fbpx

เมื่อ 112 ไม่อนุญาตให้คุณมีทั้งงานและความสัมพันธ์: 6 ปีแห่งการสูญเสียโอกาสของ หฤษฎ์ มหาทน

ชีวิตของ หฤษฎ์ มหาทน พลิกเปลี่ยนฉับพลันในเดือนเมษายน 2016 หากใช้สำนวนตามคำบอกเล่าของเขา นี่ย่อมหมายถึงการกระโจนขึ้นรถไฟขบวนใหม่โดยไม่ทันตั้งตัว สองข้างทางเปลี่ยน เป้าหมายเปลี่ยน ไม่มีอะไรเหมือนเดิมจากที่เคยเป็นมาอีกต่อไป

ภายหลังการรัฐประหารยึดอำนาจโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ราวสองปี เจ้าหน้าที่รัฐเข้าควบคุมตัวแปดแอดมินเพจ ‘เรารักพลเอกประยุทธ์’ -เพจล้อเลียน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหาร- ในจำนวนนี้มีสองคนที่โดนดำเนินคดีเพิ่มในมาตรา 112 และหฤษฎ์คือหนึ่งในนั้น

วันดีคืนร้าย จากนักเขียนนิยายไลต์โนเวลและหุ้นส่วนร้านราเมง เขาก็กลายเป็นชายผู้โดนดำเนินคดีที่กล่าวกันว่าเป็นหนึ่งในมาตราที่กำหนดบทลงโทษหนักที่สุดมาตราหนึ่งของกฎหมายไทย ยังไม่นับว่าภายใต้การปกครองของระบอบ คสช. หฤษฎ์ถูกส่งตัวขึ้นศาลทหาร และถูกฝากขังอยู่ห้าผลัด คิดเป็นเวลาทั้งสิ้น 70 วัน กล่าวได้ว่าเป็น 70 วันที่ดำมืด หากก็พาเขาไปพบศรัทธาใหม่อย่างศาสนาคริสต์ อันเป็นความเชื่อที่ยังปักหลักแน่วแน่อยู่ในชีวิตเขาทุกวันนี้

นับตั้งแต่วันที่ได้รับการปล่อยตัวจนถึงปัจจุบัน ล่วงผ่านมาหกปี ศาลอาญาเพิ่งมีคำพิพากษายกฟ้องการดำเนินคดีมาตรา 112 ให้แก่หฤษฎ์

มองคร่าวๆ ก็อาจเป็นเรื่องน่าพึงใจ แต่ลึกลงไปกว่านั้น ใช่หรือไม่ว่าหกปีที่แม้จะอยู่นอกเรือนจำ แต่การกระโจนขึ้นรถไฟของชีวิตขบวนใหม่มันก็ไม่ง่าย เพราะมันกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของชีวิตไม่ว่าจะการทำงาน ความสัมพันธ์ เรื่อยไปจนอนาคตที่ยังมาไม่ถึงในประเทศที่กำลังขยับเข้าสู่ห้วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้

และนี่จะเป็นอะไรไปได้ นอกเสียจากผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมที่การบังคับใช้กฎหมายมาตราหนึ่ง ต่อชีวิตคนตัวเล็กตัวน้อยคนหนึ่ง ในห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านทางสังคม

หกปีที่ผ่านมาหลังโดนดำเนินคดี 112 เป็นยังไงบ้าง

เหมือนตอนแรกเราอยู่ในรถไฟขบวนหนึ่งแล้วเปลี่ยนไปอยู่อีกขบวนหนึ่งแทน คือเป้าหมายที่เราจะไปหรือสังคมที่เรามีมันเปลี่ยนไปหมดเลย

ก่อนที่จะโดนจับ เรากำลังทำธุรกิจร้านอาหาร โดยมีงานเขียนเป็นอาชีพรอง ไม่ว่าจะทำงานอะไรเราก็มีอาชีพนักเขียนเป็นอาชีพรองเสมอ ทีนี้พอโดนจับก็เหมือนปิดประตูธุรกิจไปเลย เกิดปัญหาเยอะแยะ เช่น เรามีหุ้นส่วนธุรกิจอยู่แล้วถ้าที่บ้านเขาไม่สบายใจที่จะให้หุ้นส่วนมาทำธุรกิจกับเรา เราก็ทำธุรกิจต่อไม่ได้ หรือวางแผนกันว่าเราจะขยายกิจการไปต่างประเทศ แต่พอมีเรื่องนี้เข้ามา พนักงานต่างๆ ก็กลัวโดนหางเลขไปด้วย เพราะการทำธุรกิจต่างประเทศมันต้องข้ามประเทศ เมื่อทางรัฐใช้ข้ออ้างว่าเหมือนเราข้ามไปต่างประเทศเพื่อทำสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ธุรกิจ พนักงานเขาก็ไม่กล้าไปเพราะกลัวโดนไปด้วย เราทำธุรกิจต่อไม่ได้ ต้องถอนตัวออกมาจากธุรกิจนั้น เพราะตอนอยู่ในเรือนจำ 70 วัน ก็ไม่รู้เลยว่าจะได้ออกมาอีกไหม เมื่อเป็นอย่างนั้น เรื่องการจัดการต่างๆ ในเชิงธุรกิจมันก็ไม่แน่นอน เขาจะมารอเราไม่ได้หรอกเพราะไม่รู้ว่าเราจะได้ออกมาหรือเปล่า

