พันธวัฒน์ เศรษฐวิไล เรื่อง
สุภาวดี กลั่นความดี ภาพ
มันเป็นห้องมืดๆ สลัวๆ เปิดแอร์เย็นมาก เรามีแต่ชุดที่ใส่ไปทะเล ส่วนพวกเขาใส่สูทกัน ตอนนั้นรู้สึกว่าต้องตอบให้มันผ่านไป เพื่อให้เราได้ออกจากที่นี่…
22 ตุลาคม 2011 ชื่อของ Book Re:public ปรากฏขึ้นครั้งแรกในฐานะร้านหนังสืออิสระ ปักหมุดอยู่บนถนนเลียบคลองชลประทาน ตัวเมืองเชียงใหม่ มุ่งขายหนังสือประเภทวิชาการเป็นหลัก ควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมเสวนาประเด็นแหลมคม
‘อ้อย’ รจเรข วัฒนพาณิชย์ เอ็นจีโอสายสิ่งแวดล้อมที่มีส่วนสำคัญในการผลักดัน ‘พ.ร.บ.ป่าชุมชน’ คือเรี่ยวแรงสำคัญที่ปลุกปั้นพื้นที่แห่งนี้ขึ้นมา ร่วมกับเพื่อนพ้องนักวิชาการ-นักเคลื่อนไหวในเชียงใหม่อีกหลายชีวิต
จากวิกฤตการเมืองเหลือง-แดง สู่การสลายการชุมนุมใจกลางกรุงของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในปี 2010 จุดประกายให้เธออยากสร้างพื้นที่พบปะเสวนา ยกความรู้ลงมาจากหิ้ง ค้นหาความจริงของหลายคำถามที่ยังคลุมเครือ
วันเวลาผ่านไป Book Re:public กลายเป็นชุมชนเล็กๆ ของกลุ่มคนที่สนใจสังคมการเมืองในเชียงใหม่ หลากความคิดในวงเสวนา-เวิร์คช็อป แพร่กระจายผ่านโซเชียลมีเดียไปสู่คนวงกว้าง สร้างแรงกระเพื่อมในสังคมอย่างมีนัยสำคัญ
22 พฤษภาคม 2557 คณะรัฐประหารนำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อาสาเข้ามาควบคุมความสงบของบ้านเมือง เปิดฉากด้วยการประกาศชื่อผู้ที่ต้องสงสัยว่ากระด้างกระเดื่องต่อรัฐ เรียกเข้าไปปรับทัศนคติในค่ายทหาร — รจเรขคือหนึ่งในนั้น
“เป็นร้านขายหนังสือที่เสี่ยงต่อความมั่นคงของรัฐ ปลุกระดมคน ปั่นสมองคน และกิจกรรมที่ร้านเราจัดก็เป็นการล้างสมองเยาวชน” คือเหตุผลที่เธอได้รับจากเจ้าหน้าที่
หลังจากถูกปล่อยตัว เธอปิดร้านหนังสือชั่วคราว และกลับมาเปิดใหม่อีกครั้งในทำเลใหม่ย่านกองบิน 41
ไม่ใช่ว่าไม่เข็ด ไม่ใช่ว่าไม่กลัว เหตุผลของการกลับมาเปิดร้านนั้นเรียบง่าย คือเธอไม่ได้ทำอะไรผิด
ปลายเดือนพฤษภาคม 2562 Book Re:public ประกาศปิดตัวชั่วคราวอีกครั้งด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ พร้อมส่งท้ายด้วยงานเสวนา ‘ชาติที่เรา(จะ)รัก : 79 ปี นิธิ เอียวศรีวงศ์’
ไม่ทิ้งช่วงให้รอนาน หลังจากใช้เวลาปลุกปั้นงานเวิร์คช็อปกับกลุ่มศิลปินและเยาวชนรุ่นใหม่มาสักระยะ รจเรขตัดสินใจกลับมาทำร้านอีกครั้ง–ที่บ้านของเธอเอง
ก่อนได้ฤกษ์เปิดร้านช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ 101 นัดสนทนากับเธอยาวๆ ไล่เรียงตั้งแต่ประสบการณ์หดหู่ในค่ายทหาร มุมมองต่อการทำงานเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคมหลังรัฐประหาร การทำงานกับเยาวชนคนรุ่นใหม่ และความหวังที่เธอมีต่อสังคมไทยในฐานะ ‘คนรักชาติ’ คนหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ที่คุณย้ายร้านม าหลายครั้ง แต่ยังไม่คิดที่จะย้ายมาอยู ่ที่บ้านตัวเอง เพราะอะไร
เราตั้งใจว่าจะไม่ย้ายไปไหน อีกด้วยการย้ายมาอยู่ในที่ข องตัวเอง เพราะทุกทีเราจะไปเช่าพื้นท ี่คนอื่น ย้อนไปตอนที่มีปัญหาช่วงหลั งรัฐประหาร ก็คิดว่าจะย้ายร้านมาบ้านตั วเองเลยดีมั้ย หลายคนก็ค้าน หลายคนก็บอกว่ามาเลย เรารู้สึกเกรงใจเพื่อนบ้านด ้วย ถ้าจัดกิจกรรมแล้วทหารมาที่ บ้าน เพื่อนบ้านคงไม่สบายใจ
แต่พอถึงจุดนึง บริเวณรอบบ้านเรากลายเป็นพื ้นที่ที่ไม่ใช่บริเวณบ้านที ่อยู่อาศัย 100% แล้ว มีอะไรเพิ่มขึ้นมาเยอะในช่ว ง 3-4 ปีที่ผ่านมา แล้วเพื่อนบ้านเองก็บอกให้ก ลับมาอยู่ที่บ้านนี่แหละ ก็คิดว่าได้เวลาแล้ว ลงแรงกับมันอีกสักตั้ง ข้างหน้าห้องหนังสือจะทำเป็ นบริเวณที่นั่ง กินน้ำชา นั่งอ่านหนังสือได้ และจะทำสวนอีกเล็กน้อย มีต้นไม้เพิ่ม ทำที่จอดรถด้านหน้าร้าน ในร้านก็เหลือแค่จัดของให้ล งตัวเท่านั้นเอง
พอจะกลับมาเปิดร้านหนังสืออ ีกครั้ง ความกังวลต่างๆ ที่เคยมีลดน้อยลงมั้ย
ถ้าเรื่องการโดนสอดส่อง หลังๆ ไม่ค่อยมีแล้ว เขาไม่ค่อยมาแล้ว อย่างช่วงที่เปิดร้านครั้งท ี่สอง เขาก็ยังมากันอยู่ มาทุกครั้ง จัดเรื่องอะไรก็มา มาเพื่อจดโน้ต แล้วส่งให้นาย แต่ช่วงหลังเขาก็เปลี่ยนเป้ าใหม่ อาจไปที่อื่นบ้าง เพราะมันมีเยาวชนกลุ่มใหม่ๆ เกิดขึ้นมาเต็มไปหมดที่ไม่ไ ด้เห็นดีเห็นงามกับความเป็น ไปของ คสช.
