ปฏิบัติการทวงคืน ‘อนาคต’ ของคนรุ่นใหม่: จากโลกถึงไทย

ปฏิบัติการทวงคืน ‘อนาคต’ ของคนรุ่นใหม่: จากโลกถึงไทย

จันจิรา สมบัติพูนศิริ เรื่อง

กฤตพร โทจันทร์ ภาพประกอบ

 

บ่ายวันศุกร์ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ข้าพเจ้าเดินสำรวจย่านเมืองเก่าของเมือง Leipzig อันเป็นเมืองใหญ่อันดับ 10 ของประเทศเยอรมนี ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับการอ่านประวัติศาสตร์การลุกฮือของประชาชนในปี 1989 อันนำมาสู่การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน ข้าพเจ้าได้ยินเสียงกลองจังหวะมาร์ช เสียงผู้คนตะโกนเชื้อชวนให้คนที่ผ่านไปมาร่วมเดินประท้วง

“หยุดขโมยอนาคต เอาอนาคตของเราคืนมา!”

การเดินขบวน ณ เมือง Leipzig เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ ‘วันศุกร์เพื่ออนาคต’ (Fridays for Future) ซึ่งจัดขึ้นใน 125 ประเทศทั่วโลก มีผู้เข้าร่วมรวมกันกว่า 1.6 ล้านคน โดยนักเรียนนักศึกษาร่วมหยุดเรียนทุกวันศุกร์และเดินขบวนเรียกร้องให้บรรดานักการเมือง ซึ่งขณะนั้นกำลังรณรงค์หาเสียงสำหรับการเลือกตั้งรัฐสภายุโรป (จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-26 พฤษภาคม) ดำเนินมาตรการเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก

แคมเปญนี้ริเริ่มโดย Greta Thunberg นักเรียนโรงเรียนมัธยมวัย 16 ปี ซึ่งจัดกิจกรรมประท้วงในสวีเดนที่ชื่อว่า ‘หยุดเรียนเพื่อหยุดทำลายโลก’ (School strikes for climate change) หลังจากที่เกิดเหตุไฟใหม้ป่าครั้งใหญ่ในประเทศตนเมื่อปี 2561 Thunberg ต้องการผลักดันให้ผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้มีอำนาจตัดสินเชิงนโยบาย เร่งลงนามในสนธิสัญญาปารีส ซึ่งมุ่งลดก๊าซเรือนกระจก รวมถึงผลักดันมาตรการระดับโลกเพื่อรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอย่างจริงจัง

มิใช่เพียงแต่เยาวชนคนรุ่นใหม่ในยุโรปเท่านั้นที่รณรงค์เรื่องนี้ ในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติอันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ  ก็ร่วมต่อสู้ด้วย เช่นฟิลิปปินส์ ซึ่งเผชิญพายุไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนในปี 2556 ที่คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 10,000 ราย รวมถึงอินเดีย ซึ่งเผชิญอุณหภูมิสูงขึ้นและวิกฤตความมั่นคงทางอาหาร รวมถึงเยาวชนในแอฟริกาใต้ที่เรียกร้องให้รัฐบาลเลิกใช้ถ่านหิน อันส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม

การชุมนุม ‘วันศุกร์เพื่ออนาคต’ สะท้อนการตื่นตัวของคนรุ่นใหม่ทั่วโลกในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ที่น่าสนใจคือแคมเปญดังกล่าวได้รับแรงบันดาลใจกิจกรรม ‘เดินขบวนเพื่อชีวิต’ (March for Life) ในสหรัฐฯ ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังปฏิบัติการอุกอาจยิงถล่มโรงเรียนมัธยมในเมือง Parkland รัฐ Florida เมื่อต้นปีที่แล้ว

นักเรียนเหล่านี้ได้เปลี่ยนสถานะของตนจากเหยื่อเหตุสะเทือนขวัญเป็นนักต่อสู้เพื่อสังคมที่ปราศจากความรุนแรง โดยนำปฏิบัติการ ‘เดินออกจากห้องเรียน’ (school walkout) เรียกร้องให้รัฐบาลควบคุมการใช้อาวุธปืนเพื่อก่อความรุนแรงอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น กิจกรรมครั้งใหญ่ของนักเรียนเมือง Parkland ได้แก่การรวมตัวประท้วงในนครหลวง Washington DC ซึ่งมีผู้เข้าร่วมราว 500,000 คน ข้อเรียกร้องหลักของผู้ประท้วงคือให้รัฐบาลคุมเข้มกฎหมายที่เกี่ยวกับการครอบครองอาวุธปืน รวมถึงเช็คประวัติผู้ครอบครองอาวุธอย่างถี่ถ้วน

