พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะฉลองใหญ่ครบรอบ 100 ปี ในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2021 นี่เป็นพรรคการเมืองที่ครองอำนาจต่อเนื่องยาวนานที่สุดในโลก แถมเป็นการครองอำนาจในประเทศที่มีจำนวนประชากร 1 ใน 5 ของประชากรโลก
มีคนพูดทีเล่นทีจริงว่า ถ้าประธานเหมาตื่นขึ้นมาวันนี้จะต้องอกแตกตายเป็นแน่ เพราะพรรคคอมมิวนิสต์จีนแปลงโฉมจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม พรรคคอมมิวนิสต์จีนเปลี่ยนแนวทางมาแล้วไม่รู้กี่รอบ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนคือ การรักษาอำนาจการปกครอง
จากจุดเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1921 คณะผู้ก่อตั้งพรรคตั้งใจให้เป็นพรรคกรรมาชีพของชนชั้นแรงงานที่ถูกกดขี่ในเขตเมือง ต่อมาเหมาเจ๋อตงปรับเป็นพรรคลัทธินิยมของชาวนาและปฏิวัติล้มล้างพรรคก๊กหมินตั๋งที่ครองอำนาจในจีนในขณะนั้นได้สำเร็จ พอประธานเหมามรณภาพ พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็พลิกโฉม 360 องศา กลายมาเป็นพรรคเศรษฐกิจนิยมที่ส่งเสริมผู้ประกอบการและภาคเอกชนในยุคของเติ้งเสี่ยวผิง จนมาถึงพรรคชาตินิยมของผู้รักชาติและปรารถนาจะเห็นจีนขึ้นมายิ่งใหญ่ในยุคของสีจิ้นผิง
คำอธิบายที่แพร่หลายในจีนมักบอกว่า ช่วงประธานเหมาเป็นช่วงที่จีน ‘ยืนขึ้น’ คือเลิกล้มลุกคลุกคลาน เลิกแตกแยก ดังที่ประธานเหมาประกาศก้องในวันก่อตั้งประเทศที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ช่วงของเติ้งเสี่ยวผิงเป็นช่วงที่จีน ‘รวยขึ้น’ ให้คนจีนอยู่ดีกินดี เลิกอดอยาก ช่วงของสีจิ้นผิงต่อจากนี้จะเป็นยุคที่จีน ‘แข็งแกร่งขึ้น’ คือก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจได้อย่างสมภาคภูมิ
แต่ละช่วงกินเวลาราว 30 ปี พอดีด้วยนะครับ ช่วงก่อนที่พรรคจะชนะสงครามกลางเมืองก็ราว 30 ปี (ค.ศ. 1921-1949) ช่วงประธานเหมาครองอำนาจก็ 30 ปี (ค.ศ. 1949 – 1976) ตั้งแต่เติ้งเสี่ยวผิงเริ่มเปิดและปฏิรูปประเทศ รวมผู้นำรุ่นถัดมาที่สืบทอดเจตนารมณ์ของเติ้งอีก 2 คน ก็ราว 30 ปี (ค.ศ. 1979 – 2009) จนสีจิ้นผิงเริ่มขึ้นมาครองอำนาจในปี ค.ศ. 2013 โดยเขาประกาศเปิดศักราชยุคใหม่ เทียบชั้นตนเองกับประธานเหมาและเติ้ง
ประวัติศาสตร์ 100 ปี ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ผ่านมา ไม่ได้มีแต่ภาพความสำเร็จราบรื่น เพราะความผิดพลาดและบาดแผลก็มีไม่น้อย มีทั้งที่จีนเองยอมรับและที่พยายามลืม ถ้าจะวิจารณ์จัดหนักพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก็อาจต้องบอกว่า นี่เป็นพรรคการเมืองที่ทำผิดพลาดมากที่สุดพรรคหนึ่งในการปกครองประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นนโยบายที่ล้มเหลวในช่วง 30 ปี ที่ประธานเหมาครองอำนาจ ตั้งแต่นโยบายเศรษฐกิจของประธานเหมาที่ชื่อว่า ‘ก้าวกระโดดไกล’ อันประกอบด้วยการสร้างคอมมูนและการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก ส่งผลให้เกิดความอดอยากล้มตายมหาศาลในชนบทจีน ตามมาด้วยการปฏิวัติวัฒนธรรมอันโหดร้ายและเป็นแผลลึกฝังใจชาวจีนมาจนถึงปัจจุบัน จนมาถึงเหตุการณ์เทียนอันเหมินที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนปราบปรามผู้ชุมนุมที่เห็นต่าง จนวันนี้พรรคเองก็พยายามลืมการมีอยู่ของเหตุการณ์ดังกล่าว
