพลเมืองไทย ไปทำผิดแล้วจะมาอ้างว่าทำไปเพราะไม่รู้กฎหมายไม่ได้
ความรู้ภาษาก็น่าจะเป็นหน้าที่หนึ่งของเรา อ่านอะไรไม่เข้าใจแล้วก็ต้องค้นคว้า การเอาแต่บ่นว่ายากก็เหมือนฟ้องว่าเราเป็นคนขี้เกียจค้น
ต้องเปิดหูเปิดตาและอ่านให้มากครับ
นี่ก็อยากจะเปิดหูเปิดตาอ่านภาษาที่เด็กๆ เขาใช้กันอยู่เหมือนกัน ใครนึกออก ช่วยแนะนำด้วยว่าควรอ่านอะไร จะเป็นพระคุณ
เพราะลุงยังไม่อยากตกยุค
ลุงคะ ช่วงที่ผ่านมาได้ยินข่าวคนพูดเรื่องดราม่าไลฟ์แม่ค้าออนไลน์ แล้วมีคนเดาว่าเดี๋ยวแม่ค้าจะรวบผม ใส่ชุดสีสุภาพมาขอโทษ (แล้วก็ใส่มาจริงๆ ด้วยสิ) มีคนสังเกตด้วยว่าหลายครั้งที่มีคลิปขอโทษจะมีการแต่งตัวคล้ายกันแบบนี้ เลยแอบสงสัยค่ะว่าเวลาใส่ชุดออกขอโทษต่อหน้าสาธารณะแล้ว เขามีกฎหรือเคล็ดลับอะไรกันหรือเปล่านะ – แก้ม
ตอบคุณแก้ม
กฎเกณฑ์คือเราต้องขอโทษด้วยความจริงใจ แสดงออกว่าเราสำนึกผิด เท่านั้นแหละครับ ถ้าสื่อสารออกไปแบบนั้นได้ ก็ไม่มีใครเขาใจร้ายกับคุณหรอก แต่ถ้าบังเอิญว่าเราขอโทษด้วยความจริงใจไม่ได้ ก็ถึงเวลาที่จะต้องหาตัวช่วย
จากสองสามปีที่เคยทำงานด้านทีวีมาบ้าง ลุงสรุปได้อย่างหนึ่งว่า ‘คุณหลอกใครก็ได้ แต่หลอกกล้องทีวีไม่ได้’ เพราะเวลาพูดนี่กล้อง (ภาพเคลื่อนไหว) มันจะจับสีหน้าแววตาภาษาท่าทางได้อย่างจะๆ เหมือนกล้องมันฟ้องเก่งกว่าที่ตาเราเห็นจริงๆ เสียอีก คือถ้าสื่อสารขอโทษให้เห็นความจริงใจไม่ได้ เราก็ต้องแต่งตัวครับ ก็คงออกแนวรวบผมใส่ชุดเรียบร้อยอย่างที่คุณว่ามานั่นแหละ
บังเอิญเราอยู่ในยุคที่วัฒนธรรมการขอโทษเป็นเรื่องอ่อนแอระดับชาติ บ้านเมืองอย่างเมืองไทยซึ่งมีขนบรายละเอียดเกี่ยวกับการขอขมาอย่างมีความหมายและงดงาม แต่มีนายกฯ ที่ยังให้สัมภาษณ์ว่า “ขอโทษด้วยก็แล้วกัน” (กรณีพูดชื่อวัคซีนผิดเมื่อปีสองปีที่แล้ว) ดังนั้นถ้าแม่ค้าคนนั้นเขาจะขอโทษไม่เป็น ลุงก็ไม่โทษแกหรอกครับ
Agony uncle หมายถึง ชายเจ้าของคอลัมน์ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตทั่วไป ในช่วงแรกๆ ลุงเฮม่าจะเน้นเรื่องกฎเกณฑ์ เพราะคิดว่ามันน่าจะช่วยให้เราอยู่ร่วมกันได้ในฐานะเพื่อนมนุษย์ แต่หลังจากเขียนคอลัมน์นี้มาได้ปีสองปีก็เริ่มตาสว่าง และที่สำคัญคือ หลังจากโลกรอบตัวมีแต่กฎเกณฑ์และการใช้อำนาจ (ซึ่งส่วนใหญ่มีไว้เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ออกกฎ) ลุงเลยเปลี่ยนแนวมาเขียนตอบโดยเริ่มที่กฎเกณฑ์ แล้วตามด้วยวิธีหลอกล่อเล่นสนุกกับกฎนั้นๆ แทน
**ส่งคำถามมาได้ที่ [email protected]