ถามว่าเรายังเป็นที่จับตามอ งมั้ย ก็ยังคงเป็นอยู่ แต่ก็ไม่น่าจะหนักเท่าเดิมแ ล้วค่ะ เพราะจริงๆ แล้วเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะทำแ บบนั้น ถ้านับว่าหลังเลือกตั้งแล้ว นะ เขาไม่ควรมีสิทธิ์แล้ว
เรื่องการจัดกิจกรรม ถ้าคุณมองว่าเขาไม่มีสิทธิ์ มาสอดส่องหรือคุกคามแล้ว เพดานของหัวข้อการเสวนา สิ่งที่อยากนำเสนอ สามารถไปได้ไกลแค่ไหน ยังไง
ปัญหาตอนนี้คือมันมี พ.ร.บ.คอมฯ อยู่ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ก็ยังมีอยู่ ไม่ใช่ว่าเลือกตั้งแล้วจะหา ยไปทั้งหมด ถ้าย้อนไปช่วงก่อนรัฐประหาร ถือว่าเป็นช่วงเบ่งบานของกา รจัดเสวนามาก ตอนนั้นพวกเราอยากจัดเสวนาเ พื่อสร้างความรู้ชุดใหม่ให้ กับสังคม ตั้งคำถามกับบางเรื่องที่เค ยแต่ซุบซิบกันอยู่ลับๆ ทำยังไงจะพูดถึงมันในที่สาธ ารณะได้ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของควา มเป็นวิชาการ
ถ้าให้กลับไปทำแบบนั้นในตอน นี้ เราต้องกลับมาดูว่าจริงๆ แล้วมันราบคาบจริงมั้ย รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลของพ ลเรือนจริงหรือเปล่า ซึ่งไม่ใช่ ฉะนั้นการคุยกันก็ยังต้องระ วังตัวอยู่ เรายังไม่อยู่ในสถานะที่จะเ อาตัวเองเข้าไปเสี่ยงคุกเพี ยงเพราะทำเรื่องแค่นี้ ซึ่งถ้าเกิดเราโดนจับจริง มันอาจไม่ได้ส่งผลหรือเกิดป ระโยชน์อะไรกับสังคมเลยก็ได ้ เลยไม่รู้ว่าจะต้องเอาตัวเอ งไปเสี่ยงแบบนั้นทำไม
พูดง่ายๆ ว่าก็มีเส้นอยู่
ทุกคนมีเส้นหมดแหละค่ะ ความกล้าเป็นคนละเรื่องกับค วามบ้าบิ่น เวลาจะทำกิจกรรมอะไรมันต้อง ผ่านการคิดมาก่อนอยู่แล้ว ว่าทำไปเพื่ออะไร มีปัจจัยแวดล้อมอะไรบ้างที่ ต้องคำนึง ความเสี่ยงเป็นยังไง ข้อจำกัดคืออะไร นี่คือเครื่องมือในการคิดขอ งนักกิจกรรมทุกคนด้วยซ้ำเวล าจะทำอะไรสักอย่าง
แต่ในแง่หนึ่ง ก็มีเส้นบางๆ อยู่ระหว่างการคิดให้รอบคอบ กับการเซ็นเซอร์ตัวเอง
ถ้าเราเซ็นเซอร์ตัวเองเราอา จเลิกทำร้านหนังสือไปเลย ถ้าย้อนไปตั้งแต่ตอนรัฐประห าร แล้วเราโดนกดดัน จนต้องปิดร้านไปในช่วงนั้น พอเรากลับมาเปิด ทุกคนจะพูดทำนองเดียวกันว่า ยังกลับมาเปิดอีกเหรอ ซึ่งเราก็ยืนยันว่าจะเปิด
คำถามคือที่ผ่านมาเราทำอะไร ผิด ถ้าเรายอมปิดถาวร แปลว่าเรายอมรับโดยปริยายว่ าการที่เขามากดดันเรา เราทำผิดจริง ถึงต้องปิดตัวไป แต่เรายืนยันที่จะเปิด ต่อให้เขาไปกดดันเจ้าของที่ เพื่อไม่ให้เราทำต่อ เราก็จะย้ายไปหาที่ใหม่ แม้มันจะเล็กลง แคบลง เป็นห้องแถวแค่ห้องเดียว เราก็จะทำ
ตอนที่เรากลับมาเปิดครั้งที ่สอง วันแรกเขาก็ส่งคนมาเลย พูดมาประโยคหนึ่งว่า ข้างบนรู้แล้วนะว่าคุณเปิดร ้านใหม่อีกรอบ เราก็อ๋อค่ะ แล้วไง มันคือการยืนยันว่าสิ่งที่เ ราทำมันไม่ผิด
ถ้าเราเซ็นเซอร์ตัวเองตั้งแ ต่แรก ถ้าเราโดนคุกคามแล้วเรากลัว จนเกินไป เราคงไม่กลับมาทำต่อแล้วค่ะ คงไปทำอย่างอื่นแล้ว แต่ทุกวันนี้เราคิดว่าทุกคน ไม่เว้นใครก็เซ็นเซอร์ตัวเอ งอยู่แล้ว จะน้อยจะมาก หรือจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ต ัวก็ตาม
ย้อนไปช่วงหลังรัฐประหาร ช่วงไหนที่คุณเจอการคุกคามห นักที่สุด
ช่วงหลังรัฐประหารไม่กี่วัน มีรถ GMC กับรถตำรวจหลายคันมาที่หน้า ร้าน และมาที่บ้านด้วย บางวันมีเจ้าหน้าที่เข้ามาใ นร้าน ขอดูบัตรประชาชนของลูกค้าทุ กคนที่อยู่ในร้าน บางวันก็ส่งเจ้าหน้าที่นอกเ ครื่องแบบมาดูหนังสือแต่ละเ ล่ม เช็คว่ามีเล่มไหนสุ่มเสี่ยง มั้ย มันคุกคามและละเมิดอย่างถึง ที่สุดแล้ว
ตอนนั้นก็มีคนเตือนว่าให้เร าออกจากบ้าน ถ้าไม่ออกเราก็คงถูกหิ้วออก ไป เป็นช่วงที่หนักสำหรับเรามา ก ในชีวิตไม่เคยต้องมาหนีหัวซ ุกหัวซุนแบบนี้
พอเจอคุกคามแบบนี้รู้สึกกลั วมั้ย
บอกไม่ถูกว่ารู้สึกกลัวมั้ย แค่คิดว่าเราต้องเอาตัวรอดไ ว้ก่อน เพราะตอนนั้นไม่รู้ว่าอะไรค ืออะไร ทุกคนบอกว่าหนีออกไปก่อน อย่าเพิ่งให้ถูกจับ จากนั้นพอเรารู้ว่าคนที่ถูก จับไป จะถูกปล่อยตัวภายใน 7 วัน พอออกมาแล้วต้องเซ็น MOU ว่าห้ามเกี่ยวข้องทางการเมื อง ออกนอกประเทศต้องขออนุญาต ฯลฯ ตอนนั้นก็ยังไม่กลัวนะ แค่กังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้น และเราต้องทำอะไรยังไงต่อ
