fbpx

สภาสูงสูงได้อย่างไร: ชวนสำรวจเหตุผลบางประการของการมี (และไม่มี) อยู่ของระบบสภาคู่

การเมืองไทยสมัยใหม่ผ่านการทดลองทั้งระบบสภาเดี่ยวและสภาคู่ (วุฒิสภา รวมไปถึง ‘พฤฒสภา’ ระหว่างปี 2489-2490) มาอย่างโชกโชน แต่ก็ยังไม่มีฉันทมติสุดท้ายว่าระบบไหนดีกว่ากัน

ล่าสุดเมื่อพรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งอย่างเหนือความคาดหมาย ข้อถกเถียงนี้ก็กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งในกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญปี 2560 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเด็นว่าด้วยบทบาทและความชอบธรรมของสมาชิกวุฒิสภาหรือ ส.ว.ในการมีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี

บทความนี้จึงชวนทุกท่านถอยออกมาจากข้อถกเถียงเชิงเทคนิคและความเป็นการเมืองของรัฐธรรมนูญปี 2560 เพื่อมาสำรวจ ‘สภาสูง’ ต่างๆ ในประวัติศาสตร์ รวมไปถึงทั้งข้อสนับสนุนและข้อโต้แย้งต่อการมีอยู่ของสภาที่สองนี้ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในอนาคตเมื่อสังคมของเราเดินทางไปถึงจุดที่คำถามที่ว่า ‘ส.ว. มีไว้ทำไม’ เริ่มตอบยากขึ้นทุกที

เหตุผลของฝ่ายที่สนับสนุนการมีอยู่ของสภาสูง (the Upper House) หรือระบบสองสภา (bicameralism) นั้นมีหลายข้อ ประการแรก หากดูจากพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของบางประเทศจะพบว่า สภาสูงค่อยๆ กลายเป็นสถาบันทางการเมือง จากบทบาทการถวายคำปรึกษา (counsel) แก่อำนาจบริหาร ซึ่งแต่เดิมเป็นของกษัตริย์ในอังกฤษ บทบาทของสภาสูงได้ค่อยๆ เปลี่ยนไปเมื่อฝ่ายรัฐสภาได้รับชัยชนะหลังสงครามกลางเมืองในศตวรรษที่ 17 สถาบันกษัตริย์สูญเสียความนิยมลงหลังพ่ายแพ้ในสงครามเอกราชอาณานิคมอเมริกาในศตวรรษที่ 18 และการเกิดขึ้นของนักการเมืองอาชีพศตวรรษที่ 19 ทำให้อำนาจบริหารค่อยๆ ย้ายไปอยู่ในมือของคณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม หากเชื่อตามเหตุผลข้อนี้ หน้าที่ของสภาสูงนั้นจึงมีหน้าที่แค่เพียงการให้คำปรึกษาเป็นหลักเท่านั้น ซึ่งบทบาทของสภาสองแต่แรกเริ่มนี้สอดคล้องกับระบบการเมืองแบบที่อำนาจสูงสุดเป็นของกษัตริย์

เหตุผลถัดมาเกี่ยวเนื่องกับบทบาททางประวัติศาสตร์ของสภาสูงในฐานะตัวแทนของสติปัญญาและประสบการณ์ ซึ่งอาจมีคุณูปการในการช่วยชี้ทางให้สังคมการเมือง ใน De Cive ของโธมัส ฮอบส์ และต่อมาในหนังสือ The Constitution of England ของฌอง หลุยส์ เดอโลม กล่าวสนับสนุนการมีอยู่ของสภาสูงทำให้โค่นล้มระบบเพื่อขึ้นสู่อำนาจของนักการเมืองที่มีบารมีสูงนั้นเป็นไปได้ยาก เพราะเมื่อสะสมบารมีและความนิยมได้ถึงจุดหนึ่ง ‘คนโปรดของประชาชน’ เหล่านั้นก็จะถูกย้ายไปยังสภาสูง ซึ่งมีบทบาทคอยสอดส่องการทำงานของรัฐบาลและตรวจสอบร่างกฎหมายต่างๆ จากสภาล่าง ในมุมนี้ สภาสูงทำให้ท่านผู้มากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเหล่านั้นได้มีสถานะทางสังคมโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อระบบการเมือง