แต่ในอีกด้านของเหรียญ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ของตะวันตกต่างก็เห็นตรงกันว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นพรรคการเมืองที่ปรับตัวเพื่อความอยู่รอดได้เก่งที่สุด และเรียนรู้จากความผิดพลาดของตน เพื่อรักษาความนิยมและอำนาจ ความอดอยากและความวุ่นวายในยุคเหมากลายมาเป็นพลังปลดปล่อยการเติบโตทางเศรษฐกิจในยุคเติ้ง ส่วนในด้านการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ได้มีการปฏิรูปการเปิดกว้างภายในพรรค แตกต่างคนละเรื่องจากระบบผู้นำเดี่ยวในยุคเหมา เพียงแต่ไม่ได้ปฏิรูปไปในแนวทางเสรีนิยมหรือเดินไปสู่การเลือกตั้งอย่างที่ตะวันตกคาดหวัง
พรรคคอมมิวนิสต์จีนวันนี้ยังมีลักษณะโดดเด่นอีกข้อ คือเป็นพรรคเทคโนโลยีนิยม หรืออาจเรียกว่าเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ไฮเทค คนละเรื่องกับพรรคชาวนาของประธานเหมาในยุคป่าล้อมเมือง ที่เคยใช้ปากกระบอกปืนกุมอำนาจการปกครอง
วันนี้จีนใช้เทคโนโลยี 5.0 ในการรักษาอำนาจ และสร้างประสิทธิภาพในการตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน จอร์จ โซรอส พ่อมดการเงินโลก และผู้ก่อตั้ง Open Society Foundation ซึ่งเป็นองค์กรส่งเสริมประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ได้เคยกล่าวในงาน World Economic Forum ว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นภัยคุกคามที่สำคัญที่สุดของโลกเสรีนิยม เพราะเป็นการปกครองเผด็จการด้วยเทคโนโลยีไฮเทค จึงไม่พังง่ายๆ
ในทางรัฐศาสตร์ การรักษาอำนาจและความนิยมด้วยเทคโนโลยีของพรรคคอมมิวนิสต์จีนท้าทายกรอบคิดทฤษฎีเดิม แม้ว่าจีนจะไม่มีการเลือกตั้ง แต่พรรคเข้าใจกระแสสังคมจากการวิเคราะห์โซเชียลมีเดีย สามารถควบคุมกระแสสังคมด้วยเกรทไฟล์วอลและกองทัพนักโพสต์ของรัฐ บริหารจัดการเศรษฐกิจสังคมด้วยการใช้ประโยชน์จาก Big Data ในด้านต่างๆ ตลอดจนการพัฒนาระบบคะแนนจิตพิสัยสังคมหรือโซเชียลเครดิตในการควบคุมความประพฤติของพลเมือง ทั้งหมดนี้ภายใต้ความนิยมที่สูงยิ่งของประชาชนจีน
สำหรับงานฉลอง 100 ปี พรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือนกรกฎาคมนี้ นักวิเคราะห์ยังมองว่า จะเป็นการปูทางให้สีจิ้นผิงก้าวเข้าสู่วาระที่ 3 ของการดำรงตำแหน่งเบอร์ 1 ของพรรค ซึ่งจะเป็นการฉีกกฎการเมืองในรอบ 40 ปี ที่ผ่านมา ที่ผู้นำจีนจะดำรงตำแหน่งเพียงสองวาระ หรือ 10 ปี เท่านั้น
ในช่วงปลาย ปี ค.ศ. 2022 จะมีการประชุมใหญ่ของพรรคเพื่อกำหนดทีมผู้นำรุ่นใหม่ จากกระแสในปัจจุบัน สีจิ้นผิงดูเหมือนจะต้องการดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดต่อไป โดยเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เขาได้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อส่งสัญญาณไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (เบอร์ 2 ของพรรค) จะมีการเปลี่ยนแปลงตัวแน่นอน เพราะรัฐธรรมนูญยังจำกัดผู้ดำรงตำแหน่งนายกฯ ที่สองวาระหรือ 10 ปี จึงน่าติดตามว่าใครจะขึ้นมาเป็นนายกฯ แทนหลี่เค่อเฉียง และผู้ที่จะขึ้นมาแทนนั้นเป็นขั้วเดียวกับสีจิ้นผิง ซึ่งจะสะท้อนว่าสีจิ้นผิงรวบอำนาจได้เบ็ดเสร็จ หรือจะเป็นคนละขั้วกัน ซึ่งจะสะท้อนว่า ยังคงมีการถ่วงดุลและรักษาสมดุลในการเมืองจีนอยู่ระดับหนึ่ง
หากประวัติศาสตร์ 100 ปี ของพรรคคอมมิวนิสต์สอนอะไรเราเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในอนาคตของการเมืองจีน ผมคิดว่ามีอย่างน้อยสองข้อครับ