ระหว่างที่หนีอยู่ตอนนั้น เราไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอ กจากเช็คข่าวสารจากมือถือ ว่าเราควรตัดสินใจยังไงกับต ัวเอง จะกลับมาเชียงใหม่ หรือจะอยู่ที่นั่นต่อไป เราออกไปแบบมีเป้ใบเดียว ทุกอย่างทิ้งไว้ที่เชียงใหม ่หมด ขณะที่หลายสิ่งหลายอย่างก็ย ังอยู่ในความดูแลของเรา ทั้งเรื่องร้าน เรื่องครอบครัว แล้วเราจะทิ้งไปได้ยังไง
ผ่านไปสักระยะ ฝุ่นเริ่มจาง เราเริ่มเห็นสถานการณ์ว่าเป ็นยังไง รู้ว่าเขามีสิทธิ์จับเราขัง ได้ 7 วัน ก็คิดว่าเอาวะ กลับไปรายงานตัวซะ ถึงจะโดนจับไปปรับทัศนคติสั ก 7 วันก็ไม่น่าจะเป็นอะไร ขอให้ได้กลับเข้ามาจัดการสิ ่งต่างๆ ก่อน เลยตัดสินใจกลับมา
พอกลับเข้ามารายงานตัวที่เช ียงใหม่ รายงานตัวเสร็จก็ไม่มีอะไร ปรากฏว่าอีกสองอาทิตย์ถัดมา มีชื่อเราอยู่บนทีวี ว่าให้ไปรายงานตัวที่กรุงเท พฯ ภายในวันรุ่งขึ้น ตอนนั้นเรากำลังพาน้องๆ ที่ร้านไปผ่อนคลายที่ทะเลแถ วปราณบุรี เราไม่ได้ดูทีวี แต่มีเพื่อนกระหน่ำหลังไมค์ มาเยอะมาก บอกว่ามีชื่อเราอยู่บนทีวี เรียกให้ไปรายงานตัวที่กรุง เทพฯ
เราต้องรีบออกจากปราณบุรีตั ้งแต่ตี 5 โดยรถตู้ เพื่อที่จะมารายงานตัวให้ทั น ตอนนั้นแหละที่มันหนัก พอถึงกรุงเทพฯ ไปรายงานตัวในค่าย ช่วงดึกประมาณสี่ทุ่ม เขาก็พาเราขึ้นรถตู้ ในรถมีเราเป็นผู้หญิงคนเดีย ว นอกนั้นคือทหาร 5-6 คน แต่ละคนดูขึงขังมาก อย่างกับคุมตัวอาชญากร เราไม่รู้หรอกว่าพาไปไหน กรุงเทพฯ กลางคืนมันมืดหมด พาเราวนไปที่ไหนไม่รู้ แล้วก็ไปเข้าค่ายอีกค่ายนึง
พอไปถึง เราถูกขังอยู่ในห้องๆ หนึ่ง มีห้องน้ำในตัว เหมือนเป็นห้องทำงานของผู้บ ริหารสักคน แล้วเขาก็ล็อคประตูจากด้านน อก บอกว่าถ้ามีอะไรให้เคาะประต ู มีพัดลม มีแอร์ให้ แต่ประตูหน้าต่างปิดหมด เปิดอะไรไม่ได้สักอย่าง วันรุ่งขึ้นตอนสายๆ เขาก็มารับไปค่ายเดิมที่ไปม าเมื่อวาน เพื่อนั่งรอเรียกอีกเกือบทั ้งวัน
ในที่สุดเขาก็เรียกเราให้เข ้าไปเจอคนในห้องประมาณ 10 กว่าคน มีทั้งชุดทหารและชุดดำนั่งล ้อมรอบ เขาใช้วิธี good cop – bad cop ซักถามปรับทัศนคติอยู่ประมา ณเกือบ 3 ชั่วโมง คุยเสร็จก็ต้องไปเซ็นรับคำใ ห้การ ซึ่งตำรวจก็นั่งเทศนาเราอีก ประมาณครึ่งชั่วโมง นึกว่าเสร็จแล้ว แต่ก็ยัง ต้องไปเข้าห้อง DSI อีก เป็นผู้ชาย 2-3 คนใส่ชุดดำ เป็นห้องมืดๆ สลัวๆ ให้เรานั่งโซฟาเหมือนจะสบาย แต่ไม่สบาย แล้วเปิดแอร์เย็นมาก พวกเขาก็ใส่สูทกัน แต่เราไม่ได้เตรียมตัว มีแต่ชุดที่ใส่ไปทะเล บรรยากาศเย็นยะเยือก ตอนนั้นรู้สึกว่าต้องตอบให้ มันผ่านไป เพื่อให้เราได้ออกจากที่นี่
พอออกจากห้อง DSI ก็ต้องมาเซ็น MOU เราถามว่าไม่เซ็นได้มั้ย เขาก็ตอบว่า จะให้ผมต่อสายพูดกับพลเอก XXX มั้ยล่ะ คุณต่อรองกับท่านเอง แล้วก็บอกว่าถ้าไม่เซ็นก็ไม ่ต้องออก ทุกคนเซ็นหมดแหละถึงจะถูกปล ่อยออกไป พอเซ็นเสร็จเขาก็ให้เราขึ้น รถตู้ มีนายทหารคุมมาบนรถเหมือนเด ิม ไปส่งเราที่ที่พักในกรุงเทพ ฯ พอไปถึงก็ต้องถ่ายรูปด้วย ว่ามาส่งถึงจุดหมายแล้ว ไม่ได้หนีหายหรือโดนทำร้ายก ลางทาง
เนื้อหาที่เขาพยายามจะซักถา มเราคืออะไร เขาอยากรู้อะไร
เขาคิดไปเองว่าเราเป็นร้านข ายหนังสือที่เสี่ยงต่อความม ั่นคงของรัฐ ปลุกระดมคน ปั่นสมองคน และกิจกรรมที่ร้านเราจัดก็เ ป็นการล้างสมองเยาวชน
มีประโยคนึงที่เราจำได้ติดห ัวเลย แต่ถือว่าเป็นคำชม เขาบอกว่าสิ่งที่คุณรจเรขทำ มันมีอิทธิพลต่อเยาวชนคนรุ่ นใหม่ของประเทศมาก เราก็อึ้ง จะขอบคุณดีมั้ยเนี่ย (หัวเราะ) มันแปลว่างานที่เราทำก็อาจม ีผลอยู่บ้าง เราก็ถามเขากลับว่า ถ้าเราทำอยู่บนหลักการของปร ะชาธิปไตย แล้วมันผิดอะไรต่อประเทศที่ บอกว่าเป็นประชาธิปไตย เขาก็บอกว่ามันไม่ได้ผิดอะไ รหรอก แต่เป็นภัยต่อความมั่นคงของ ชาติ แล้วก็ยกนิ้วชี้ขึ้นไปข้างบ น เป็นอันเข้าใจว่าหมายถึงอะไ ร ก็อยากถามต่อว่าเป็นภัยอย่า งไรเพราะเราไม่เข้าใจ แต่เหนื่อยแล้วล่ะ พูดไปก็ไม่มีประโยชน์
แต่ละอย่างที่เขาชี้แจงหรือ พยายามพูดให้เราฟัง มีอะไรที่ฟังขึ้นหรือพอเข้า ใจเขาได้บ้างมั้ย
ถ้าพยายามทำความเข้าใจ ก็จะเข้าใจได้ว่าเขากำลังป้ องกันความมั่นคงให้กับชนชั้ นนำ เขากลัวว่ามันจะสั่นคลอน การที่เราทำให้เด็กลุกขึ้นม าตั้งคำถาม ทำให้เด็กเข้าใจเรื่องสิทธิ มนุษยชน เข้าใจว่าประชาธิปไตยอะไร คนเท่ากันคืออะไร