เราพูดในมุมคนที่โดนคดีแล้วประกันตัวออกมาแล้วนะ ชีวิตมันไม่แน่นอนเลย ไม่ใช่ว่าเราออกมาได้แล้วโล่งสบาย กลับไปทำงาน กลับไปมีความสัมพันธ์ใดๆ ได้ มันเหมือนเป็นความหลอนตลอดเวลาเพราะไม่รู้ได้เลยว่าศาลจะตัดสินเมื่อไหร่ แล้วถ้าศาลตัดสินว่าเราต้องกลับไปอยู่ในเรือนจำ เราก็อาจต้องกลับไป ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะวางแผนโปรเจ็กต์ระยะยาว จะมาก่อตั้งธุรกิจ จะมามีความสัมพันธ์ระยะยาวกับใคร จะคิดถึงเรื่องการแต่งงาน ก็เป็นไม่ได้เลย ลองคิดดูว่าสมมติเรามีแฟน แล้ววันดีคืนดีเราอาจจะต้องกลับเข้าไปอยู่ในเรือนจำ เราจะบอกแฟนยังไง หรือสมมติว่าเราเป็นผู้ต้องหาคดีแล้วไปคุยกับพ่อแม่ของแฟนที่บ้านเขา เขาจะว่ายังไง

กลายเป็นว่าเรา insecure ลักษณะเหมือนคนเป็นมะเร็งที่จะตายเมื่อไหร่ก็ได้ การที่เราได้ประกันตัวออกมาแล้วในช่วงหกปีนี้ มันไม่ได้แปลว่าเรากลับมาใช้ชีวิตปกติ มีความสุข มันไม่ได้แปลว่าประกันตัวออกมาแล้วเราจะใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปได้ เพราะไม่รู้เลยว่าคำตัดสินของศาลจะเป็นอย่างไร จะต้องกลับไปเมื่อไหร่ มันใช้ชีวิตเหมือนคนเป็นมะเร็งทั้งเรื่องธุรกิจ เรื่องความสัมพันธ์ เรื่องอื่นๆ แล้วเมื่อมันเป็นคดี 112 พอเราไปคุยกับใครมันก็เหมือนเป็นทรอม่าบางอย่างที่รู้สึกว่าเขาอาจจะเกลียดเราโดยไม่มีเหตุผล เช่น พอเราไปคุยกับผู้ใหญ่บางคนแล้วเขารู้ว่าเราโดนคดีนี้นะ เขาอาจจะตัดสินเราไปเลยโดยที่ไม่รู้ว่าเราเป็นใคร อันนี้เป็นสิ่งที่คนที่โดนคดีแล้วได้รับการประกันตัวต้องเผชิญ

ถ้าอย่างนั้นหกปีที่ผ่านมานี้ทำงานอะไรหล่อเลี้ยงชีพ

ระหว่างที่ร้านอาหารไปต่อไม่ได้ ผมก็มีเงินเก็บส่วนหนึ่ง แต่ช่วง 2-3 เดือนแรกก็ยังงงอยู่ ไม่รู้จะทำอะไร แต่ยังดีที่เรามีงานเขียนซึ่งทำให้มีค่าลิขสิทธิ์เข้ามาเรื่อยๆ ตอนแรกเลยตัดสินใจเน้นทำสำนักพิมพ์พะโล้ให้มันอยู่ตัวมากขึ้น อันนี้ก็โอเค สำนักพิมพ์มันก็เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ ทุกปี

แต่พอมาถึงจุดหนึ่งก็ตัดสินใจคุยกับน้าที่เป็นจิตแพทย์ เขาแนะนำว่าให้ไปหาอะไรเรียนจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน มันเหมือนคนตกงาน ตื่นมาวันๆ ก็ไม่มีอะไรทำ เราเลยไปเรียนปริญญาโทจิตวิทยาให้คำปรึกษา มันก็โอเคนะ เหมือนชีวิตเรามันมีเป้าหมายว่าควรจะทำอะไรบ้าง

