เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2019 นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดียได้ดำเนินนโยบาย ‘ช็อกโลก’ ด้วยการประกาศยกเลิกสถานะพิเศษให้กับรัฐจัมมูและแคชเมียร์ ที่เคยได้รับนับตั้งแต่ปี 1950
การเคลื่อนไหวของอินเดียครั้งนี้ส่งผลสะเทือนต่อสันติภาพและเสถียรภาพในเอเชียใต้อย่างรุนแรง เพราะส่งให้ข้อพิพาทของอินเดีย ปากีสถาน และจีน ร้อนแรงขึ้นโดยทันที
บ้างว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในของอินเดีย แต่ก็มีนักวิเคราะห์จำนวนไม่น้อยมองว่า อินเดียไม่อยากเป็นเพียงมหาอำนาจของเอเชียใต้
เราควรเข้าใจอินเดียอย่างไร และอะไรคือนัยอันแหลมคมของอินเดียต่อภูมิภาคและโลก
ต่อไปนี้คือเนื้อหาบางส่วนจากการพูดคุยกันในรายการ 101 One-on-One Ep.87 ‘อ่านอินเดียในกระแสโลก’ กับ ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
:: โมดี vs ราหุล มวยคนละชั้น ? ::
สโลแกนที่นเรนทรา โมดี ใช้ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดคือ ‘ฉันเป็นยามเฝ้าแผ่นดิน’ ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครใช้ประเด็นความมั่นคงชัดเจนขนาดนี้ ส่วนใหญ่จะเล่นประเด็นเศรษฐกิจ ซึ่งผมคิดว่าโดนใจหลายคน ผมคุยกับแท็กซี่ในอินเดีย เขาบอกว่าต่อให้อดอยาก หรือต้องกินหญ้า ก็จะเลือกโมดี นี่สะท้อนว่าเขาสามารถเอาเรื่องความมั่นคงของประเทศมาเป็นประเด็นสำคัญได้
ขณะเดียวกัน ฝั่งราหุล คานธี พอเริ่มเปิดปาก พยายามออกมาโต้ ก็จะถูกมองทันทีว่าชังชาติ อาจเพราะเขาไม่ทันประเมินว่าเรื่องนี้มันแรง พอสื่อเอามาเล่นต่อ คุณพังเลย นี่สะท้อนเลยว่าราหุลไร้เดียงสา ไม่ทันเกม โมดีเก๋ากว่าเยอะ
ก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีใครใช้ประเด็นความมั่นคงชัดเจนขนาดนี้ ส่วนใหญ่จะเล่นประเด็นเศรษฐกิจ ซึ่งผมคิดว่าโดนใจหลายคน ที่รู้สึกว่าต้องมีใครสักคนเข้ามาจัดการสิ่งเหล่านี้ พอเชื่อมมาถึงประเด็นแคชเมียร์ เรื่องการยกเลิกมาตรา 370 มันมีการคุยกันมานานแล้วว่า คุณต้องได้ผู้นำแบบไหน ถึงจะทำให้มันเกิดขึ้นจริงได้ ประกอบกับความขัดแย้งที่คุกรุ่นมาเรื่อยๆ
พอประเด็นนี้ถูกชูขึ้นมา มันเลยได้ผล
สิ่งที่ผมงงมากคือ ราหุล คานธี แห่งพรรคคองเกรส นี่เล่นไม่เป็นเลย เสียมวยเลย
:: แคชเมียร์ กับปัญหาสามเส้า ::
ส่วนบนของแคชเมียร์เป็นพื้น
ข้อต่อมา เวลาอินเดียมองเรื่องนี้ เขามองว่ามันคือเรื่องภายใน
ถามว่าสถานการณ์ในแคชเมียร์
ถามว่าขั้นตอนต่อไปคืออะไร สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือ อิมราน ข่าน นายกของปากีสถาน ได้เอาเรื่องนี้ไปฟ้องแล้ว ซึ่งก็คงขึ้นไปสู่ศาล สู่ UN ต่อไป ขณะเดียวกัน ทางอินเดียก็จะยืนกรานว่าฉั
:: ความขัดแย้งแคชเมียร์ เป็นเรื่องไกลตัว ? ::
ไม่มีเรื่องไหนที่ไกลตัว ทุกวันนี้เราต่างเป็นพลเมืองโลก ถ้ามองมาจากดาวอังคาร เราก็อยู่ในคุกใบเดียวกันนั่นแหละ ตอนมีเรื่องสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ บางคนก็บอกไกลตัว แต่สักพักมันก็เด้งมาโดนเรา หรือเวลาบางประเทศมีปัญหา เครื่องบินลงไม่ได้ ต้องบินอ้อม มันก็กระทบกันหมด ยังไม่นับเรื่องการส่งออก-นำเข้าต่างๆ
ผมคิดว่าที่ไหนก็ตามที่มีความขัดแย้ง เป็นเรื่องน่าเศร้า โดยเฉพาะคนที่เขาได้รับผลกระทบโดยตรง ที่สำคัญคือเหตุการณ์เหล่านี้มีกรณีศึกษาให้เราเสมอ ความขัดแย้งมันเกิดขึ้นได้ยังไง ที่ไหน
แล้วเวลาเราเรียนรู้จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ สุดท้ายมันก็กลายมาเป็นตัวตนของเราในประเทศเราด้วย ว่าเราไม่อยากเป็นแบบนี้ ไม่อยากเป็นแบบนี้ ซึ่งทำให้เราต้องหาวิถีทางที่เราจะปฏิบัติต่อผู้อื่นในประเทศเราด้วย เพื่อที่เราจะอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติ
ฉะนั้น ไม่ว่าเหตุการณ์ใดๆ ที่เกิดขึ้น มันมีนัยยะ มีสิ่งให้เราได้เรียนรู้ได้ตลอด
:: ไทยควรนับอินเดียเข้ามาอยู่ ในสมการความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศหรือยัง ::
สิ่งที่ประเทศไทยควรทำ และต้องทำให้ดีที่สุดเลยก็ค
ถ้าพูดถึงตอนนี้ ในเมื่อความมั่งคั่งมันย้าย
:: รัฐบาลอินเดีย มีส่วนส่งเสริมซีรีส์อินเดียยังไง ::
รัฐบาลอินเดียแทบไม่ได้ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ส่วนใหญ่จะเป็นเอกชน มีเรื่องตลกที่คนชอบพูดกันว่า การที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของอินเดียก้าวหน้ามาก เป็นเพราะรัฐบาลไม่เข้าไปยุ่ง แต่ถามว่าจริงๆ แล้วรัฐบาลเข้าไปยุ่งบ้างมั้ย ก็มีบ้าง เช่น เรื่องเซ็นเซอร์
ผมมองว่าสาเหตุหนึ่งที่ซีรีส์อินเดียได้รับความนิยมในบ้านเรามาก เป็นเพราะเรามีความรู้เรื่องเทพปกรณัม หรือขนบธรรมเนียมประเพณีของฮินดูหลายๆ อย่าง ขณะเดียวกันเราก็เป็นประเทศพุทธที่ไม่ได้สุดโต่ง ค่อนข้างเปิดรับความเชื่ออื่นๆ ไหว้พระออกจากวัดมาก็แขวนจตุคาม เป็นต้น ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องที่สวยงามนะ
สังเกตโลกทุกวันนี้มันเป็นโลกที่ hybrid หลายอย่างมีความผสมผสานกันอยู่ ซึ่งย่อมดีกว่าอะไรที่สุดโต่งอยู่แล้ว