เขาคงกลัวด้วย เพราะตอนที่เราทำ ‘ห้องเรียนประชาธิปไตย’ มีนักเรียนสองรุ่นแรกที่เขา รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ‘วันใหม่’ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ทำกิจกรรมเ ยอะ เช่น ไปรณรงค์เรื่องการปล่อยนักโ ทษการเมืองบ้าง ไปเดินชูป้ายรณรงค์เรื่องปร ะชาธิปไตยที่ถนนคนเดินแถวท่ าแพบ้าง เขาคงมองว่าเราเป็นคนสั่งกา รให้เด็กพวกนี้ไปทำโน่นนี่น ั่น
แล้วคุณมีอิทธิพลกับเด็กๆ อย่างที่เขากล่าวหารึเปล่า
มันไม่มีใครสั่งใครได้หรอกค ่ะ เด็กพวกนี้เขาฟอร์มตัวกันเอ งด้วยความสมัครใจ เราชี้นิ้วบอกใครไม่ได้ เราไม่ใช่ค่ายทหารหรือตำรวจ ที่มีการสั่งการเป็นลำดับชั ้นลงไป
เหมือนเขายังมีความเข้าใจผิ ดว่าต้องมีการสั่งการตั้งแต ่ระดับหัวลงมา แบบในหน่วยงานของเขา แล้วคงคิดว่าถ้ามาคุยกับเรา แล้วเด็กจะเลิกทำกิจกรรม ซึ่งไม่ใช่ เพราะเด็กๆ เขาทำกันเอง เขาเห็นความสำคัญ เห็นความจำเป็นที่จะต้องรณร งค์เรื่องประชาธิปไตยให้หนั กขึ้น แล้วมันไม่ใช่ประชาธิปไตยที ่หมายถึงระบอบการปกครองอย่า งเดียว แต่เป็นประชาธิปไตยในชีวิตป ระจำวัน เราคุยกันทุกเรื่อง เรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องทุนนิยม ไปจนถึงเรื่อง Gender เรื่อง LGBT
เวลาพูดถึงคำว่าประชาธิปไตย หลายคนจะคิดแค่ว่าเป็นระบอบ การปกครอง แต่จริงๆ มันอยู่ในวิธีคิดเรื่องความ เท่าเทียม วิธีคิดเรื่องสิทธิของคนอื่ นด้วย เราไม่ได้ต้องการล้างสมองให ้เด็กเป็นอะไร เป้าหมายเราคือต้องการส่งเส ริมสนับสนุนแนวคิดหลักของสิ ทธิมนุษยชนกับความเป็นประชา ธิปไตยให้กับคนรุ่นใหม่
ทำไมคุณถึงสนใจเรื่องประชาธิปไตย เรื่องสิทธิมนุษยชน เรื่องนี้มีความสำคัญกับสังคมไทยยังไง
เริ่มมาจากตัวเราเองนี่แหละ ที่ได้ยินว่าประเทศไทยเป็นป ระชาธิปไตยมาตั้งแต่เกิด แต่พอเกิดรัฐประหารมาเรื่อย ๆ เกิดเหตุการณ์นองเลือดปี 2010 ที่กรุงเทพฯ ก็เริ่มตั้งคำถามแล้วว่า ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกับประช าธิปไตยในเมืองไทย
เรากับเพื่อนๆ ก็เลยจัดพื้นที่ตรงนี้ขึ้นม า ลองมาคุยกันสิว่าประชาธิปไต ยมันคืออะไร ซึ่งทำให้เราค่อยๆ เรียนรู้ว่ามันไม่ใช่แค่ระบอบการปกครอง แต่มันอยู่ในเนื้อในตัว ในความคิด ในทัศนคติของคน ได้เห็นว่าเวลาอุดมการณ์ทาง การเมืองของคนมันแตกต่างกัน มันไม่ได้แตกต่างแค่ว่าเราต้องการการปกครองแบบไหน แต่มันลงลึกไปในทุกๆ เรื่องเลย ฉะนั้นเมื่อพูดถึงความเป็นป ระชาธิปไตย เราอยากตีความให้มันอยู่ในท ุกมิติ
ถึงวันนี้ ได้พบคำตอบที่อยากรู้หรือยั ง
ก็ยังไม่รู้หรอกว่าประชาธิป ไตย 100% เป็นยังไง แต่ถ้าย้อนไปก่อนหน้านี้สัก 20 ปี เราว่ามันดีกว่านี้นะ ช่วงหลังรัฐธรรมนูญ 2540 แต่พอผ่านไปสักระยะ มันคงไปสั่นสะเทือนหรือสั่น คลอนสถานะบางอย่างของชนชั้น นำ จนทำให้มันต้องหยุดชะงัก
สิ่งที่เราเห็นชัดมากคือ ประเทศไทยมีวัฒนธรรมบางอย่า งที่ฝังรากลึกมาก โดยเฉพาะเรื่องระบบอุปถัมภ์ ผู้น้อยต้องเคารพผู้ใหญ่ สิ่งนี้ฝังรากลึกในสังคมไทย ทำให้ทุกคนไม่สามารถยืนขึ้น ได้เต็มสองฝ่าเท้า เพราะถ้าเรายืดตัวตรงปุ๊บ เราก็เท่าผู้ใหญ่แล้ว นี่พูดแบบเปรียบเปรยนะ ซึ่งเขาคงไม่อยากให้ยืดตัวไ ด้เต็มที่เท่าไหร่
แล้วในภาวะแบบนี้ คุณมีหวังหรือหมดหวังยังไง
เราไม่เคยหมดหวัง อาจเพราะเราได้ทำงานกับคนรุ ่นใหม่ก็ได้ เรายังเห็นความหวังในตัวพวก เขา ทุกยุคทุกสมัยมันจะมีคนแบบน ี้ มีคนที่ขบถเสมอ
ถ้าไม่มีนักศึกษาที่ออกมาตั ้งแต่ยุคก่อนหน้านี้ มันอาจยังเป็นแบบเดิมอยู่ก็ ได้ การที่มีคนยุคใหม่ที่กล้าตั ้งคำถาม กล้าขบถ มันทำให้เกิดความหวังกับคนท ี่อยากเห็นประเทศเคลื่อนไปข ้างหน้า เวลาเราได้ทำงานกับเยาวชนคน รุ่นใหม่ เราเห็นความคิดเขา เห็นความอยากเปลี่ยนแปลงสัง คมที่เป็นอยู่ เขาตั้งคำถามเยอะมากนะ ยิ่งช่วงหลังตั้งแต่ คสช. เข้ามา สิ่งหนึ่งที่ คสช. ทำได้ดีคือทำให้เยาวชนคนรุ่ นใหม่ กระทั่งคนทั่วไปเกิดการตื่น รู้ ลุกขึ้นมาตั้งคำถามมากขึ้นว ่ามันเป็นแบบนี้ได้ด้วยหรือ
เราเห็นความหวังในตัวพวกเขา อยู่ ซึ่งทำให้เราไม่หมดหวังเหมื อนกัน แม้จะมีเรื่องให้รู้สึกหงุด หงิดอยู่ทุกวันก็ตาม (หัวเราะ)
คุณมองว่าคนรุ่นใหม่ทุกวันน ี้ไม่ได้ไร้เดียงสา ขณะเดียวกันชนชั้นนำเอง ก็ไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนกั นรึเปล่า แม้บางสิ่งบางอย่างที่ทำจะด ูไร้เดียงสา ล้าหลัง กระทั่งตกยุคก็ตาม