มันคือการที่เรามีชีวิตอยู่ชีวิตหนึ่งแล้วมันหลุดออกมาจากที่เคยเป็น เราไม่รู้ว่าต้องทำอะไร พอได้ไปเรียนปริญญาโทก็มีสิ่งที่ให้ทำ จากนั้นก็ได้งานสอนคาโดคาวะ (Kadokawa Animation and Design School) เราใช้ชีวิตด้วยค่าลิขสิทธิ์กับค่างานสอน และเงินจากสำนักพิมพ์นี่แหละ

ระหว่างนี้ก็ยังเขียนนิยายอยู่ด้วยใช่ไหม

เขียน นี่ภาคต่อ ‘เกิดใหม่ครั้งนี้จะสร้างประเทศที่ดีได้หรือเปล่านะ’ เล่ม 4 ก็เพิ่งออก เราใส่ตัวละครที่แทนแนวคิดทางการเมืองหลายๆ แบบในการพยายามก่อร่างสร้างประเทศขึ้นมาตั้งแต่เริ่ม

ปกติเวลานิยายเล่าเรื่องการเกิดใหม่ มันก็มักว่าด้วยเรื่องพระเอกไปสร้างโลก ในญี่ปุ่นนี่นิยายแนวนี้ได้รับความนิยมมาก แต่ผมอ่านแล้วหงุดหงิดเพราะมันง่ายจัง สมมติพระเอกมีความรู้ ไปเกิดใหม่ต่างโลก พอทำอะไรทุกคนก็จะชมว่าเก่งจังเลย ทุกคนก็พร้อมทำตามพระเอก ประเทศก็ดีขึ้นเพราะประชาชนเห็นดีเห็นงามกับพระเอก

แต่ลองเป็นในไทยสิ ถ้าคุณพยายามเปลี่ยนอะไรสักอย่าง คุณจะต้องโดนแรงต้าน โดนตีน โดนแทงสารพัด ผมเลยเขียนให้มันเป็นเวอร์ชันไทย มีชนชั้น มีระบบทาส

หากว่าเรื่องอาชีพ ธุรกิจ ความสัมพันธ์คือการเปลี่ยนแปลงในบริบทรอบๆ แล้วการเปลี่ยนแปลงในเชิงตัวตนเป็นยังไง

เปลี่ยนไปเยอะนะ completely changed เลยก็ว่าได้ ประเด็นหนึ่งที่เปลี่ยนคือเรื่องศาสนา มีผลต่อเราเยอะ แต่ผมเจอเพื่อนหลายคนที่พอโดน 112 ไปแล้วเขาก็อยู่กับความแค้น อันนั้นก็เป็นการเปลี่ยนแปลงไปอีกรูปแบบหนึ่ง ผมยังโชคดีที่มีบางอย่างให้เราเชื่ออยู่ ให้เราอยู่ในความเชื่อ ไม่ตกไปสู่สภาวะแบบนั้น คิดว่าความเปลี่ยนแปลงพวกนี้อาจเห็นได้จากงานเขียนของเราจากช่วงก่อนโดน 112 กับหลังโดนละมั้ง อย่างที่บอกว่ามันเหมือนนั่งรถไฟแล้วอยู่ๆ ก็เปลี่ยนขบวน ไม่รู้ว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงจากประสบการณ์ของการติดคุก หรือเปลี่ยนแปลงเพราะศาสนา

แต่ช่วงสองปีแรก บอกเลยว่าใช้ชีวิตยากมากๆ (เน้นเสียง) บางครั้งเราไม่หลับเพราะโกรธ สิ่งที่คนโดนคดีเหล่านี้เจอนี่มันไม่ใช่ความเศร้านะครับ มันเป็นความโกรธ บางคืนเราก็นอนไม่หลับเพราะโกรธ รู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรามันไม่ยุติธรรมเลย สิ่งที่ทำได้คือเอาไบเบิลมาอ่านบทสดุดีไปเรื่อยๆ ให้เรารู้สึกว่ามันดีขึ้น แล้วบทสดุดีก็ว่าด้วยคำอธิษฐานของดาวิด (กษัตริย์ดาวิด เชื่อกันว่าเป็นผู้รวบรวมเหล่าอิสราเอลและก่อตั้งประเทศอิสราเอล ตามไบเบิล ดาวิดเผชิญช่วงเวลาเลวร้ายและโดดเดี่ยวอย่างรุนแรงจนต้องเฝ้าอธิษฐานต่อพระเจ้า) และเรารู้สึกว่าดาวิดที่อยู่ในสถานการณ์นั้นเหมือนกับกับสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ คำที่ดาวิดเขียนก็เหมือนสะท้อนสิ่งที่เรารู้สึกด้วย มันปลอบประโลมเราได้