เหตุผลที่สองนี้จึงเชื่อมโยงกับเหตุผลทางประวัติศาสตร์แรกว่า บทบาทหลักของสภาสูงนั้นเชื่อมโยงกับบทบาทของความเป็นผู้รู้และผู้ให้คำปรึกษาแก่สังคมการเมือง อย่างไรก็ตาม อำนาจของสภาสูงในฐานะตัวแทนของสติปัญญา ประสบการณ์ และเสถียรภาพทางการเมืองตามที่กล่าวไปถูกสั่นคลอนเป็นอย่างมากเมื่อเข้าสู่ยุคประชาธิปไตยแบบมวลชน (mass democracy) ในศตวรรษที่ 19 ต่อเนื่องเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 ในปี 1909 สภาสูงแห่งสหราชอาณาจักรปัดตกร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ของรัฐบาลพรรค Liberal รัฐบาลพรรคดังกล่าวจึงเสนอร่าง พ.ร.บ.เพื่อยุติอำนาจของสภาสูงในการปัดตกร่างกฎหมายที่ผ่านสภาล่างแล้ว ซึ่งกลายมาเป็น The Parliament Act 1911 ซึ่งใจความหลักคือ การยกเลิกอำนาจของสภาสูงในการยับยั้ง (veto) ร่างกฎหมายที่ผ่านสภาล่างแล้ว และให้มีแต่เพียงอำนาจในการชะลอ (delay) กระบวนการได้สูงสุดไม่เกิน 2 ปี (และต่อมาในปี 1949 ถูกแก้ไขให้เหลือเพียง 1 ปี) และในกรณีที่เป็นร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ (money bills) สภาสูงสามารถชะลอกระบวนการได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น นอกเหนือไปจากการจำกัดอำนาจของสภาสูงเพื่อไม่ให้เข้ามาแทรกแซงอำนาจบริหารแล้ว เหตุผลของการมีอยู่ของสภาอันทรงเกียรตินี้ก็ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปด้วย

เหตุผลถัดมามีอายุน้อยกว่าสองเหตุผลแรกและอาจกล่าวได้ว่าเป็นเหตุผลที่ #saveส.ว. ไว้ได้ในศตวรรษที่ 21 เหตุผลนี้คือการเป็นตัวแทนของภูมิภาคหรือกลุ่มประชากรอันหลากหลาย ซึ่งการมีสภาเดียวอาจไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ การที่สภาสูงในสหรัฐอเมริกาเชื่อมโยงกับการเป็นตัวแทนให้มลรัฐที่มีขนาดเล็ก ซึ่งหากใช้แต่ระบบตัวแทนแบบสัดส่วน (proportional representation) ก็อาจไม่เป็นธรรมต่อรัฐขนาดเล็กเพราะจะมีผู้แทนน้อยกว่า ปัจจุบันแต่ละรัฐ ไม่ว่าจะมีขนาดประชากรเท่าใด สามารถมีสมาชิกวุฒิภาได้รัฐละสองคนและมีวาระ 6 ปี เหตุผลนี้จึงเชิ่อมโยงกับความเป็นตัวแทน ซึ่งสภาที่สองสามารถมีได้นอกเหนือไปจากการเลือกผู้แทนราษฎรในสภาล่าง

เหตุผลสนับสนุนข้อสุดท้ายเกี่ยวเนื่องกับข้อถกเถียงทางทฤษฎีรัฐธรรมนูญ ในบทความ “Representative Government and Popular Sovereignty” ของ Bryan Garsten สำรวจจุดแข็งของระบบการปกครองแบบตัวแทนของการเมืองสมัยใหม่ที่มีเหนือว่าสาธารณรัฐยุคโบราณซึ่งเป็นการเมืองทางตรง และเสนอว่าการเมืองสมัยใหม่ทำให้การผูกขาดความเป็นตัวแทนของอำนาจอธิปไตยเป็นไปได้ยากกว่า เนื่องจากมีตัวแทนของประชาชนในหลายรูปแบบในต่างวาระกัน (เช่น จากมุมมองแบบ Hamiltonian หัวหน้าฝ่ายบริหาร เช่นประธานาธิบดี เป็นตัวแทนใช้อำนาจสูงสุดในการเจรจาระหว่างประเทศแทนประชาชน ซึ่งมุมมองนี้ขัดกับมุมมองแบบ Madisonian ซึ่งมองว่า Congress ต่างหากที่ควรเป็นผู้ใช้อำนาจดังกล่าวในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ – อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่) ในมุมมองนี้ การแบ่งอำนาจนิติบัญญัติออกเป็นสองส่วน ทั้งในสภาล่างและสภาสูงจึงทำให้เพิ่มเสถียรภาพทางการเมือง เนื่องจากไม่สามารถมีองค์กรใดสามารถกล่าวอ้างว่าเป็นเจ้าของ ‘popular sovereignty’ หรืออำนาจอธิปไตยของปวงชนได้อย่างชัดเจน กล่าวคือ แม้สภาล่างจะมีความยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด แต่มิได้ผูกขาดความเป็นตัวแทนของอำนาจอธิปไตยแต่เพียงองค์กรเดียว

