อายุษ ประทีป ณ ถลาง เรื่อง
ภาพิมล หล่อตระกูล ภาพประกอบ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยนิยมชมชื่น ถือเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซจากการทำรัฐประหารของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และได้พิสูจน์ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วถึงประสิทธิภาพของมันในฐานะเครื่องมือสืบทอดและรักษาอำนาจให้กับหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งวันนี้ได้แปรสภาพมาเป็นนายกรัฐมนตรี หัวหน้ารัฐบาลภายหลังการเลือกตั้ง โดยไม่มีใครสามารถทัดทานขัดขืนได้
เช่นเดียวกับระบอบปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว ก็กำลังแสดงประสิทธิผลอย่างแข็งขันเช่นกัน ในการนำพาประเทศชาติบ้านเมืองถอยห่าง ออกไปไกลจากเจตนารมณ์การปฏิวัติเมื่อปี พ.ศ. 2475 ทุกที
ขณะที่บรรพชนในนามของคณะราษฎร ซึ่งประกอบไปด้วยทหาร ปัญญาชน ข้าราชการ และพลเรือน ร่วมกันก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งเวลานั้นอยู่ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยมุ่งหวังที่จะนำพาชาติบ้านเมืองไปสู่สังคมประชาธิปไตย ดังเช่นนานาอารยประเทศ
แต่แปดสิบกว่าปีแล้วก็ยังยักแย่ยักยัน ไปไม่ถึงไหนสักที
ยิ่งนานวัน แทนที่จะได้พัฒนาก้าวไปข้างหน้ากลับถอยหลังเข้ารกเข้าพงไปทุกขณะ จากประชาธิปไตยครึ่งๆ กลางๆ กึ่งเผด็จการกึ่งประชาธิปไตย ค่อยๆ คืบคลานแปรสภาพเป็นกึ่งเผด็จการกึ่งสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ใช้การเลือกตั้งสร้างภาพประชาธิปไตยขึ้นมาเป็นช่องทางปฏิสัมพันธ์กับประชาคมโลก
จากปี พ.ศ. 2475 ที่มีการเปลี่ยนแปลงปกครองแบบเจ้าเหนือหัว กษัตริย์คือรัฏฐาธิปัตย์ เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ก้าวไปสู่ระบอบปกครองซึ่งถือว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย โดยมีกษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด
ทว่าทุกวันนี้เป็นเช่นไร?
เกิดปัญหานายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรีกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วนขึ้นมา ซึ่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 บัญญัติให้ก่อนเข้ารับหน้าที่ รัฐมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้ “ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
แต่จากภาพข่าวพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณ มิได้ปรากฏถ้อยคำว่า “ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” ออกมาจากปากนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่มีผู้ใดปฏิเสธ
ต้องถือเป็นการถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ดังที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นกฏหมายสูงสุด โดยไม่อาจแลเห็นเป็นอื่นไปได้เลย
แทนที่จะแก้ไขให้ถูกต้อง กลับพยายามแก้ต่างแก้ตัว ถามช้างตอบม้า ถามหมาตอบควาย เอาสีข้างเข้าถู อ้างโน่นอ้างนี่สารพัด หยิบยกเอาความกลัว สิ่งซึ่งคิดว่า ผู้คนไม่อาจจะวิพากษ์วิจารณ์หรือพูดถึงได้เพราะเกรงจะติดคุกติดตะรางขึ้นมาเป็นเกราะกำบัง ปิดปากประชาชน
ทั้งๆ ที่สังคมเคลือบแคลงสงสัยว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทั้งคณะมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตรงตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หาได้พาดพิงหรือพูดถึงพระมหากษัตริย์แต่อย่างใดไม่
เขาถามว่า ถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วนตามข้อความซึ่งบัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ กลับตอบว่า ได้ถวายสัตย์ต่อหน้าพระมหากษัตริย์แล้วบ้าง เป็นไปตามพระปฐมบรมราชโองการแล้วบ้าง ได้รับพระราชทานพระราชดำรัสมาแล้วบ้าง ฯลฯ
ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา โดยเห็นว่าการถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์เป็นการกระทำทางการเมืองของคณะรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญฝ่ายบริหารในความสัมพันธ์เฉพาะกับพระมหากษัตริย์
“การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ไม่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบขององค์กรตามรัฐธรรมนูญใด”
เป็นอย่างนั้นไป! ทั้งๆ ที่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งถือว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนนั้น การกระทำทั้งหลายทั้งปวงยึดโยงกับประชาชนผู้เป็นรัฏฐาธิปัตย์แท้จริง
คำสั่งดังกล่าวซึ่งหาได้อยู่นอกเหนือไปจากความคาดหมายแต่อย่างใดไม่นั้น แม้จะคลายความยุ่งยากลำบากใจให้กับผู้เกี่ยวข้องได้ก็จริง แต่ขณะเดียวกันก็ได้ก่อให้เกิดปัญหาวิกฤตใหม่ๆ ตามมาโดยเฉพาะสถานะความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญที่ถือเป็นกฎหมายสูงสุด
แน่ใจหรือว่าคำสั่งดังกล่าวสอดคล้องต้องด้วยหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย เจตนารมณ์ของบรรพชนแต่ครั้งก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ. 2475
หรือประเทศไทยมิได้ปกครองในระบอบประชาธิปไตย?