นานไหมกว่าจะคลี่คลายใจและความรู้สึกตัวเองได้

จริงๆ ก็พยายามจะคลี่คลายตั้งแต่ช่วงแรกๆ แหละ แต่มันรู้สึกว่าทำไมต้องเป็นเราที่โดนแล้วเอาคืนไม่ได้ สุดท้ายก็ไปจบที่ศาสนา ไปจบที่ว่าขนาดพระเยซูก็โดนขนาดนั้นยังอภัยให้คนอื่นได้เลย เหมือนเราไปมีส่วนร่วมกับประสบการณ์ของการถูกตรึงกางเขน อาจจะเป็นเรื่องที่ว่าคิดแบบนี้แล้วทำให้ดีขึ้นก็ได้มั้ง คือมันก็โอเค ถ้าพระเยซูโดนหนักกว่าแล้วยังทนได้ เราก็ถือว่าเป็นส่วนร่วมหนึ่งในประสบการณ์นี้

ผมว่ามันเป็นเรื่องความหวังนะ เราหวังจะเปลี่ยนสังคมโดยรวมยังไง มันจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นได้ไหม สุดท้ายเราก็หวังว่าเมื่อทุกคนมีความเชื่อ มันก็จะเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นได้

เทียบกันกับคดี 112 คดีอื่นแล้ว กรณีของคุณหฤษฎ์มีหลักฐานค่อนข้างไม่แข็งแรง แต่ก็ยังโดนฝากขังอยู่ดี มองประเด็นนี้ยังไง

บางอย่างผมก็ไม่ได้อยากพูดเท่าไหร่เพราะรู้สึกว่าตัวเองโชคดีกว่าคนอื่นที่โดนคดีเดียวกัน เนื่องจากข้ออ้างการฟ้องของผมมันบาง เรารู้ว่าเรื่องการสู้ทางกฎหมาย หากสู้กันอย่างยุติธรรม ยังไงเราก็ชนะ เรามั่นใจตรงนี้ตั้งแต่ต้น แล้วพอพูดไปก็เหมือนเป็นการตำหนิคนที่ลี้ภัย เหมือนไปบอกว่าขนาดฉันสู้ ฉันยังชนะเลย ทำไมคุณต้องหนี เราเลยไม่อยาก represent สิ่งนี้เท่าไหร่ เพราะเรื่องราวเหล่านี้มันไม่ควรจะเกิดขึ้นกับใครทั้งนั้น ทั้งคนที่ตัดสินใจทนสู้หรือคนที่ตัดสินใจลี้ภัย ถ้ากฎหมายยังเป็นอย่างนี้อยู่ มันก็สู้ยาก เราแค่โชคดีที่ข้อฟ้องของเรามันบาง

อีกอย่าง ผมว่าระบบฝากขังมันเป็นสิ่งที่แย่มาก ติดคุกไปแล้วคนก็รู้สึกว่าถ้ายังไงซะก็ยอมไปเลยดีกว่าไหม เผื่อรอลงอาญาได้ ผิดหรือไม่ผิดไม่รู้หรอก แต่ยอมไปก่อนเพื่อจะได้รอลงอาญา

บางคนไม่ได้ผิดแต่เป็นโทษแบบลหุโทษ ติดหกเดือน ทนายอาจจะบอกว่าสารภาพไปเถอะ ตอนแรกบางคนก็บอกว่าไม่เอาหรอก แต่พออยู่ไปสักเดือนก็อาจจะคิดว่าไอ้เหี้ย กูติดมาแล้วเดือนนึง อีกแค่ห้าเดือนเอง แล้วอาจจะได้รอลงอาญาด้วย เพราะถ้ารับสารภาพแล้วเลขมันต่ำกว่าสามปีก็ขอรอลงอาญาได้ จากนั้นมาคนก็บอกว่า เออ รับไป หรือสมมตินักเรียนตีกันแล้วโดนรวบหมด คนที่ไม่เกี่ยวก็โดน ถ้าสู้เพื่อจะพิสูจน์ว่าไม่เกี่ยวแต่ประกันตัวไม่ได้ อยู่ในคุกไป กว่าจะสู้เสร็จก็หกเดือน บางคนเขาก็เลือกรับๆ ไปแล้วรอลงอาญาจะได้ออกเลยดีกว่า กลายเป็นว่าเทคนิคทางกฎหมายทำให้บางคนถูกแปะว่าเป็นนักโทษคดีอาญา ทั้งที่ไม่ผิด

หากไม่ได้ประกันตัว คุณก็ต้องเลือกว่าถ้ารับสารภาพไปก่อนอาจติดคุกน้อยกว่าการสู้คดี?