ต่อมาเยาวชนกลุ่มนี้ได้ตั้งเครือข่าย ‘Never Again MSD’ ซึ่งสร้างกระแสแฮชแท็ค #NeverAgain และ #EnoughIsEnough ทั่วโลกโซเชียล ที่สำคัญคือกลุ่มคนรุ่นใหม่เหล่านี้กำลังต่อกรกับยักษ์ใหญ่อย่าง National Rifle Association (NRA) เครือข่ายล็อบบี้อาวุธปืนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในสหรัฐฯ นักกิจกรรมจำนวนหนึ่งเช่น David Hogg มุ่งรณรงค์ให้คนรุ่นใหม่ออกมาใช้เสียงเลือกตั้งมากขึ้น เพื่ออาศัยกลไกรัฐสภาผลักดันกฎหมายเพื่อต้านอำนาจมืดของ NRA โดย Hogg วางเป้าหมายไว้ว่าภายในปีหน้า (ซึ่งจะเกิดการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ) จะรณรงค์ให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ออกมาใช้สิทธิเสียงมากกว่าร้อยละ 70

กลับมาใกล้บ้านเรา เยาวชนเรือนหมื่นนำการประท้วงต้านกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนจากฮ่องกงไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมาและยังดำเนินอยู่ ณ เวลาที่เขียนบทความชิ้นนี้ การรวมตัวครั้งใหญ่ที่สุดสามารถดึงผู้คนในเกาะฮ่องกงให้เข้าร่วมได้มากถึงสองล้านคน

การประท้วงครั้งนี้ถือเป็นภาคต่อจาก ‘การปฏิวัติร่ม’ (Umbrella Revolution) เมื่อปี 2557 ซึ่งโต้กลับนโยบายของรัฐบาลจีนที่ขยับคุมการกระบวนการเลือกสรรผู้นำฮ่องกงมากขึ้น ผู้ประท้วงครั้งล่าสุดนี้เห็นว่ากฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนเป็นอีกย่างก้าวที่รัฐบาลจีนพยายามควบคุมและบ่อนทำลายรากเหง้าประชาธิปไตยที่เหลืออยู่ในฮ่องกง คนเหล่านี้เห็นว่ารัฐบาลไม่ฟังเสียงเรียกร้องของประชาชน โดยปล่อยให้รัฐบาลอำนาจนิยมจีน ‘ขโมย’ เสรีภาพของตนไปเรื่อยๆ

สภาพการปิดกั้นทางการเมืองกอปรกับความเหลื่อมล้ำและภาวะว่างงานที่ย่ำแย่ลงทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนมากเริ่มหมดหวังกับสังคมตน แม้คนจำนวนหนึ่งมีทางเลือกที่จะย้ายไปอยู่ประเทศอื่น เยาวชนอีกจำนวนมากเห็นว่าตนไม่มีทางเลือกอื่น ที่ต้องสู้เพราะต้องการปกป้องบ้านเกิดตน รวมทั้งปกป้องอนาคตตนของคนรุ่นต่อไป

การต่อสู้ของคนรุ่นใหม่ในสามประเทศ สามทวีปข้างต้นมีนัยสำคัญต่อคนรุ่นใหม่ในสังคมการเมืองไทยสามประการ

ประการแรก ในสังคมที่ให้ค่ากับความอาวุโสอย่างสังคมไทย ผู้ใหญ่มักเห็นว่าการรณรงค์ประท้วงของ ‘เด็ก’ เท่ากับ ‘ความก้าวร้าว’ ขาดความนบนอบ ดื้อดึงต่อคำแนะนำของผู้ใหญ่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน การเห็นว่า ‘เด็ก’ ควรเชื่อฟังผู้ใหญ่ผูกติดกับความเห็นว่าผู้ใหญ่มีประสบการณ์มากกว่า จึงคิดได้ดีกว่า ส่วน ‘เด็ก’ ไร้ประสบการณ์ ฉะนั้นจึงคิดอะไรเองได้ลำบาก ด้วยเหตุนี้เมื่อเยาวชนแสดงความเห็นทางการเมืองในทางที่แย้งกับผู้ใหญ่ ‘เด็ก’ มักถูกตราหน้าว่าแกนนำกลุ่มการเมืองทั้งหลายชักจูงอยู่เบื้องหลัง ราวกับว่าเยาวชนเหล่านี้คิดเองไม่เป็น การลุกฮือของรุ่นใหม่ในสามประเทศที่กล่าวไปนั้นแย้งกับความเข้าใจเช่นนี้ เพราะเยาวชนเหล่านี้กำลังเตือนสติผู้ใหญ่ให้หยุดยั้งการทำลายอนาคตของพวกเขา วันหนึ่งผู้ใหญ่เหล่านี้จะลาโลกไป พวกเขาต่างหากที่ต้องอยู่รับผลกรรมจากการกระทำของพวกผู้ใหญ่

