บทความชวนดูงานศิลปะและนวัตกรรมจากโลกที่หนึ่ง ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้สังคมและชีวิตคน ผ่านสายตานักออกแบบมัลติมีเดียจากโลกที่สามในนามกลุ่ม Eyedropper Fill
Eyedropper Fill เรื่อง
“โอ๊ย อย่าเลยน้อง พี่วาดรูปไม่สวย เรามันไม่ใช่ศิลปิน ไม่มีฝีมือ”
ในสังคมไทย เมื่อพูดคำว่า ‘ศิลปะ’ หลายคนคงรู้สึกว่าเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องที่คนอย่างเราๆ คงไม่มีความสามารถพอจะสร้างสรรค์ และสงวนเอาให้กลุ่มคนที่เรียกกันว่า ‘ศิลปิน’ เท่านั้น Inclusive Art คือด้านกลับของแนวคิดที่ว่า เพราะมันคือแนวคิดที่ทำให้ ‘ศิลปะ’ กลายเป็นของใครก็ได้ที่ไม่ใช่แค่ศิลปิน บ่อยครั้งหมายถึงงานศิลปะที่สร้างสรรค์โดยผู้พิการหรือมีความบกพร่อง หลายครั้งหมายถึงงานศิลปะที่สร้างสรรค์โดยผู้คนที่ไม่ได้ร่ำเรียนศิลปะ จุดประสงค์คือเสริมพลังให้คนทุกกลุ่ม ‘เท่ากัน’ ในโลกศิลปะ
ช่วงต้นเดือนกันยายน ผมได้แวะไปที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) และพบกับนิทรรศการที่พาเราเข้าไปสู่โลกของแนวคิดแบบ Inclusive Art ถึงสองนิทรรศการ นั่นคือ Figure of Unknown Beauty และ Art of Element and Therapy
ขึ้นบันไดเลื่อนยาวไปยังโถงนิทรรศการหลักชั้น 7 ก่อนสายตาจะปะทะกับผลงานศิลปะ สิ่งแรกที่สัมผัสคือจำนวนคนที่เยอะผิดหูผิดตา ยิ่งเห็นจำนวนคน ยิ่งอยากรู้ว่างานศิลปะแบบไหนกัน ที่เปลี่ยนให้หอศิลป์กลางกรุงที่เคยร้างผู้คนในช่วงเวลาก่อนหน้า กลับมาคึกคักได้ขนาดนี้
ก้าวแรกสู่ Figure of Unknown Beauty หรือในชื่อไทยว่า ความงามนิรนาม สายตาพบกับผนังขนาดใหญ่ที่แปะภาพผู้หญิงผมยาวยิ้มกว้างเห็นฟัน ลายเส้นไร้เดียงสา แปลกใจปนสงสัยว่าทำไมรูปวาดแบบเด็กๆ หลายสิบแผ่นจึงได้มาจัดแสดงในหอศิลป์ จึงขอถอยกลับมาอ่านข้อความด้านหน้านิทรรศการ
Figure of Unknown Beauty รวมผลงานศิลปะแบบ ‘Art Brut’ (อาร์ต บรุต) หมายถึงงานศิลปะที่สร้างสรรค์โดยบุคคลผู้ไม่ได้นิยามตัวเองว่าศิลปิน และไม่เคยผ่านการเรียนจากสถาบันศิลปะจากไทยและญี่ปุ่น บุคคลเหล่านี้มีตั้งแต่ ผู้พิการ ผู้ต้องขัง เด็ก ไปจนถึงผู้สูงอายุในบ้านพักคนชรา แม้จะไม่ได้ชื่อว่าศิลปิน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือทุกคนต่างทำ ‘งานศิลปะ’ ในแบบของตัวเองซ้ำๆ จนเกิดรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
งานศิลปะในนิทรรศการมีทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม และสื่อผสม ความสนุกของการชมนิทรรศการนี้คือการยืนมองชิ้นงานห่างๆ จากนั้นจึงเข้าไปใกล้เพื่ออ่าน ‘เรื่องราว’ เบื้องหลังและเรื่องราวเจ้าของผลงาน และถอยกลับมามองงานศิลปะอีกครั้ง