ตอนก่อนที่ผมจะได้ประกันตัว ยังไม่เคยมีใครได้ประกันตัวเลยสักคนเดียว (ถอนหายใจ) ตอนนั้น หมอลำแบงค์ (ปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม – ผู้ต้องหาคดี 112) กับ ไผ่ (จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา – ผู้ต้องหาคดี 112) เข้าไปถึงโดนคดีนี้ ทุกคนบอกว่าไม่มีทางได้ประกัน แล้วเขาเลยคำนวณเลขในหัวว่า ถ้าสู้ก็คือสู้ไปเถอะ 5-6 ปีซึ่งสุดท้ายคุณอาจจะชนะ แต่คุณติดไปแล้วหลายปี มันไม่คุ้ม ทุกคนก็คิดเลขในหัวว่า ถ้าอย่างนั้นก็ยอมแพ้ไปเสีย เลขมันน่าจะออกมาสักสองปีครึ่ง

เป็นที่รู้กันว่าศาลจะตัดสินตามสิ่งที่ศาลเก่าเคยตัดสินมา แล้วก็คำนวณได้ว่าศาลลงไว้ห้าปี สารภาพก็เหลือสองปีครึ่ง แล้วเมื่อมันไม่ถึงห้าปีก็อาจจะขอรอลงอาญาได้ อันนี้คิดโดยสมการ โดยคณิตศาสตร์นะ ถ้าเลือกทางที่สู้ซึ่งต้องใช้เวลาห้าปี เท่ากับคุณติดคุกไปห้าปีเพื่อสู้ แต่ถ้าคุณยอมอาจจะมีสิทธิได้รอลงอาญาหรือได้เลขมาสองปีครึ่ง คุณอยู่ในคุกจริงๆ ก็อาจได้ลดโทษอีก ไม่ถึงสองปี เหลือสักประมาณหนึ่งปีครึ่ง แล้วอย่างหลังก็เป็นตัวเลือกที่หลายคนตัดสินใจใช้ หลายเคสมากที่ถูกศาลตัดสินว่าผิด 112 คือก็ไม่ได้ผิดหรอก แต่เลือกทางนี้เหมือนกัน ซึ่งถ้าผมไม่ได้ประกันตัว ผมคงเลือกทางนี้แหละ

มองในด้านหนึ่ง ระบบประกันตัวและเงื่อนไขแบบนี้ก็บีบคนที่โดนคดีเหมือนกันนะ

เมื่อระบบประกันตัวมันลำบาก เรือนจำลงโทษคนไปแล้วด้วยการฝากขังโดยไม่สนใจว่าผิดหรือไม่ผิด พูดตรงๆ มันคือการทรมานให้เราสารภาพน่ะ ไม่ต่างจากการจับเราไปซ้อมแล้วบอกว่า สารภาพสิ มึงจะได้ไปจากที่นี่

ทนายวิญญัติ (วิญญัติ ชาติมนตรี – เลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิเสรีภาพและทนายความของหฤษฎ์) ก็พยายามพูดถึงเรื่องนี้ว่า กลายเป็นระบบฝากขังไทยมันเหมือนการเอานักโทษไปทรมานเพื่อให้สารภาพ ดูอย่างไผ่สิ กรณีของไผ่นี่คือแชร์ข่าว BBC ใช่ไหม ถ้าสู้ยังมีสิทธิชนะ ตอนแรกไผ่ก็พยายามประกันตัวเหมือนที่ผมทำนี่แหละ แต่ไผ่ไม่ได้ประกัน เมื่อเป็นอย่างนั้นไผ่เลยตัดสินใจว่า งั้นยอมแล้วกัน ถ้าผมประกันตัวไม่ได้ผมก็ทำแบบไผ่นี่แหละ

ช่วงเวลาที่คุณโดนจับยังเป็นช่วงที่ใช้กฎหมาย คสช. อยู่ทำให้ต้องขึ้นศาลทหาร แล้วพอเปลี่ยนมาเป็นศาลพลเรือนต่างกันมากไหม

อย่างหนึ่งเลยนะ คือศาลทหารกับศาลพลเรือนต่างกันแบบคนละเรื่องเลย 

กรณีผมที่โดนจับเมื่อหกปีก่อนนี่ไม่มีหมายนะครับ เขาแค่จับโดยบอกว่ามาตามคำสั่ง คสช. ตอนนั้น คสช. จะเอาใครไปเข้าค่ายก็ได้เพราะเขามีคำสั่งตามประกาศ คสช. คดีผมอยู่ที่ศาลทหารสี่ปี จนย้ายจากศาลทหารมาศาลพลเรือน ซึ่งศาลพลเรือนนั้นจริงๆ ปีเดียวก็จบ แต่คิดโควิดเลยยืดเยื้อออกไป ช่วงที่นัดสืบพยานแต่ติดโควิดทำให้ศาลต้องนัดใหม่เลื่อนไปอีกหกเดือน การไปขึ้นศาลเหมือนการนัดเพื่อนปาร์ตี้น่ะ ทุกคนต้องว่างตรงกันหมด มันเลยเป็นเหตุผลที่คดีในศาลพลเรือนมันช้า

