สิ้นสุดวัฒนธรรม ‘ถุงดำ’ และ ‘แท่งปูน’ ในวันที่ไทยประกาศใช้ พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานและอุ้มหายฯ

“หากกฎหมายฉบับนี้บังคับใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2552 ตลอด 13 ปีที่ผ่านมา ผมคงไม่ต้องขึ้นศาลนับครั้งไม่ถ้วน” นี่เป็นส่วนหนึ่งของคำบอกเล่าจาก สมศักดิ์ ชื่นจิตร บิดาของเหยื่อซ้อมทรมาน ถึงความรู้สึกของเขาหลังทราบว่า พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 (พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานและอุ้มหายฯ) กำลังจะมีผลบังคับใช้ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า แม้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะพยายามเลื่อนการบังคับใช้ในช่วงที่ผ่านมา

สมศักดิ์เล่าถึงเรื่องราวลูกชาย ‘ฤทธิรงค์ ชื่นจิตร’ ในวันที่เขายังเป็นเพียงเยาวชนคนหนึ่ง ฤทธิรงค์ถูกตำรวจจับกุมและกล่าวหาว่า ‘ชิงทรัพย์บุคคลอื่น’ หลักฐานเพียงชิ้นเดียวที่ตำรวจใช้ คือเสื้อน้ำตาลที่เขาใส่เป็นสีเดียวกับผู้ต้องหา แต่ความโชคร้ายไม่จบเท่านี้ หลังพนักงานสอบสวนแจ้งให้ผู้เสียหายมาชี้ตัว ก็พาฤทธิรงค์ไปยังห้องมืดเพื่อปฏิบัติการทรมานให้ได้รับคำสารภาพ เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้สมุดปกเหลืองตบหน้า เมื่อเขายังไม่ยอมรับสารภาพ ถุงขยะสีดำก็ถูกนำมาคลุมหัวของฤทธิรงค์และถูกรวบตึงชายถุง 

หลังจากถุงดำใบแรกนั้น ไม่นานนัก ใบที่สอง ใบที่สาม และใบที่สี่ก็ค่อยๆ ครอบทับตามมาเป็นชั้นๆ จนสุดท้าย ฤทธิรงค์ตัดสินใจสารภาพไปก่อน

ในเวลาต่อมา เมื่อเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาตัวจริงได้ ก็ควรนับเป็นการพิสูจน์ว่าฤทธิรงค์เป็นผู้บริสุทธิ์ สมศักดิ์ผู้เป็นบิดาคิดว่าตัวเองคงจะยกภูเขาออกจากอก แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะตำรวจที่จับกุมฤทธิรงค์ได้นัดแนะกับผู้เสียหายไม่ให้ชี้ตัวผู้ต้องหาตัวจริง และสั่งฟ้องฤทธิรงค์ จนทำให้ครอบครัวต้องต่อสู้เพื่อพิสูจน์ว่าฤทธิรงค์บริสุทธิ์อีกราว 2 ปี

ประเด็นการทำร้ายโดยเจ้าหน้าที่รัฐนั้น ทางครอบครัวตัดสินใจดำเนินคดีและเดินทางไปร้องทุกข์กับทุกหน่วยงาน ทุกกระทรวง ทบวง กรมของภาครัฐตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง ท้ายที่สุดคดียุติลงด้วยประโยคอ้างว่าไม่มีข้อเท็จจริง ทำให้สมศักดิ์มองว่าครอบครัวไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างแท้จริง โดยเขาเล่าว่าประโยคหนึ่งที่เขาได้ยินบ่อยจนคลื่นไส้ คือ ‘รอการดำเนินการ’ และเหตุการณ์ดังกล่าวสร้างบาดแผลที่มากกว่าความเจ็บปวดด้านร่างกายให้แก่ครอบครัวของฤทธิรงค์