ใช่ เราว่าเขาไม่โง่นะ เขาอาจฉลาดในแง่ที่ต้องพยาย ามทำทุกอย่างเพื่อให้สถานะข องตัวเองยังคงอยู่ เขาพยายามจะสตาฟฟ์ทุกอย่างไ ว้ ซึ่งเป็นการสตาฟฟ์คนอื่น ยกเว้นตัวเอง แต่ถึงสุดท้ายแล้วไม่มีใครท ี่อยู่ยั้งยืนยงหรอก
ปัญหาคือการอยู่ในเมืองไทยท ุกวันนี้ มันบีบบังคับให้ทุกคนรู้สึก ว่าต้องมีเงิน มีสถานะ ถึงจะอยู่ได้ คนชั้นกลางระดับล่างจึงอยาก เป็นคนชั้นกลางระดับบน คนชั้นกลางระดับบนจึงอยากถี บตัวเองขึ้นไปเป็นชนชั้นสูง แต่การดิ้นรนเอาตัวรอดของตั วเอง เพื่อให้ตัวเองมีเงิน มีสถานะ อาจทำให้เผลอลืมไปว่าเราเคย อยู่ตรงไหนมาก่อน มัวแต่คิดว่าต้องขึ้นไปข้าง บนเพื่อให้คนยอมรับให้ได้ แล้วก็กดคนข้างล่างต่ออีกที หนึ่ง เราว่าสังคมไทยเป็นแบบนี้ด้ วย ก็เลยไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปไห นสักที
ฟังดูแล้วไม่ค่อย healthy เท่าไหร่
ไม่เลย ตอนนี้มันเป็นประเทศที่ป่วย เป็นประเทศที่แปลก
ป่วยยังไง แปลกยังไง
เอาง่ายๆ คือตรรกะมันกลับด้านกันไปหม ด วิบัติไปหมด เราไม่ค่อยได้ฝึกฝนกระบวนกา รคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลเท่ าไหร่ นี่คือปัญหาใหญ่ของระบบการศ ึกษาเลย คือไม่ได้สอนให้คนคิด แต่สอนให้คนท่องจำเพื่อนำไป สอบ สอบเสร็จก็จบเลย ทิ้งเลย
พูดง่ายๆ ว่าความรู้ไม่ได้ถูกนำไปใช้ อย่างที่ควรเป็น
ใช่ การมีความรู้ก็เรื่องนึง แต่การจัดการความรู้ก็อีกเร ื่อง หมายความว่าแม้คุณจะมีความร ู้ แต่ถ้าคุณไม่มีการจัดการเพื ่อให้มันนำไปปฏิบัติได้จริง ในสังคม ก็ไม่มีประโยชน์ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่เราอย ากทำร้านหนังสือ เพราะเรารู้สึกว่าความรู้ทุ กอย่างมันขึ้นหิ้งหมด
ถามว่าบ้านเรามีองค์ความรู้ มั้ย เรามีเยอะแยะมากมาย ปัญหาคือจะทำยังไงให้งานวิจ ัยหรือวิทยานิพนธ์ที่คนทำออ กมาแล้ว ได้เอามาใช้ประโยชน์ เราถึงจัดวงคุยวิทยานิพนธ์ข องคนนั้นคนนี้บ้าง คุยเรื่องหนังสือที่คนหลงลื มไปแล้วบ้าง เอามาคุยเพื่อให้เห็นว่ามัน มีชุดความรู้อะไรบ้างที่ผ่า นการทำงานมาอย่างลึกซึ้ง ดึงสิ่งที่อยู่บนหิ้งมาพูดค ุยกัน
เราอยากผลักดันให้ความรู้อี กชุดหนึ่งมันขึ้นมาคู่ขนานก ับชุดความรู้กระแสหลัก ที่พร่ำสอนและครอบงำสังคมมา ยาวนาน แล้วก็ตั้งอยู่บนหิ้ง ห้ามแตะต้อง เราควรมีสิทธิ์ตั้งคำถามกับ ตุลาการ ตั้งคำถามกับศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งคำถามกับมาตรา 112 ตั้งคำถามกับทุนนิยม ตั้งคำถามกับทุกเรื่องที่มั นแวดล้อมกับชีวิตและสังคมขอ งเรา
สองพาร์ทที่คุณทำอยู่ ทั้งการทำร้านหนังสือ กับการทำกิจกรรมเวิร์คช็อปต ่างๆ แง่หนึ่งก็เป็นจุดเล็กมากใน สังคมนี้ แน่นอนว่ากับคนที่มาเข้าร่ว ม ย่อมเห็นผล เห็นความเปลี่ยนแปลง คำถามคือมันส่งผลหรือการเปล ี่ยนแปลงอะไรในภาพใหญ่บ้างไ หม
เราเป็นจุดเล็กๆ แน่นอน แต่ถามว่ามันมีจุดเล็กๆ จุดอื่นอีกมั้ย ก็มีกระจายอยู่ทั่วประเทศ รู้จักกันบ้าง ไม่รู้จักกันบ้าง แต่เราพอเห็นกันอยู่ว่ามีใค รบ้างที่กำลังทำงานเพื่อให้ เกิดการพัฒนาไปในทางที่ควรเป็ น
เรารักชาติมากนะ เราเป็นพวกที่รักประเทศนี้ม ากๆ ไม่ใช่พวกชังชาติอย่างที่ใค รเขาว่า แต่เพราะรักไง มันถึงต้องออกมาพูด ออกมาทำ เพื่อดูว่ายังมีจุดบกพร่องอ ะไรบ้าง
แน่นอนว่าสิ่งที่เราทำ คงไม่ใช่สิ่งที่ช่วยเปลี่ยน แปลงประเทศได้อย่างฉับพลันท ันที แต่ถามว่ามันแทรกซึมเข้าไปใ นอณูต่างๆ ในสังคมมั้ย ก็อาจจะใช่ อย่างตอนที่ถูกเรียกตัวช่วง หลังรัฐประหาร แล้วเขาให้เหตุผลว่าเพราะเร ามีอิทธิพลต่อเยาวชน มันหมายความว่าอะไร พวกเราอยู่เชียงใหม่ แต่ถูกเรียกไปที่ส่วนกลางขอ งประเทศ แล้วเขาก็พูดเองว่าสิ่งที่เ ราทำ มันกำลังสร้างอิทธิพลต่อคนร ุ่นใหม่
เราอยู่ในยุคออนไลน์ สิ่งที่เราทำมันอยู่ที่เชีย งใหม่ก็จริง แต่เราก็เอาลงโซเชียลมีเดีย คนอาจมาฟังที่ร้านประมาณ 50 คน แต่พอเราลงยูทูป คนอาจดูเป็นพันเป็นหมื่นก็ไ ด้ ตรงนี้แหละที่เขาอาจจะกลัว เพราะมันแทรกซึมไปทั่ว ยังไม่นับว่าบางคนขอเอางานท ี่เราลงไว้ในยูทูป ไปสอนในมหาวิทยาลัยต่อ
ทำไม คสช. ถึงกลัวไผ่ ดาวดิน ทำไมถึงต้องไปตีหัวจ่านิว ตีหัวเอกชัย หงษ์กังวาน มันสะท้อนว่าเวลาที่คนทำอะไ รสักอย่างแล้วเกิดแรงกระเพื ่อม ทำให้คนเกิดคำถาม เกิดผลกระทบต่อความคิดคนในส ังคม เราว่าเขากลัวนะ