ขณะที่ศาลทหาร เขาออกแบบมาเพื่อคดีทหาร ดังนั้นเขาจะมีผู้พิพากษาไม่ถึงสิบคน แล้วช่วงนั้นมีคดีการเมืองเป็นร้อยคดีเข้าไปในศาลทหารที่มีผู้พิพากษาแค่นิดเดียว ที่ช้านี่ก็อาจไม่ใช่ว่าศาลจงใจแกล้งก็ได้ แต่คนเขาไม่พอจริงๆ

ขยับมาที่ภาพรวมการเมืองในสังคม มองความเคลื่อนไหวในช่วงสองปีที่ผ่านมายังไง

ผมว่ามันดีขึ้นมากเลย หลายเรื่องที่เราคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ในช่วงหกปีก่อนมันก็ดูเป็นไปได้ขึ้นมา ผมเชื่อว่ารุ่นต่อๆ ไปก็น่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ นะ

หกปีก่อนหรือนานกว่านั้น เคยฝันถึงบรรยากาศแบบนี้ไหม

ยากนะ หกปีที่แล้วไม่มีใครจินตนาการถึงบรรยากาศแบบนี้ได้ แต่เราก็รู้ว่ามันก็ต้องแลกมาด้วยความเสียสละโดยเต็มใจและไม่เต็มใจของหลายๆ คน ในการทำให้มันมาถึงจุดนี้ได้

ครั้งหนึ่งคุณเคยให้สัมภาษณ์ว่าตัวเองเป็นพวกอนุรักษนิยม ถึงตอนนี้แล้วยังคิดแบบนั้นอยู่ไหม

ใช่ครับ ถ้าเทียบกับเด็กๆ รุ่นใหม่ๆ ผมก็มองว่าตัวเองอนุรักษนิยมมากนะ

เวลาบอกว่าตัวเองเป็นอนุรักษนิยมนี่ ใช้มาตรวัดในไทยหรือสากล

สากลโลก (ตอบเร็ว) คือถ้าผมเป็นคนอังกฤษผมก็เลือกพรรคคอนเซอร์เวทีฟนะ

ผมยังเชื่อในคุณค่าของหลายสิ่งหลายอย่าง และไม่รู้สึกว่าความเป็นไทยทั้งก้อนมันมีปัญหา หรือไม่ได้รู้สึกว่าระบบเดิมที่เคยมีมาจากแต่ก่อนควรพังทลายทั้งหมด แต่ประเด็นคือคนมันทำให้ระบบแย่ลงด้วยตัวเอง ตอนแรกระบบเคยดีของมันอยู่แล้ว จนคนไปโหนมันแล้วเอามาใช้เป็นเครื่องมือ สมมติเราย้อนกลับไปก่อนปี 2547 บ้านเมืองยังดำเนินต่อไปในลักษณะนั้น ถ้าไม่มีใครไปไอโอเพี้ยนๆ ปล่อยข่าวแปลกๆ แล้วพูดกันไปตามความเป็นจริงว่าอะไรดีหรือไม่ดี แล้วปล่อยให้ระบบทำงานไป ผมว่ารัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ในตอนนั้นคงอยู่ได้ไม่เกินสองสมัยก็เลือกตั้งใหม่แล้ว

หรืออีกช็อตหนึ่ง สมมติ กปปส. ตั้งม็อบแล้วเห็นว่าคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยอมถอย พ.ร.บ.สุดซอยแล้ว จากนั้น กปปส. ก็กลับบ้าน ไม่มีรัฐประหาร ผมเชื่อว่าระบบก็ทำงานต่อไปได้

แต่เมื่อพูดถึงเรื่องความอนุรักษนิยม ผมก็มีหลายส่วนที่เป็นอนุรักษนิยมนะ โดยทั่วไปแล้ว แนวคิดทางการเมืองของผมก็ค่อนข้างเป็นอนุรักษนิยมและเสรีนิยมในแง่ของเศรษฐกิจ

ถ้าอย่างนั้น ในสายตาอนุรักษนิยมอย่างคุณ ยังให้คุณค่ากับอะไรอยู่บ้างที่อาจจะหมดคุณค่าไปแล้วในสายตาชาวเสรีนิยม

หลักๆ เลยคือเรื่องศาสนา ต่อมาคือเรื่องเสรีภาพของนายทุนหรือเสรีภาพของการลงทุน และเสรีภาพของการเป็น entrepreneur เป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก และเสรีภาพในการทำธุรกิจ ผมไม่เชื่อเรื่องสังคมนิยมของการปฏิวัติที่ดิน ไม่ใช่ว่าความไม่เท่าเทียมเป็นสิ่งที่เราอยากให้มีนะ พอเราสตาร์ตในจุดเริ่มต้นที่เท่ากัน ซึ่งรัฐควรแสวงหาจุดสตาร์ตที่เท่าเทียมกันให้เรา แล้วจากนั้นเมื่อคุณเริ่มสตาร์ตอย่างเท่าเทียมกับคนอื่นๆ แล้วก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะไปทำอะไร ก็เรื่องของคุณแล้ว