เรื่องราวลักษณะนี้ไม่ได้มีฤทธิรงค์เพียงคนเดียวที่เจอ

หลายครั้งเราได้เห็นกรณีการซ้อมทรมานไปจนถึงการอุ้มหายอันเกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐหรือจากมือที่มองไม่เห็น ส่งผลให้ภาคประชาชนหลายฝ่ายพยายามออกมาต่อสู้เรียกร้องให้รัฐออกกฎหมายฉบับใหม่อันบัญญัติซึ่งฐานความผิดเกี่ยวกับการซ้อมทรมานและอุ้มหายจากเจ้าหน้าที่รัฐเป็นการเฉพาะ จนกระทั่งในปี 2565 ภาคประชาชนก็ได้ผลักดัน ‘ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย’ สำเร็จ

ติดกล้อง-แจ้งการจับ กระบวนการใหม่ในวันที่ไทยต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม

ปกป้อง ศรีสนิท คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่าพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 เป็นการรวมอนุสัญญาสากลว่าด้วยหลักสิทธิมนุษยชน 2 ฉบับ คืออนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานและการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention Against Torture and other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment : CAT) และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ (International Convention for the Protection of all Persons from Enforced disappearance : CED) รวมเป็น พ.ร.บ. ฉบับเดียว โดยอนุสัญญาทั้งสองฉบับนี้ต่างมีบทบัญญัติที่ยืนยันถึงหลักสิทธิมนุษยชนว่า มนุษย์ต้องไม่ถูกทรมานและไม่ถูกบังคับให้สูญหาย ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือสงคราม ซึ่งหลักการดังกล่าวก็ถูกยืนยันอีกครั้งในมาตรา 12 ของพระราชบัญญัติฉบับนี้

หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดจึงต้องบัญญัติเรื่องการทรมานและการบังคับให้สูญหายโดยเจ้าหน้าที่รัฐเป็นฐานความผิดเฉพาะ ทั้งที่การทรมานหรือการบังคับให้สูญหายเป็นความผิดกฎหมายอาญาอยู่แล้ว ปกป้องอธิบายว่าหากวันนี้ประชาชนกระทำต่อประชาชน ผู้เสียหายยังสามารถพึ่งพิงเจ้าหน้าที่รัฐได้ แต่หากเจ้าหน้าที่รัฐเป็นคนกระทำเสียเอง ประชาชนจะไม่สามารถพึ่งพิงได้ การบัญญัติฐานความผิดเฉพาะจึงเป็นการส่งสัญญาณว่าการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่แม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่อาจใช้อำนาจลงมือ

ด้าน น้ำแท้ มีบุญสล้าง อัยการ เล่าถึงกระบวนการยกร่างกฎหมายว่าเกิดจากการต่อสู้ของภาคประชาชน แต่เมื่อเข้าไปในวุฒิสภาอาจถูกตัดทอนรายละเอียดบางประเด็นให้หายไป อาทิ การห้ามนิรโทษกรรม อายุความที่มีระยะเวลานาน

นอกจากนี้กระบวนการจับกุมและสอบสวนที่ผ่านมา เป็นลักษณะที่มีหน่วยงานเดียวดำเนินการ จึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับการทำลายหลักฐานหรือบิดเบือนรูปคดี กฎหมายฉบับนี้จึงกำหนดให้มีหลายหน่วยงานร่วมกันสอบสวน และเจ้าหน้าที่จับกุมต้องแจ้งต่อนายอำเภอในพื้นที่ อัยการให้รับทราบ โดยจะมีหน่วยงานที่คอยรับแจ้งและเข้าไปพูดคุยกับผู้ถูกจับกุมตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการบิดเบือนรูปคดีและการจับกุม น้ำแท้มองว่าวิธีคิดดังกล่าวเป็นวิธีคิดที่เท่าทันกันของคนทำงาน

ทั้งนี้ อีกหนึ่งสิ่งในกระบวนการจับกุมที่เปลี่ยนแปลงไป คือเมื่อมีการจับกุมและควบคุมตัวจะต้องมีการบันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าการบันทึกภาพและเสียงจะช่วยป้องกันอัตราการซ้อมทรมานได้ แนวคิดดังกล่าวได้รับการยืนยันจากการศึกษาในประเทศอังกฤษแล้วว่า เมื่อมีการติดกล้องขณะเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน พบว่าเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่ลดลงกว่าร้อยละ 90 แต่ต้องยอมรับว่าความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจจะสร้างความกังวลแก่ผู้ปฏิบัติงาน