ประการที่สอง ผู้ใหญ่จำนวนมากมักปรามาสการประท้วงของ ‘เด็ก’ ว่าไม่จริงจัง ตามกระแส เดี๋ยวก็หายไปเพราะวัยรุ่นเบื่อง่ายและไม่ชอบลำบากไปประท้วงบนท้องถนน แคมเปญ วันศุกร์เพื่ออนาคต, การเดินขบวนเพื่อชีวิต และการชุมนุมในฮ่องกง ล้วนแต่ดำเนินมาอย่างยาวนาน ทั้งยังไม่มีทีท่าจะสิ้นสุดง่ายๆ กลุ่มเยาวชนซึ่งออกแบบกิจกรรมเหล่านี้ล้วนมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลง ไม่ยอมแพ้เมื่อเจอกระแสโจมตีจากผู้ใหญ่ฝั่งอนุรักษนิยม หรือเมื่อถูกตำรวจปราบปราม อีกทั้งยังยอมสละเวลา กำลังกายและทรัพย์ เพราะการต่อสู้ครั้งนี้มีอนาคตเป็นเดิมพัน

ประการสุดท้าย ท่ามกลางปัญหาที่รุมเร้าโลก การลุกฮือของคนรุ่นใหม่เป็นดั่งบ่อน้ำแห่งความหวัง คนวัยกลางคนอย่างข้าพเจ้ามักคิดว่าปัญหาหลายเรื่องแก้ได้ยากหรืออาจแก้ไม่ได้เลย เพราะรากฝังลึกและตัวละครผู้มีส่วนได้ส่วนเสียซึ่งพร้อมต้านการเปลี่ยนแปลงได้ขยายอำนาจจนยากจะหยุดยั้ง เมื่อคิดเช่นนี้ ความหวังที่เปลี่ยนแปลงประเทศและโลกก็ริบหรี่ ข้าพเจ้าไม่คิดว่าเยาวชนเหล่านี้เขลาจนไม่รู้ว่าปัญหาแก้ยาก แต่พวกเขายังยืนหยัดต่อสู้เพราะมีหวังว่าสักวันสิ่งที่ตนทำจะมีคุณูปการสรรค์สร้างความเปลี่ยนแปลงและกรุยทางให้อนาคตที่ดีกว่าของคนรุ่นต่อๆ ไป

ท้ายที่สุด ข้าพเจ้าตัดสินใจเลิกเดินชมเมืองเก่าแห่ง Leipzig และเข้าร่วมเดินรณรงค์กับคนรุ่นใหม่ โดยตะโกนไปพร้อมๆ พวกเขาว่า “เอาอนาคตของเราคืนมา”

MOST READ

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

Politics

25 Jan 2024

ผู้พิพากษาอาวุโสมีไว้มากมาย… ทำไม

‘ใบตองแห้ง’ ชวนสำรวจเงินเดือนของเหล่าผู้พิพากษาอาวุโส ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และชวนตั้งคำถามว่า บทบาทหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโสเหล่านี้คืออะไร สร้างประโยชน์ใดให้แก่กระบวนการยุติธรรมไทยบ้าง

อธึกกิต แสวงสุข

25 Jan 2024

Politics

23 Feb 2023

จากสู้บนถนน สู่คนในสภา: 4 ปีชีวิตนักการเมืองของอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

101 ชวนอมรัตน์สนทนาว่าด้วยข้อเรียกร้องจากนอกสภาฯ ถึงการถกเถียงในสภาฯ โจทย์การเมืองของก้าวไกลในการเลือกตั้ง บทเรียนในการทำงานการเมืองกว่า 4 ปี คอขวดของการพัฒนาสังคมไทย และบทบาทในอนาคตของเธอในการเมืองไทย

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

23 Feb 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save