ถ้าจุดสตาร์ตเท่ากัน ใครอยากทำอะไรก็เป็นเรื่องของเขา

มองว่าในสังคมไทย วิธีคิดแบบคุณนี่อยู่ทางอนุรักษนิยมหรือเสรีนิยม

คนที่เป็นอนุรักษนิยมในไทยก็จะรู้สึกว่าเราเป็นเสรีนิยมหรือซ้ายไปเลยน่ะ

ที่จริงผมว่าคนที่วิพากษ์วิจารณ์ประเทศไทยเกิดมาจากความรักชาตินะ เซนส์หนึ่งที่รู้คือยังรู้สึกว่าฉันเป็นคนไทย ฉันอยากให้ประเทศเราดีกว่าประเทศรอบๆ อยากเห็นความรุ่งโรจน์ของไทย เราก็ต้องการความ glory to Thailand ไม่ได้อยากรู้สึกถูกประเทศอื่นๆ แซง ได้ยินแล้วรู้สึกยอมไม่ได้ มันคือเซนส์ของ nationalism การรู้สึกว่าฉันเป็นคนไทยแล้วฉันก็ไม่ยอมแพ้คนชาติอื่นๆ หรอก

มันคือความรักชาติน่ะแหละ แต่มีบางคนไปจำกัดว่ารักชาติต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ เพื่อผลักคนที่คิดไม่เหมือนตัวเองออกไปเป็นคนไม่รักชาติ เลยเป็นการผลักคนที่จริงๆ แล้วเป็นอนุรักษนิยมให้ไปตกอยู่ฝ่ายที่เป็นเสรีนิยม

อาจารย์ธงชัย วินิจจะกูล เคยบอกว่าทางออกหนึ่งของสังคมไทยคือ คนที่เป็นอนุรักษนิยมต้องออกมาพูด เพราะเชื่อว่าสถาบันต่างๆ ในไทยจะฟังคนเหล่านี้ เห็นด้วยไหม

สุดท้ายใครออกมาพูดก็โดนหนักหรือไม่ก็โดนไอโอเอาไปปั่น

เดือนที่ผ่านมาผมอยู่อังกฤษ มีคุณป้าคนหนึ่งที่อายุเยอะแล้วล่ะ แล้วก็มีคนจีนที่มาเรียนภาษาอีกคนที่เป็นพวกเสรีนิยมและไม่เอาอำนาจนิยมมากๆ เขาบอกว่า ดีแล้วที่อังกฤษมีระบบควบคุมควีนเอลิซาเบธ ควีนจึงไม่มีอำนาจ คุณป้าคนนี้ก็เถียงเลยว่าจริงๆ แล้วควีนมีอำนาจเต็มทุกอย่างนะ แต่ควีนเลือกไม่ใช้อำนาจนั้น แล้วคุณป้าก็เชิดชูควีนมาก บอกว่าควีนทำงานหนักและเป็นคนที่รวบรวมคุณค่าที่ดีของประเทศไว้ ตอนที่ผมฟังก็รู้สึก เออว่ะ แบบนี้ไทยเราก็เคยมีอยู่

ประเด็นคือวิธีที่ฝ่ายขวาบ้านเราทำ มันไม่ได้ทำให้สิ่งที่เขาพูดน่าเชื่อถือหรือโน้มน้าวคนฟังได้แบบที่ฝ่ายขวาของอังกฤษทำ ซึ่งสิ่งที่ฝ่ายขวาอังกฤษทำ คือทำให้สิ่งที่พวกเขาต้องการอนุรักษ์ฟังดูศักดิ์สิทธิ์ มีเกียรติ โดยไม่เคยโหนหรืออะไร ขณะที่ไอโอฝ่ายขวาไทยหยิบสิ่งที่ตัวเองอยากอนุรักษ์มาเล่นเสียจนเสื่อมเกียรติ

ท้ายที่สุดผมว่าฝ่ายขวาไทยเห็นแก่ตัว อยากเอาชนะ เลยทำทุกทางเพื่อจะชนะ ด้วยการเอาสิ่งที่ปากบอกว่ารักและอยากปกป้องมาเป็นอาวุธแค่เพื่อให้ตัวเองได้ชนะ และทำให้สิ่งนั้นแย่ลงไปเลย

แต่ว่าการเมืองไทยก็เต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์เยอะมาก ทั้งสถาบัน ทั้งตัวบุคคล แตะไม่ได้ เอาเข้าจริงแล้วยังศักดิ์สิทธิ์อยู่ไหม