และกลายเป็นว่า ถึงจะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์อย่างไรก็ช่าง ปล่อยให้ความไม่ถูกต้องดำรงอยู่อย่างนั้น โดยไม่มีผู้ใดไปทำอะไร และใครจะไปทำอะไรก็ไม่ได้เสียด้วย
รักษาความไม่ถูกต้องไม่สมบูรณ์เอาไว้เป็นอมตะทางประวัติศาสตร์นั่นประเด็นหนึ่ง
ปรากฏปัญหาจริยธรรมทางการเมืองขึ้นมา เมื่อพบว่ารัฐมนตรีเสนาบดีบางคนซึ่งมีปูมประวัติทุรสมบัติเป็นเจ้าพ่อผู้มีอิทธิพล เคยติดคุกติดตะรางในต่างประเทศด้วยข้อหาความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมาก่อน มิหนำซ้ำ ยังมีเรื่องราวฉาวโฉ่เกี่ยวด้วยวุฒิการศึกษาระดับดอกเตอร์ที่นำมาอวดแสดง
คนดีตามมาตรฐานรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา การันตีโดยนิติบริกรอย่างนายวิษณุ เครืองาม
สังคมเคลือบแคลงสงสัย ตกเป็นข่าวอื้อฉาวอย่างไร ไม่มีใครแยแสสนใจ นอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็น ปล่อยให้นั่งอยู่ร่วม ครม. กันโดยไม่รู้ร้อนรู้หนาว
เส้นเลือดใหญ่แพร่เชื้อร้าย ทำเอาต่อมจริยธรรมอักเสบกันทั้งคณะ สติสตังสมองเลยไม่สนองตอบความดีงาม
ประทานโทษเถอะ มีชาติประชาธิปไตยประเทศไหนในโลกใบนี้บ้าง ที่อดีตคนคุกผู้ต้องโทษในคดีความผิดเกี่ยวกับเฮโรอีน ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี ลอยหน้าลอยตาปกครองบ้านบริหารเมืองเหมือนอย่างเช่นแผ่นดินนี้
เกิดเป็นชาวบ้านราษฎร ผู้คนร่วมยุคสมัยขาวสามด้านซึ่งไร้บุญญาวาสนา ไม่มีปัญญาไปอยู่ต่างประเทศ อังกฤษ อเมริกา สวิต หรือเยอรมนี ฯลฯ เห็นทีต้องทำใจ จำทน ผะอืดผะอมกันไป
มีอย่างที่ไหน น้ำท่วมอีสาน อุทกภัยหนักที่จังหวัดอุบลราชธานี แต่นายกรัฐมนตรีกลับไปปฏิบัติภารกิจอยู่ที่ภาคใต้ สวมหมวกเชฟสลับด้านควงตะหลิวผัดใบเหลียง ชื่นมื่นอยู่กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ชาวบ้านทุกข์ยากเดือดร้อนร้องขอความช่วยเหลือจากรัฐ สื่อมวลชนวิพากษ์วิจารณ์การแก้ไขปัญหาฉุกเฉินในยามวิกฤต นายกรัฐมนตรีเจ้าโปรเจกต์แจกเงิน ผู้ซึ่งเพิ่งอนุมัติโครงการถลุงงบประมาณให้ประชาชนไปท่องเที่ยวช้อปปิ้งมาหยกๆ กลับแสดงความหงุดหงิดบ่นว่า มีแต่คนขอเงิน เคยชินกับสิ่งที่เคยได้ โดยไม่สนใจว่าจะถูกจะผิด
พูดก็พูดเถอะ ตั้งแต่พ่อมหาจำเริญกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยในรัฐบาลหลังการเลือกตั้งนี่ นอกจากจะตรวจสอบอะไรไม่ได้ ใครวิพากษ์วิจารณ์อย่างไรไม่ฟังแล้ว ทั่นผู้นำยังปากคอเราะราย จริตจะก้านไม่แพ้นางร้ายชายโฉดในละครน้ำเน่าเลยทีเดียว
โทษได้ทุกฝ่ายยกเว้นตัวเอง เดี๋ยวบ่นว่าหนัก โอดครวญว่าเหนื่อย เดี๋ยวตำหนิประชาชน ต่อว่าชาวบ้านราษฎรอย่างนั้นอย่างนี้ เดี๋ยวเหน็บแนมพาดพิงไปถึงคนอื่นบ้างว่า “ต่อให้ไปเรียกไอ้คนที่อยู่เมืองนอกกลับมาก็ทำไม่ได้”
แถมยังพลั้งเผลอข่มขู่ “จะเอาผมแบบนี้หรือจะเอาผมแบบก่อน” แม้จะมาแก้ต่างในภายหลังก็ตาม
ทั้งหมดล้วนสะท้อนถึงจิตใต้สำนึก ธาตุแท้ภายในตัวตนได้เป็นอย่างดี
ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา กี่ครั้งกี่หนแล้วกับรัฐบาลซึ่งตรวจสอบไม่ได้ วิพากษ์วิจารณ์ไม่ฟัง ผู้ปกครองออกมาสำรอกท้าทายประชาชน ซึ่งรังแต่จะบีบคั้นให้ผู้คนลงถนนโดยปราศจากทางเลือกอื่นใด
ภรรยาก็เป็นครูบาอาจารย์ แทนที่จะถามว่าจะเอานายกรัฐมนตรีแบบไหน น่าจะหาคำตอบไว้ล่วงหน้าเสียมากกว่า ว่าจะลงจากอำนาจอย่างไร โดยไม่ต้องรอให้ประชาชนออกมาเฉดหัวขับไล่