ข้อแรก คือ อย่าคิดว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นเนื้อเดียว ภายในพรรคแต่ไหนแต่ไรมาก็แบ่งเป็นสองขั้ว คือ ขั้วอนุรักษนิยม และขั้วหัวก้าวหน้า
ขั้วอนุรักษนิยมของจีนเชื่อมั่นในการรวมศูนย์อำนาจของพรรค ต้องการผู้นำที่เข้มแข็ง ศรัทธาในพลังของรัฐวิสาหกิจและการอุดหนุนแทรกแซงเศรษฐกิจของรัฐ ส่วนขั้วหัวก้าวหน้าเชื่อในการกระจายอำนาจ การบริหารเป็นทีม พลังของภาคเอกชนและกลไกตลาด และการให้คุณค่ากับวัฒนธรรมเสรีมากยิ่งขึ้น
ข้อสอง คือ ประวัติศาสตร์ 100 ปี ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์ทางการเมือง ในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมของประธานเหมา ถ้าไปถามผู้เชี่ยวชาญเรื่องจีนทุกคน จะไม่มีใครมองเห็นโอกาสที่จีนจะเปลี่ยนแบบกลับหลังหันมาเปิดประเทศและค้าขายแบบทุนนิยมดังที่เกิดขึ้นต่อมาในยุคเติ้งเสี่ยวผิงได้
เช่นเดียวกัน ในยุคเติ้งเสี่ยวผิง หลายคนก็นึกว่าจีนกำลังก้าวไปในทิศทางเสรีนิยมและหัวก้าวหน้าภายใต้การนำของจ้าวจื่อหยาง มือขวาหัวปฏิรูปของเติ้งเสี่ยวผิง แต่สุดท้ายก็เกิดเหตุการณ์เทียนอันเหมิน และพลิกขั้วกลับมาอยู่ใต้การนำของกลุ่มอนุรักษนิยมที่อยากให้จีนเปิดประเทศให้ช้าลง แต่แล้วผ่านไปไม่นาน ก็พลิกขั้วกลับไปที่กลุ่มหัวก้าวหน้าที่เดินหน้าเปิดประเทศต่อ ผลักดันการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ จนจีนมีแนวโน้มเสรีนิยมมากขึ้นในยุคประธานาธิบดีหูจินเทา ก่อนจะพลิกขั้วกลับมาเป็นชัยชนะของฝั่งอนุรักษนิยมอีกครั้งในยุคของสีจิ้นผิง
คงไม่ใช่ทุกคนในพรรคที่เห็นด้วยกับทิศทางที่สีจิ้นผิงเลือกเดินในปัจจุบัน อดีตนายกฯ เวินเจียเป่า ซึ่งเป็นนายกฯ ในยุคประธานาธิบดีหูจินเทา และมักถูกมองว่าอยู่ในฝั่งหัวก้าวหน้า เพิ่งเขียนบทความงานศพมารดาลงในหนังสือพิมพ์มาเก๊าเมื่อเดือนเมษายน โดยระลึกถึงคำสอนของมารดาและกล่าวถึงความฝันว่าจีนจะเป็นสังคมที่เท่าเทียม ยุติธรรม เสรี และเคารพคุณค่าความเป็นมนุษย์ นักวิจารณ์การเมืองจีนในต่างประเทศล้วนมองว่าบทความของเวินเจียเป่ามีความหมายแฝงวิจารณ์การปกครองที่อำนาจนิยมมากขึ้นของสีจิ้นผิงในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา
แม้ว่าความคิดของคนจีนไม่น้อยในปัจจุบันจะมีลักษณะไปในแนวทางอนุรักษนิยมและชาตินิยมมากขึ้น มีเสียงสนับสนุนให้สามัคคีกันภายใต้ผู้นำที่แข็งแกร่งเพื่อเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ความสำเร็จในการจัดการโควิดทำให้เกิดความคิดว่าระบบของจีนมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าและชอบธรรมไม่แพ้ตะวันตก พร้อมกันนั้น กระแสรักชาติและต่อต้านตะวันตกในสังคมจีนก็โหมแรงขึ้นตามความขัดแย้งระหว่างตะวันตกกับจีนที่เผชิญหน้ากันไม่หยุดหย่อน
แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีงานวิชาการที่สำรวจความเห็นและค่านิยมทางการเมืองของคนจีนรุ่นใหม่ พบว่าคนจีนรุ่นใหม่มีแนวโน้มศรัทธาคุณค่าตามแนวทางของกลุ่มหัวก้าวหน้ามากกว่ากลุ่มอนุรักษนิยมของพรรค แม้ความคิดหัวก้าวหน้าของคนรุ่นใหม่จะเน้นไปที่สังคมที่เปิดกว้างมากขึ้นภายใต้ระบบเดิม โดยไปไม่ถึงการเรียกร้องให้มีหลายพรรคการเมืองหรือการเลือกตั้งก็ตาม
ศิลปะและภารกิจทางประวัติศาสตร์ของผู้นำจีนอาจอยู่ที่การรักษาสมดุลระหว่างสองขั้วการเมือง เพราะประวัติศาสตร์ 100 ปี ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนสะท้อนว่า เมื่อใดที่จีนเสียสมดุลหมุนเกินไปในทิศของขั้วหนึ่ง ก็พร้อมจะดีดตัวกลับไปอีกขั้วแบบเซอร์ไพรส์โลกได้เช่นเดียวกัน