ผมเชื่อว่าสถาบันในรูปแบบการเมือง มันต้องมีอะไรสักอย่างที่ศักดิ์สิทธิ์ ฝ่ายขวากับฝ่ายซ้ายมีสิ่งที่คิดว่าศักดิ์สิทธิ์ต่างกัน อย่างเสรีนิยมก็จะบอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาคือสิทธิมนุษยชน เสรีภาพ และในมุมผมมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉัน enlighten กว่าคนอื่นอะไรแบบนี้ด้วยนะ ผมว่าทุกฝ่ายมีสิ่งที่ตัวเองคิดว่าศักดิ์สิทธิ์ แต่มันแค่ไม่เหมือนกัน

สมมติอยู่ที่อังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นชาวคอนเซอร์เวทีฟหรือชาวเลเบอร์ เขาก็รู้สึกว่าประชาธิปไตยเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งที่ต้องปกป้องไว้และเป็นจุดร่วมของทั้งสองฝ่าย แล้วพอถึงจุดหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายก็รู้สึกว่าร่วมมือกันได้ เช่น เมื่อปูตินบุกยูเครน ทั้งคอนเซอร์เวทีฟและเลเบอร์อังกฤษก็ออกมาบอกว่าสิ่งที่ปูตินทำเป็นภัยต่อประชาธิปไตย เป็นภัยต่อกฎหมายสากล เขาเลยร่วมมือกันได้

แต่ถามว่าซ้ายไทยกับขวาไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรที่เป็นจุดร่วมเดียวกันบ้าง ไม่มีหรอก

จะเรียกว่าเราไม่มีฉันทมติในสังคมได้ไหมนะ

อาจจะได้ แต่ฉันทมติคือเป้าหมายบางอย่างใช่ไหม แต่ผมเชื่อว่า ไม่ว่าจะพูดแบบฟูโกต์หรืออะไรก็ตาม มันมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางการเมืองอยู่ แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในทีนี้เป็นคุณค่าบางอย่าง เป็นสิ่งที่เราอยากลงแรงใช้ชีวิตของเราเพื่อสร้างมัน เพื่อปกป้องสิ่งนี้ แล้วประเทศไทยมีสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งก็รู้สึกว่าเสรีภาพเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ออกไปสู้จนติดคุกเพื่อประชาธิปไตย กับอีกฝั่งที่ไม่เห็นเหมือนกัน พอไม่มีจุดร่วม ก็หาทางลงไม่ได้

คิดว่าเราจะสร้างคุณค่านี้ร่วมกันได้ไหม

ไม่แน่ใจ เมื่อก่อนเคยมีคุณค่าแบบนั้นนะ แต่ตอนนี้คุณค่าที่ว่าไม่ฟังก์ชันแล้ว เพราะคนเอามันมาใช้ตีอีกฝ่าย

คิดว่าคุณค่าของสิ่งที่ฝั่งขวาไทยใช้โหนเพื่อตีอีกฝ่าย จะกลับมามีคุณค่าได้อีกไหม

ไม่รู้ ต้องไปถามฝ่ายขวาไทยแล้วแหละ หรือเขาอาจจะไม่แคร์ อาจจะแค่อยากเหยียบอีกฝ่ายหนึ่งให้จมโดยใช้สิ่งนี้มาเหยียบ ผมไม่รู้เลย

โอเคแหละ มันมีโอกาสที่จะปฏิรูปเพื่อให้ไปต่อได้ด้วยกัน แต่ฝ่ายขวาก็เลือกจะดึงมันกลับมา แล้วพูดตรงๆ คือ ถ้าผมให้คิดแทนฝั่งโน้น ผมก็เหนื่อยนะ เขาก็คงพยายามทุกอย่าง ใช้ตำราทุกเล่ม แต่มันก็ไม่ฟังก์ชัน แค่ว่าอำนาจยังอยู่ในมือของคนเก่าๆ เครือข่ายอำนาจเก่า เครือข่ายธุรกิจเก่า ซึ่งยังอยู่ในมือคนกลุ่มเดิม

หลังถูกยกฟ้อง ถึงที่สุดแล้วหลังจากนี้คุณมองตัวเองในอนาคตยังไงบ้าง

ผมตั้งใจจะกลับไปอังกฤษ ไปเรียนศาสนาแล้วกลับไทย ถ้าโบสถ์และถ้าพระเจ้ากำหนดทางให้ผม ผมก็คิดว่าอยากเป็นศาสนาจารย์นะ ถ้าเรียกแบบที่คนไทยคุ้นก็คงเหมือนบาทหลวง แต่เป็นของแองกลิคัน โบสถ์อังกฤษ

MOST READ

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save