กองทัพหุ่นยนต์ที่หน้าตาและสีสันไม่ซ้ำ เมื่อซูมเข้าไปดูและอ่านเรื่องราวใกล้ๆ จึงรู้ว่าทุกตัวสร้างสรรค์จากลวดมัดถุงขนมปังที่เด็กชายชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งกินป็นประจำทุกเช้า
แผ่นกระดาษถูกกรีดเป็นเส้นเล็กบางที่ซูมตาดูแล้วยอมใจในความประณีตของฝีมือคนญี่ปุ่น ทุกชิ้นคงเอกลักษณ์เหมือนกันคือเว้นพื้นที่ทางขวาไว้ วางอยู่ใกล้กับแผ่นโบรชัวร์ที่ถูกรอยดินสอตัวอักษรญี่ปุ่นเขียนทับจนเต็มพื้นที่ ทำโดยคุณลุงชาวญี่ปุ่นผู้บันทึกทุกคำที่ตาเห็นยามนั่งรถประจำทาง ใกล้กันคือประติมากรรมกระดาษรูปรถยนต์หลากหลายประเภท ที่เจ้าของผลงานชาวไทยเห็นตามท้องถนน เก็บรายละเอียดสมจริงระดับมาโคร ทว่าดูจากร่องรอยประดิษฐ์โชว์ให้เห็นว่าทุกคันสร้างสรรค์จากอุปกรณ์เครื่องเขียนระดับพื้นฐาน
ภาพวาดคู่สีหม่นเศร้าชิ้นนี้ สร้างสรรค์โดยผู้ต้องขังชาวไทยที่อยู่ในเรือนจำ ผนังและแสงเทียนในภาพ คือฉากจริงที่เขาเห็นทุกวัน ส่วนภาพวาดลายเส้นรูปวัวที่สวยราวศิลปินมืออาชีพ วาดโดยคนขับรถขนส่งงานศิลปะที่ใช้เวลาระหว่างรอรับส่งผลงานศิลปะของคนอื่นสร้างผลงานของตัวเอง
ชิ้นที่จัดวางไว้ท้ายสุดของนิทรรศการ อิมแพคทั้งจำนวนและเนื้อหา คือภาพวาดจำนวนนับร้อยของวัยรุ่นผู้มีอาการไม่พูด (Selective Mutism) ใช้ภาพวาดเหล่านี้โต้ตอบกับผู้ดูแลเพื่อเป็นการสร้างบทสนทนา
นิทรรศการที่อยู่ชั้นติดกัน จัดขึ้นในเวลาไล่เลี่ย และมีเนื้อหาคล้องจองกัน คือ Art of Element and Therapy ศิลปะแห่งเหตุปัจจัยและการบำบัด นิทรรศการรวบรวมงานศิลปะที่สร้างสรรค์ขึ้นในกระบวนการ ‘ศิลปะบำบัด’ ศาสตร์แห่งการเยียวยาผู้เจ็บป่วยหรือมีภาวะไม่สมดุลทางจิตใจ เช่น ผู้มีภาวะซึมเศร้า โรคเครียด วิตกกังวล ผู้อยู่ในภาวะสูญเสีย ฯลฯ ด้วยการนำกระบวนศิลปะเข้าไปเป็นเครื่องมือ ไม่ว่าจะเพื่อหาเหตุแห่งความเจ็บป่วย หรือสะท้อนสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจผู้ป่วยออกมา
งานรวบรวมผลงานจากกระบวนการบำบัดหลายรูปแบบทั้ง จิตรกรรม ประติมากรรม Installation art ศิลปะการจัดดอกไม้ ฯลฯ ที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือกิจกรรมที่จัดขึ้นในทุกวันเสาร์–อาทิตย์ นั่นคึอ Art Therapy Performance : การแสดงสดจำลองสภาวการณ์ในห้องศิลปะบำบัด
การแสดงชุดนี้หมุนเวียนนักบำบัดหลากหลายศาสตร์ ทั้งศิลปะบำบัด ดนตรีบำบัด จิตบำบัดด้ยการเคลื่อนไหว ทำกระบวนการร่วมกับ นักแสดงที่สวมบทเป็นผู้มีอาการเจ็บป่วยทางจิตใจแตกต่างกันไป เวทีการแสดงจำลองห้องบำบัดจริง ตั้งแต่ผู้ป่วยจำลองก้าวเข้ามาในห้องจนเสร็จสิ้นกระบวนการ ตลอดทางเราจึงได้เห็นกระบวนการบำบัดด้วยศิลปะ ที่จากเดิมอาจดูลึกลับและยากจะเข้าใจด้วยการอธิบายผ่านคำพูด แต่เมื่อเราเข้ามานั่งอยู่ข้างในห้องบำบัดจำลองแห่งนี้ ก็ทำให้เห็นภาพมากขึ้นว่าศิลปะบำบัดทำงานอย่างไร