การไปตีหัวจ่านิว เพราะเขาต้องการสร้างบรรยาก าศแห่งความกลัวให้เกิดขึ้นใ นสังคมไทย ควบคุมแอคชั่นของคนที่จะออก มาต่อต้านเขา ต้องเขียนเสือให้วัวกลัว ต้องเชือดไก่ให้ลิงดู เพื่อให้คนไม่กล้าแสดงออก
ชนชั้นนำหรือ คสช. ไม่ได้กลัวกองกำลังอะไรหรอก กองทัพเขาใหญ่ขนาดนั้น ใหญ่ที่สุดแล้วในประเทศทั้ง ในแง่กำลังพลและอาวุธ แต่เขาจะกลัวแต่คนที่ต่อสู้ ทางความคิด กลัวคนที่ต่อสู้เชิงสัญลักษ ณ์
ที่ผ่านมาเขาใช้ propaganda ทำให้คนเชื่อถือในบางสิ่งมา ตลอด แต่วันหนึ่งสิ่งที่เขาทำเริ ่มถูกคนตั้งคำถาม เริ่มมีความรู้คู่ขนานเกิดข ึ้นมาใหม่ และมีคนที่เชื่อในความรู้ชุ ดนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในมุมของเอ็นจีโอ คุณมองความเคลื่อนไหวของกลุ ่มเอ็นจีโอทุกวันนี้ยังไง ยังมีพลังในการขับเคลื่อนสั งคมเหมือนแต่ก่อนมั้ย
เดี๋ยวนี้เอ็นจีโอไม่ได้เป็ นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว พูดง่ายๆ คือแตกกระจายกันไปตั้งแต่ช่ วงหลังความขัดแย้งสีเสื้อ ทั้งที่ยุคก่อนหน้านั้นแทบจ ะมีเป้าหมายเดียวกันด้วยซ้ำ ว่าเราจะเดินหน้าไปสู่อะไร สิ่งนั้นก็คือการลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน โดยยึดถือเรื่องความเป็นธรร ม
ตั้งแต่เราเริ่มทำงานเอ็นจีโอมา นี่เป็นมอตโต้ของเราเลยด้วย ซ้ำจนถึงทุกวันนี้ แต่เราไม่แน่ใจว่าเอ็นจีโอบ างกลุ่มยังยึดถือเป้าหมายนี ้อยู่หรือเปล่า เพราะเราก็เห็นหลายคนที่เข้ าไปเพิ่มอำนาจรัฐ ไปเป็นแขนขาให้อำนาจรัฐไปแล ้ว
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเอ็นจีโอค่ อนข้างมีอิทธิพลสูง เพราะมีเครือข่ายที่โยงใยกั น และมีเป้าหมายเป็นอันหนึ่งอ ันเดียวกัน ทีนี้เมื่อเป้าหมายใหญ่มันไ ม่ใช่อันเดียวกันไปแล้ว เกิดความแตกต่างแล้ว พวกเราที่ยังอยู่กับเป้าหมา ยเดิมว่าต้องลดอำนาจรัฐให้ไ ด้ ก็ต้องมาเกาะเกี่ยวกันใหม่ ขณะเดียวกันก็มีความหวังว่า จะมีกลุ่มอื่นๆ หรือกลุ่มใหม่ๆ ที่ยึดเป้าหมายนี้เพิ่มมากข ึ้น
ส่วนหนึ่งที่ภาคประชาสังคมด ูอ่อนพลังลง โดยเฉพาะช่วงหลังรัฐประหาร เป็นเพราะมาตรการควบคุมของ คสช. ด้วยหรือเปล่า
ถ้านับเฉพาะเอ็นจีโอ เราว่าไม่ใช่ มันเป็นเรื่องว่าเขาสมาทานช ุดความคิดไหนมากกว่า ถ้าเขารู้สึกว่าเห็นด้วยกับ พลังประชารัฐ เขาก็จะไปอยู่พลังประชารัฐ เพราะเห็นว่าตรงนั้นคือทางอ อกของเขา ในการจะทำให้ประชาชนในเขตกา รทำงานของเขาอยู่ดีกินดีมาก ขึ้น จะเป็นความผิดของเขาหรือไม่ ไม่แน่ใจ อยู่ที่ว่าเขายึดถือมอตโต้อ ะไรในการทำงาน
ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่ง ถ้าเขายึดหลักของความเป็นปร ะชาธิปไตยจริงๆ เขาก็จะไปอีกทางหนึ่งแน่นอน ยังไงก็ต้องต่อต้านอะไรที่ม าจากอำนาจที่ไม่ชอบธรรมอยู่ แล้ว โดยเฉพาะรัฐบาลชุดที่ผ่านมา
ถามว่าอ่อนกำลังมั้ย อาจไม่ได้อ่อนมาก เพียงแต่มันแยกกันไปคนละทาง ตอนนี้มันไม่ได้สู้กันเรื่อ งสีเสื้อแล้ว มันสู้กันแค่เรื่องเดียวคือ คุณจะสนับสนุนรัฐบาลที่เป็น ประชาธิปไตย หรือจะสนับสนุนความเป็นเผด็ จการ
ตอนนี้เอ็นจีโอไม่ได้ต่างจา กใคร เอ็นจีโอไม่สามารถบอกว่าตัว เองเป็นผู้ที่ทำความดีเพื่อ ประเทศชาติ ไม่สามารถบอกว่าฉันทำเพื่อป ระชาชนได้อีกต่อไปแล้ว เอ็นจีโอเคลมตัวเองแบบนั้นไ ม่ได้แล้ว เอ็นจีโอก็เหมือนประชาชนทั่ วไป เหมือนนักเขียน เหมือนนักธุรกิจ เหมือนนักศึกษา เหมือนนักวิชาการ ว่าสุดท้ายแล้วคุณโปรอะไร ประชาธิปไตยหรือเผด็จการ
บางทีเราก็ตกใจนะ ตั้งแต่เราทำร้านหนังสือมา 7-8 ปี ไม่ค่อยได้ไปทำงานในหมู่บ้า นเหมือนแต่ก่อน พอช่วงหลังเราก็คิดถึง อยากไปหาเพื่อนเก่า ก็ขึ้นดอยไปเจอเพื่อนปกาเกอ ะญอที่เราเคยทำงานด้วย พบว่าบางคนที่เคยหัวก้าวหน้ ามาก แต่ตอนนี้กลับคิดอีกแบบแล้ว ก็งงเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ ้นวะ (หัวเราะ)
หลังปี 2010 เราเคยตั้งคำถามนี้กับเพื่อ นๆ ในเมืองที่ทำกิจกรรมกับเรา แต่ไม่เคยรู้เลยว่าเพื่อนเร าที่อยู่รอบนอก ซึ่งเป็นผู้คนที่เคยได้รับก ระทบโดยตรงจากนโยบายของรัฐ กลับมีความคิดไม่ต่างจากประ ชาชนอีกส่วนหนึ่งที่เห็นด้ว ยกับเผด็จการ พอไปเจอเราก็ตกใจ
ได้ถามเขาไหมว่าทำไม
เขาบอกว่ามันไม่ต่างกันหรอก ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดไหน เรียกร้องอะไรไปก็เหมือนเดิ ม ซึ่งมันดูเป็นคำพูดของคนในเ มืองมากๆ