 “ที่ผ่านมามีการพูดคุยกับหน่วยปฏิบัติงานหลายครั้ง ซึ่งทุกฝ่ายตอบรับในการดำเนินการ กฎหมายฉบับนี้นับเป็นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมของไทย เพราะการติดกล้องเป็นแนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก โดยเชื่อว่าจะสามารถคุ้มครองประชาชนได้จริง ด้วยฐานความคิดว่าบุคคลจะถูกทรมานหรือบังคับให้สูญหายมักเกิดขึ้นช่วงเข้าจับกุมหรือพรากเสรีภาพของบุคคลไป” น้ำแท้กล่าว

การบังคับใช้กฎหมาย ในวันที่ชายแดนใต้ยังอยู่ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ตลอดระยะเวลา 18 ปีที่ผ่านมา สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังอยู่ภายใต้กฎหมายความมั่นคงหลายฉบับ ทั้ง พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. 2457, พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) และ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ส่งผลให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้อำนาจจับกุมคุมขังประชาชน หรืออนุญาตให้ควบคุมตัวในสถานที่ที่ไม่เป็นทางการอย่างค่ายทหารได้ หลายครั้งเมื่อผู้ถูกจับกุมถูกมองว่าเป็น ‘ภัยความมั่นคง’ และถูกเจ้าหน้าที่รัฐลิดรอนสิทธิความเป็นมนุษย์

เมื่อ พ.ร.บ. ฉบับนี้มีผลบังคับใช้ หมายความว่าจะรวมถึงพื้นที่ที่มีประกาศ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) อย่างพื้นที่ชายแดนใต้ด้วย นับเป็นอีกหนึ่งความสำคัญของกฎหมายฉบับนี้

สมชาย หอมลออ ที่ปรึกษามูลนิธิผสานวัฒนธรรมมองว่า หนึ่งในความสำเร็จของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 คือการตัดอำนาจศาลทหาร ซึ่งที่ผ่านมาในสามจังหวัดชายแดนใต้ เจ้าหน้าที่ทหารที่กระทำความผิดไม่ต้องขึ้นศาลพลเรือน ยกตัวอย่างกรณีพลทหารวิเชียร เผือกสม ที่เกิดขึ้นในชายแดนใต้และถูกซ้อมทรมานจนเสียชีวิตในค่ายทหาร กรณีดังกล่าวใช้ระยะเวลานานมากกว่าจะมีการสั่งฟ้อง ตลอดกระบวนการก็พบเจอกับปัญหามากมาย อีกทั้งเมื่อมีคำพิพากษาก็ไม่สามารถอุทธรณ์ได้ ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลเสียต่อผู้เสียหายและจำเลยในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม เพราะพื้นที่ดังกล่าวมีการประกาศกฎอัยการศึก ดังนั้นการที่ให้ศาลพลเรือนมีอำนาจพิจารณาคดีจะช่วยลดปัญหาที่จะเกิดขึ้น และให้ประชาชนในพื้นที่สามจังหวัดสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมมากยิ่งขึ้น