ระหว่างเดินชมนิทรรศการทั้งสอง มีทั้งวัยรุ่นในชุดนักศึกษาเข้ามาถ่ายรูป กลุ่มเพื่อนยืนดูงานหัวเราะคิกคัก หรือได้ยินบางคนกระซิบกับคนที่มาด้วยกันว่า ‘วาดแบบนี้ เดี๋ยวกลับบ้านวาดให้ดูก็ได้’ ใช่ นิทรรศการศิลปะทั้งสองไม่ใช่งานศิลปะที่สวย รุ่มรวยไปด้วยความประณีต หรือยากจนดูไม่เข้าใจอย่างศิลปะที่หลายคนในสังคมไทยนิยาม แต่สิ่งที่นิทรรศการทั้งสองมีเหมือนกัน คือการนำเสนอศิลปะในมุมที่มีฟังก์ชั่น ใกล้ตัว และจับต้องได้
นิทรรศการศิลปะบำบัด ทำให้เราเห็นอีกแง่มุมของศิลปะที่ไม่ได้มีประโยชน์แค่ในแง่ของความงาม แต่เข้าไปมีบทบาทกับศาสตร์การแพทย์ในการช่วยให้ชีวิตผู้คนดีขึ้น ในขณะที่นิทรรศการความงามนิรนาม เปลี่ยนนิยามของศิลปะที่แต่เดิมสงวนไว้ให้ศิลปินเป็นผู้สร้างสรรค์ กลายเป็นแค่กิจกรรมที่ง่ายและสนุก ในชีวิตประจำวัน ที่ใครก็สามารถทำได้ สองนิทรรศการนี้จึงเปลี่ยนให้ศิลปะซึ่งเคยเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่ม กลายเป็นเรื่องที่ ‘นับรวม’ ทุกคนเข้าไปมีส่วนร่วม เราสามารถเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับศิลปะ และสามารถจับต้องมันได้ด้วยความสนุก ว่าง่ายๆ มันทำให้ศิลปะ ‘แมส’ ขึ้นในสังคมไทย ภาพของผู้คนคึกคักในหอศิลป์วันนี้ จึงเป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจ
สำหรับเรา มันคือก้าวที่สวยงามของหอศิลป์กลางเมืองแห่งนี้
สองสัปดาห์ถัดมา เมื่อข่าวของ ผศ.ปวิตร มหาสารินันทน์ ผู้อำนวยการหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร ‘ถูกเชิญให้ออก’ ปรากฏผ่านตาในนิวส์ฟีด เราจึงเกิดคำถามว่า เหตุใดผู้ที่เข้ามาเปิดประตูบานใหญ่ให้หอศิลป์กลายเป็นพื้นที่ของทุกคนในวันนี้ จึงถูกยุติบทบาทลง ด้วยเหตุผลที่ไม่มีคำอธิบาย
เหตุการณ์นี้ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า หรือผู้มีอำนาจในสังคมไทย อาจไม่ได้ต้องการให้ผู้คนเข้าถึงศิลปะขนาดนั้น?
ในสังคมที่ปิดกั้นการแสดงออก ในสังคมแห่งการสร้างชุดความเชื่อขึ้นมาเพื่อสร้างความกลัวอย่างสังคมไทย การที่ผู้คนสามารถเข้าถึงศิลปะ ซึ่งเป็นเครื่องมือของการแสดงออก เครื่องมือของการตั้งคำถาม เครื่องมือของการวิพากษ์วิจารณ์ อาจไม่จำเป็น และบางครั้งอาจอันตรายในสายตาของผู้มีอำนาจหรือเปล่า?
นิทรรศการ Figure of Unknown Beauty และ Art of Element and Therapy จัดแสดงถึงวันที่ 3 พฤศจิกายนที่หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร
ขอขอบคุณภาพถ่ายโดย หัสมา จันทรัตนา