เราก็บอกเขาว่ามันไม่เหมือน นะ ยิ่งตอนนี้ยิ่งชัดเจนเลยว่า ไม่เหมือน ถ้าเราใช้ประโยคนี้ตอนอยู่ใ นรัฐบาลพลเรือนเมื่อสิบปีก่ อน มันยังพอพูดได้ รัฐบาลทักษิณ รัฐบาลอภิสิทธิ์ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ สุดท้ายก็เหมือนกันหมด แบบนั้นพอพูดได้
แต่พอเอามาพูดในยุคของรัฐบา ลทหารที่เข้ามาแบบไม่ชอบธรร ม คุณพูดไม่ได้แล้วนะ เพราะมันคือประชาธิปไตยกับเ ผด็จการทหาร จะเหมือนกันได้ยังไง
มันต้องคิดให้มากกว่านั้นนิ ดนึง จะคิดแค่ปรากฏการณ์ที่เกิดข ึ้นไม่ได้ เราต้องรู้ว่ากำลังต่อสู้กั บอะไร มากกว่าที่จะบอกว่าตอนนี้เร าได้อะไรแล้ว หรือยังไม่ได้อะไร เพราะมันเกี่ยวข้องกับคนในภ ายภาคหน้าด้วย หรือถ้าคุณไม่ได้คิดถึงคนใน ภายภายหน้า อย่างน้อยก็คิดถึงเพื่อนร่ว มอุดมการณ์ที่เคยต่อสู้ด้วย กันมา ที่อยู่ในพื้นที่อื่นๆ ที่เขาถูกจับกุม ที่ถูกเอาเปรียบอยู่ตอนนี้
อีกเรื่องนึงที่อยากฝากถึงภ าคประชาสังคม หรือภาคประชาชน คือจะทำยังไงให้สามารถนำชุด ความรู้ต่างๆ ที่เรามี มาใช้เปลี่ยนแปลงและขับเคลื ่อนสังคมได้อย่างเป็นรูปธรร ม และมีพลัง
ช่วงหลังๆ เราสังเกตว่าหลายคนทำงานเพร าะแค่ความชอบ รู้สึกว่ามันสนุก มันสบาย การเป็นเอ็นจีโอไม่ต้องมีเว ลาเข้าออกงาน คุณจะลงพื้นที่เมื่อไหร่ก็ไ ป ชอบคุยกับชาวบ้านกลุ่มนี้เพ ราะเขาดี เขาน่ารัก เฮ้ย แต่คุณต้องทำงานด้วยมั้ย ต้องใช้ความรู้หน่อยมั้ย ไม่ใช่เอาแค่ความรู้สึก เอาแค่ความงดงาม หรือกระทั่งความเห็นใจ อย่างน้อยควรยึดชุดความรู้ช ุดใดชุดหนึ่งไว้ ไม่งั้นมันเป๋ไปหมด
ตอนที่เราทำเรื่องป่าชุมชน แล้วประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เพราะเราเก่งในการหาค อนเนคชั่น แต่เพราะเรานำชุดความรู้ที่ พวกนักวิชาการได้ทำไว้ เอามาย่อย ทำข้อมูลให้มีพลัง
สิ่งสำคัญคือทำยังไงให้ข้อม ูลมีพลัง นี่คือโจทย์ของเราเลย แล้วเราเห็นเลยว่าการทำงานร ณรงค์ในเมืองไทย จริงๆ มันมีชุดข้อมูลอยู่เยอะมาก แต่จะเอาข้อมูลความรู้เหล่า นั้นมาใช้ยังไง คุณจะเปลี่ยนแปลงกฎหมายก็ได ้ เอาไปขับเคลื่อนนโยบายก็ได้ หรือเอาไปใช้เปลี่ยนแปลงทัศ นคติของคนก็ได้
ประเด็นคือคุณต้องเอาความรู ้ออกมาใช้ด้วย ไม่ใช่เอาแต่ความรู้สึก
ถ้าบ้านเมืองไม่ตกอยู่ในภาว ะแบบนี้ ไม่มีรัฐประหาร คิดว่าแวดวงวิชาการ แวดหนังสือ จะคึกคักหรือแหลมคมเท่านี้ไ หม
จริงๆ ถ้าย้อนไปก่อนรัฐประหาร มันก็คึกคักและแหลมคมมาก่อน แล้ว ตั้งแต่ช่วงหลังปี 2010 จังหวะที่เราเปิดร้านเมื่อป ี 2011 หนึ่งปีหลังเกิดเหตุการณ์สล ายการชุมนุมที่กรุงเทพฯ ตอนนั้นเราคิดว่าเราทำเรื่อ งธรรมดามากๆ ไม่ได้คิดว่าทำแล้วจะบูม คนทั่วประเทศรู้จัก แต่เป็นเพราะคนมันอยากรู้จร ิงๆ อยากค้นคว้า อยากหาคำตอบ ซึ่งภาวะแบบนี้เกิดขึ้นมาเร ื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2011 กระทั่งช่วงก่อนรัฐประหารก็ ยังพีคอยู่
ตอนนั้นเป็นช่วงที่ทุกคนกำล ังสนุก เพราะมันมีหลายเรื่องให้พูด ให้คิด ถ้าไม่เกิดรัฐประหารก็น่าจะ จัดต่อไปยาว ประเทศไทยมีเรื่องให้คุยกัน เยอะ
เราเคยจัดเวิร์คชอปเรื่องกา รดีเบตให้กับเยาวชนที่สนใจ วีธีการดีเบตที่ดีที่ถูกต้อ ง ต้องทำยังไง เรื่อยมาถึงการจัดดีเบตในร้ าน เช่นเรื่องพุทธศาสนากับรัฐ เชิญพระไพศาล วิศาโล กับ วิจักขณ์ พานิช มาดีเบตกัน จัดเรื่องทุนนิยม เอาธนาธรกับศศินมาคุยกัน
นั่นคือช่วงใกล้รัฐประหารแล ้ว เราเตรียมหัวข้อไว้เยอะแยะเ ลย แต่จัดไปได้สามหัวข้อ ก็รัฐประหารซะก่อน ความเบ่งบานของเสรีภาพในการ แสดงความคิดเห็นก็เลยถูกตัด ตอนไป
มีรูปแบบดีเบตในฝันที่อยากท ำ แต่ยังไม่ได้ทำมั้ย
เราอยากจัดดีเบตที่ผู้ฟังสา มารถย้ายข้างไปมาได้ สมมติมีดีเบตเรื่องนึง แล้วคนฟังนั่งย้ายข้างได้ ในตอนแรกคุณก็นั่งอยู่ในฝั่ งที่คุณเห็นด้วยก่อน แต่พอฟังไป ถ้าฝั่งที่คุณไม่เห็นด้วย เขาเสนอความคิดเห็นที่มีเหต ุผล หรือทำให้เราเห็นแง่มุมบางอ ย่างที่ไม่เคยคิด คุณสามารถย้ายมานั่งฝั่งนี้ ได้ เพื่อแสดงออกว่าเราเห็นด้วย กับเรื่องนี้ ประเด็นนี้
นี่คือการฝึกคนให้สามารถอยู ่ในสังคมที่มีความขัดแย้ง เป็นการฝึกให้เราได้ฟังกันจ ริงๆ ไม่ใช่ฟังเพื่อโต้ตอบ แต่ฟังเพื่อที่รู้ว่า อ๋อ เรื่องนี้มันมีความรู้ชุดนี ้อยู่ด้วยเหรอ เฮ้ย อันนี้เราไม่เคยรู้เลย มันเป็นแบบนั้นจริงเหรอ ต้องไปค้นคว้าต่อ อะไรทำนองนี้