นอกจากกรณีของพลทหารวิเชียร เผือกสม นั้น ปรีดา นาคผิว ทนายความที่เชี่ยวชาญคดีทรมานและคดีบังคับบุคคลให้สูญหาย ยกกรณีภารโรงในสามจังหวัดที่ถูกควบคุมตัวต่อหน้าครอบครัวไปยังฐานปฏิบัติการทางทหาร ณ โรงเรียนแห่งหนึ่ง และหายตัวไปจนถึงปัจจุบันนี้ เมื่อคดีดังกล่าวขึ้นสู่ศาล ก็พบข้อจำกัดว่าศาลต้องการเห็นตัวตนของภารโรงเพื่อพิสูจน์ว่าอยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่จริง เพราะเจ้าหน้าที่ทหารอ้างว่าปล่อยตัวไปเรียบร้อยแล้ว ท้ายที่สุดศาลพิพากษายกฟ้องคดีดังกล่าว กลายเป็นกรณีศึกษาอย่างดีในประเด็นของการควบคุมตัวด้วยหน่วยงานเดียว กฎหมายฉบับนี้จึงเป็นเหมือนเครื่องมือบังคับว่าหากเจ้าหน้าที่ควบคุมตัว ต้องมีการแจ้งกรมปกครองหรืออัยการในท้องที่ให้รับทราบและเข้าถึงผู้ถูกควบคุมตัวได้

ทั้งนี้ ปรีดามองว่าประเด็นทั้งหมดนี้ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายก็ได้ หากเจ้าหน้าที่รัฐยึดหลักการว่าตนนั้นทำหน้าที่แทนรัฐ กล่าวคือมีหน้าที่ในการปกป้องชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินของประชาชน และเมื่อเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวผู้ใดไป ต้องมีภาระในการคืนตัวไปยังที่ที่คุณควบคุมตัวมา

ก้าวต่อไป และข้อควรระวังที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย

การที่กฎหมายแต่ละฉบับจะประกาศใช้นั้น ต้องมีการทำความเข้าใจและเตรียมพร้อม ทั้งในแง่เจ้าหน้าที่ ตัวบทกฎหมาย และงบประมาณเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

นรีลักษณ์ แพไชยภูมิ ตัวแทนจากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงการเตรียมพร้อมก่อนที่กฎหมายจะจะประกาศบังคับใช้ ว่าต้องมีการพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจกับผู้ปฏิบัติการ ที่ผ่านมา ในช่วงร่างกฎหมายนั้นมีเพียงตัวแทนจากคนกลุ่มหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นตัวแทนจากกองกฎหมาย ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติงานจริง ดังนั้นเมื่อมีการประกาศใช้ ผู้ปฏิบัติงานหลายคนจึงเกิดข้อกังวลจำนวนมาก

ประเด็นหลักคือ การบันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่อง ทางฝ่ายปฏิบัติงานตั้งคำถามว่าต้องต่อเนื่องขนาดไหนและกล้องต้องใช้ความละเอียดของภาพเท่าใด นอกจากนี้ยังต้องมีฐานข้อมูลที่ใช้เก็บข้อมูลต่างๆ และความกังวลเรื่องการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของบุคคลในวิดีโอ ซึ่งก่อนกฎหมายฉบับนี้ออกบังคับใช้ ทางกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพต้องยกร่างระเบียบในเรื่องของการเยียวยา ค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้

ฝ่าย ปิติกาญจน์ สิทธิเดช กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือ กสม. ตั้งข้อสังเกตถึงกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องกับการทรมานและอุ้มหาย ว่าที่ผ่านมาคดีเหล่านี้ไม่สามารถดำเนินคดีได้ เพราะพยานและหลักฐานไม่เพียงพอ จนไม่สามารถนำไปสู่การพิสูจน์ว่ามีการละเมิด 

ในต่างประเทศ กระบวนการยุติธรรมอนุญาตให้ใช้ความเห็นทางการแพทย์มาเป็นหลักฐานในการพิสูจน์ถึงการทรมานได้ หากจะพัฒนากฎหมายนี้ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นควรจะพัฒนาให้ความเห็นของแพทย์สามารถเป็นหลักฐานได้เช่นกัน จึงอยากผลักดันให้กระทรวงสาธารณสุขพัฒนาระบบดังกล่าว เพื่อเตรียมบุคลากรสำหรับการวางระบบให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งความน่าเชื่อถือ ค่าตอบแทนที่เหมาะสม อีกทั้งต้องคุ้มครองแพทย์ให้ปลอดภัยสำหรับการเป็นพยาน ทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินคดีทั้งคดีทรมานและอุ้มหาย 

ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยควรเข้าพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาทรมาน (opcat) กล่าวคือให้หน่วยงานอิสระต่างประเทศสามารถเข้าไปยังที่คุมขับหรือสถานที่เกิดเหตุได้ เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมโปร่งใส และป้องกันการทรมานและอุ้มหายได้

สัณหวรรณ ศรีสด คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล ตั้งข้อสังเกตถึง พ.ร.บ. ดังกล่าวว่าเป้าหมายของกฎหมายฉบับนี้คือการทำให้อนุสัญญาทั้งสองฉบับที่เป็นเหมือนสารตั้งต้นมีผลบังคับใช้ภายในประเทศ ดังนั้นการตีความและการปฏิบัติใช้ต้องอย่าลืมสารตั้งต้นนี้ โดยสัณหวรรณได้ตั้งข้อสังเกตทั้งหมด 4 ประเด็น 

หนึ่ง การตีความเกี่ยวกับการปฏิบัติหรือการลงโทษที่ทำลาย ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ – การกำหนดถึงความผิดดังกล่าวถูกกำหนดเป็นความผิดทางอาญาในช่วงท้ายกระบวนการร่าง พ.ร.บ. ซึ่งนับเป็นพัฒนาการสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ เนื่องจากการพิสูจน์ว่าการกระทำใดเป็นความผิดฐานการทรมานนั้นไม่ง่ายและไม่ใช่ทุกกรณีจะเข้าข่าย แต่ถึงแม้การกระทำดังกล่าวจะไม่เข้าข่ายการทรมาน หลายครั้งก็เป็นการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้ายอยู่ดี การมีฐานความผิดนี้จะเป็นเหมือนตะกร้ากรองความผิดที่หลุดมาจากฐานความผิดการทรมาน ให้ผู้กระทำผิดต้องรับโทษตามกฎหมายอยู่ดี ซึ่งในต่างประเทศเองก็ยึดหลักการดังกล่าว และต้องกำหนดฐานความผิดนี้ในลักษณะกว้าง 

ทั้งนี้ การตีความกฎหมายมาตรานี้ควรต้องตีความตามกฎหมายของต่างประเทศ และไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะเข้าเกณฑ์ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อาทิ คำพูดดูหมิ่น ดังนั้นการนำกฎหมายฉบับนี้ไปปฏิบัติใช้ต้องระมัดระวังในการตีความ และสัณหวรรณมองว่า หลังจากนี้อาจจะเริ่มมีคำพิพากษาที่จะเป็นการวางรากฐานในประเด็นดังกล่าวได้

สอง ความผิดฐานการกระทำให้บุคคลสูญหาย – ในช่วงแรกของการยกร่างได้มีการกำหนดว่าผู้ดำเนินการกับผู้ปฏิเสธชะตากรรมต้องเป็นบุคคลเดียวกัน ซึ่งนับเป็นเรื่องยากในทางปฏิบัติ แต่ปัจจุบันได้ถูกแก้ไขให้ไม่จำเป็นต้องเป็นคนเดียวกัน เพียงแต่เป็นเจ้าหน้าที่กระทำเท่านั้น

นอกจากนี้ ยังกำหนดให้การกระทำให้บุคคลสูญหายเป็นความผิดต่อเนื่อง กล่าวคือยังสามารถพิพากษาความผิดในคดีก่อนที่กฎหมายประกาศบังคับใช้ โดยไม่คำนึงถึงหลักการ ‘กฎหมายไม่บังคับใช้ย้อนหลัง’ 

สาม หลักการไม่ผลักดันบุคคลกลับ – หลักการดังกล่าวจะมีผลกับผู้ลี้ภัยในประเทศไทย ถึงแม้ในปัจจุบันมติของคณะรัฐมนตรีจะช่วยคุ้มครองในด้านหนึ่ง แต่ปัจจุบันประเทศไทยได้มี MOU หรือ Memorandum of Understanding กับประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องส่งตัวกลับและไม่ผ่านกระบวนการศาลในการพิจารณา พ.ร.บ. ฉบับนี้ได้กำหนดให้ผ่านกระบวนการศาล จึงตั้งข้อสังเกตถึงความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายฉบับนี้และ MOU ว่าจะเป็นอย่างไร และกรณีลักษณะดังกล่าวจะมีการปฏิบัติเช่นไร

สี่ การบันทึกภาพและเสียง – ถึงแม้ที่ผ่านมาจะมีคำสั่งที่ 178/2564 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่กำหนดถึงการบันทึกภาพและเสียงในขั้นตอนการจับกุม ตรวจค้นและสอบสวน ถูกประกาศใช้ตั้งแต่ปี 2564 แต่ยังมีปัญหาในเชิงปฏิบัติ ทั้งการบังคับใช้กับฐานความผิดบางฐาน และทรัพยากรที่ขาดแคลนของรัฐ จนหลายครั้งเกิดกรณีเจ้าหน้าที่นัดแนะกับผู้ต้องหาก่อนแล้วจึงบันทึก การกระทำดังกล่าวนับว่าผิดหลักการของคำสั่ง เนื่องจากเป้าหมายคือต้องการบันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้ถูกทรมาน ดังนั้นสังคมควรมาพูดคุยถึงทรัพยากรที่รัฐต้องจัดหาและสนับสนุน

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเคยมีความพยายามผลักดันให้ศาลไม่ควรรับฟังหลักฐานหรือข้อความใดที่ได้มาจากการสอบปากคำโดยไม่มีการบันทึกภาพและเสียง แต่ในกฎหมายที่กำลังจะบังคับใช้ไม่ได้กำหนด ผ่านประโยคว่าหากมีความจำเป็นหรือสุดวิสัย สามารถไม่บันทึกภาพและเสียงได้ สัณหวรรณจึงตั้งข้อสังเกตถึงการบังคับใช้หากในกฎหมายมีการกำหนดเงื่อนไขดังกล่าว

หากที่ผ่านมามีตัวอย่างจากคำสั่งจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่ามีปัญหาในทางปฏิบัติ พ.ร.บ. ฉบับนี้ก็อาจจะมีปัญหาเหมือนกับหรือมากกว่าคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะต้องยอมรับว่าการสอบสวนภายในพื้นที่สถานีตำรวจสามารถควบคุมปัจจัยต่างๆ ได้ง่าย หากไม่มีการบันทึกภาพและเสียง อาจจะเกิดการทรมานหรือบังคับให้บุคคลสูญหายได้

หมายเหตุ – สรุปจากงานการประชุมเชิงปฏิบัติการนักปกป้องสิทธิมนุษยชน พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 เข้าใจและใช้อย่างไรจึงได้ผล และงานเสวนา บทบาทของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ประเด็นทางการปฏิบัติการใช้ พรบ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ และปัญหาที่อาจเกิดขึ้น โดยมูลนิธิผสานวัฒนธรรม เมื่อ 22 ธันวาคม 2565

MOST READ

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

Politics

25 Jan 2024

ผู้พิพากษาอาวุโสมีไว้มากมาย… ทำไม

‘ใบตองแห้ง’ ชวนสำรวจเงินเดือนของเหล่าผู้พิพากษาอาวุโส ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และชวนตั้งคำถามว่า บทบาทหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโสเหล่านี้คืออะไร สร้างประโยชน์ใดให้แก่กระบวนการยุติธรรมไทยบ้าง

อธึกกิต แสวงสุข

25 Jan 2024

Law

19 Jun 2024

‘สมรสเท่าเทียม’ ก้าวสำคัญกฎหมายครอบครัวไทย: สาระสำคัญและเรื่องที่ยังไปไม่ถึง

ไชยพัฒน์ ธรรมชุตินันท์ ชวนมองหลักการสำคัญใน ‘พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม’ พร้อมตั้งข้อสังเกตต่อบทบัญญัติที่แก้ไขใหม่และผลที่อาจตามมา

ไชยพัฒน์ ธรรมชุตินันท์

19 Jun 2024

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save