ที่สำคัญคือมันทำให้เราไม่ย ึดตัวบุคคล ไม่ใช่ว่าฉันอยู่ฝั่งธนาธร ฉะนั้นธนาธรพูดอะไรถูกหมด ซึ่งเป็นไปไม่ได้หรอก ธนาธรอาจผิดในบางเรื่องก็ได ้ หรือคนที่เราไม่ชอบ ก็อาจถูกในบางเรื่องก็ได้ แล้วในที่สุดเมื่อดีเบตจบ ก็จะมีข้อสรุปกันว่า ตกลงใครพูดเป็นเหตุเป็นผลมา กกว่า ตรรกะถูกต้องมากกว่า
เราอยากจัดดีเบตแบบนี้ เพราะมันคือการสร้างความคิด อีกแบบ สร้างพฤติกรรมอีกแบบที่ไม่ต ้องยึดกับตัวบุคคลมากนัก แต่ยึดจากความคิดและเหตุผลท ี่แต่ละคนพูด เราไม่ได้ต้องการหาผู้ชนะที ่ได้คะแนนเยอะสุด หรือคารมดีสุด แต่ชนะเพราะคนฟังเห็นว่าเหต ุผลชุดนี้ ความคิดชุดนี้ถูกต้องมากกว่ า
แล้วทำไมถึงยังไม่ได้จัด ติดปัญหาอุปสรรคอะไร
ยังไม่พร้อมมากกว่า สิ่งที่เราทำกันอยู่ตอนนี้ คือการสร้างหลักสูตรหรือคู่ มือเรื่อง critical thinking ขึ้นมา เพราะหัวใจสำคัญที่จะทำให้ด ีเบตแบบที่เราอยากทำสำเร็จไ ด้ ก็คือคนต้องฝึกการคิดเชิงวิ พากษ์ มีกระบวนการคิดแบบมีเหตุมีผ ลให้เป็นก่อน แล้วคุณค่อยไปดีเบต
ถ้าเป็นหลักสูตรดีเบตของเมื องนอก เขาจะไม่เน้นเรื่อง critical thinking มาก เพราะเขาฝึกทักษะนี้กันมาตั ้งแต่เด็กๆ แต่พอเอามาใช้ในเมืองไทย มันไม่เวิร์ก เพราะเราเรียนแบบท่องจำมาตล อด ตอนนี้เราเลยพยายามสร้างหลั กสูตรนี้ขึ้นมาให้กับครู พัฒนาทีมเทรนเนอร์ที่ใช้ critical thinking เป็น แล้วให้เขาเอาไปเวิร์คช็อปต ่อในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย เราว่าคนไทยต้องฝึกเรื่องนี ้กันเยอะๆ แล้วมันน่าจะนำไปสู่สังคมที ่เราอยากเห็นได้
คิดว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไ หร่ หรือต้องรออีกนานแค่ไหน
ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ต้อง รอนิดนึง ในแง่ที่ว่าอย่าให้อะไรมาตั ดตอนเราได้อีก ถ้าช่วงที่ผ่านมาประชาธิปไต ยไม่ถูกตัดตอนด้วยรัฐประหาร กระทั่งว่าถ้าทักษิณไม่ถูกร ัฐประหาร ป่านนี้ทักษิณก็คงอยู่ไม่ได ้เหมือนกัน ด้วยข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ ้นมาเยอะแยะไปหมด ถึงจุดหนึ่งคนก็อาจไม่เอาทั กษิณแล้วก็ได้
แต่พอคุณไปตัดตอน นักการเมืองเองก็ไม่ได้เรีย นรู้ คิดว่าคนยังโปรตัวเองอยู่ ถ้าไม่มีรัฐประหาร ทั้งประชาชนและนักการเมืองจ ะเรียนรู้ซึ่งกันและกัน นักการเมืองจะเรียนรู้ว่าเส ียงประชาชนมีผลต่อเขาจริง ประชาชนก็จะเรียนรู้ว่าสิทธ ิ์และเสียงของเขามีความหมาย จริงๆ
ประเด็นคือการเรียนรู้ต้องใ ช้เวลา แต่เราไม่ค่อยเกิดการเรียนร ู้เพราะมีคนมาตัดตอนเกือบทุ กครั้ง
สุดท้ายแล้วนิยามของ Book Re:public ในแบบของคุณคืออะไร เป็นแค่ร้านหนังสือ เป็นพื้นที่ในการแลกเปลี่ยน ความเห็น เป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนประ ชาธิปไตย ฯลฯ
Book Re:public ด้วยตัวของมันเองไม่เคยเป็น แค่ร้านขายหนังสือมาตั้งแต่ แรก และไม่เคยนิยามตนเองว่าเป็น องค์กรที่ขับเคลื่อนประชาธิ ปไตยอะไรขนาดนั้น เราไม่สามารถบอกได้ตายตัวว่ า Book Re:public ต้องเป็นแบบไหน เพราะโลกนี้มีความท้าทายใหม ่ๆ เข้ามาทุกวัน แต่สิ่งหนึ่งที่เรายังคงไว้ คือการดำเนินงานใดๆ จะอยู่บนหลักการของการเคารพ สิทธิของเพื่อนมนุษย์ และยืนอยู่ข้างความเป็นธรรม
ถ้าย้อนไปถึงที่มาของคำว่า Book Re:public ตอนจะเปิดร้านเรามีคอนเซ็ปต ์ว่าเราต้องการมีพื้นที่ในก ารแสดงออกทางความคิดและจินต นาการให้กับคนหนุ่มสาวรุ่นใ หม่ ผ่านวรรณกรรม ผ่านหนังสือต่างๆ รวมทั้งวงเสวนาที่พูดถึงเรื ่องราวของสังคม การเมือง และประวัติศาสตร์
คำว่า Re: มีความหมายว่า ‘ที่ว่าด้วยเรื่อง’ ส่วน public แปลว่าสาธารณะ Book Re:public จึงเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนเร ื่องราวที่เป็นประเด็นสาธาร ณะและผู้คนในสังคม
Book Re:public รจเรข วัฒนพาณิชย์ ปรับทัศนคติ Human ร้าย Human wrong ห้องเรียนประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน
สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นอดีตกองบรรณาธิการนิตยสาร WRITER และสำนักพิมพ์ The Writer’s secret
พันธวัฒน์มีคุณสมบัติของการเป็นนักสังเกตการณ์ ฟังเยอะ คิดเยอะ แต่พูดน้อย สนใจใคร่รู้ในมิติอันหลากหลายของความเป็นมนุษย์ ถนัดในการเรียบเรียงน้ำเสียงและความคิดของผู้คนออกมาเป็นงานเขียนที่น่าสนใจ