กล่าวได้ว่า บทบาทของสภาสูงในการเมืองสมัยใหม่ยังคงมีเค้าลางคล้ายเดิมคือ มีบทบาทหลักในการให้คำปรึกษาและสอดส่องดูแลกระบวนการนิติบัญญัติให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย และเมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 บทบาทของสภาสูงได้เปลี่ยนไปสองรูปแบบด้วยกัน โดยรูปแบบแรกยังคงเป็นตัวแทนของประเพณีการปกครองแบบรัฐสภาเช่นในกรณีของสหราชอาณาจักร อย่างไรก็ตาม เมื่อที่มาของสภาสูงมาจากการแต่งตั้ง อำนาจของสภาสูงในสภาจึงย่อมมีเพียงอำนาจในการทักท้วง แต่ไม่สามารถก้าวล่วง (override) อำนาจของสภาล่างซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนได้โดยเด็ดขาด

ตัวอย่างที่ชัดเจนอีกกรณีคือประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศในเครือจักรภพที่ยังคงใช้ประมุขของรัฐร่วมกับสหราชอาณาจักร (แม้อาจเปลี่ยนในอนาคตอันใกล้นี้) ก็ยังยืนยันอย่างชัดเจนว่า “The executive government is not responsible to the upper house. The upper house has no role in the choosing of a government, and should have none in a dismissal.” ซึ่งอาจแปลอย่างคร่าวๆ ได้ว่าฝ่ายบริหารนั้นไม่ได้รับผิดชอบต่อสภาสูง สภาสูงไม่มีบทบาทในการเลือกรัฐบาล และไม่ควรมีบทบาทในการยุบรัฐบาลเช่นกัน (ซึ่งหากเราซื่อสัตย์ต่อความสามารถในการใช้เหตุผลของตัวเองย่อมเข้าใจว่าหลักการดังกล่าวมีเพื่อป้องกันไม่ให้สภาสูงแทรกแซงการจัดตั้งรัฐบาลของสภาล่าง ซึ่งภายใต้เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญปี 2560 ย่อมหมายถึงการโหวตตามเสียงข้างมากในสภาล่าง ไม่ใช่การงดออกเสียง) และรูปแบบที่สองคือ การเป็นตัวแทนของประชาชน เช่น ในกรณีของสหรัฐอเมริกาที่สภาสูงทำหน้าที่เป็นตัวแทนของแต่ละมลรัฐอีกขั้นหนึ่งนอกเหนือไปจากสภาผู้แทนราษฎร

ทั้งนี้ ไม่ว่าสภาสูงจะอยู่ในรูปแบบใด การมีอยู่ของสภาสูงในการเมืองสมัยใหม่จะสมเหตุสมผลก็ต่อเมื่อทำให้การเมืองตามระบบเป็นไปได้อย่างราบรื่น ไม่สามารถมีองค์กรใด ไม่ว่าจะเป็นสภาล่างหรือคณะรัฐประหาร สามารถผูกขาดความชอบธรรมชอบในการอ้างอำนาจอธิปไตยได้แต่เพียงผู้เดียว นอกจากนี้ สภาสูงไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใด ยังจำเป็นที่จะต้องมีเกียรติและได้รับการยอมรับอย่างสูงในสังคม ในหลายประเทศสมาชิกวุฒิสภายังคงถูกคัดเลือกด้วยเงื่อนไขทางประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่เป็นประโยชน์ในการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการบริหารประเทศ ซึ่งมีความซับซ้อนและต้องอาศัยความละเอียดอ่อน

อย่างไรก็ตาม หากวุฒิสภาไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมการเมืองย่อมกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมทางการเมืองอันกระอักกระอ่วน เพราะถึงที่สุดแล้วคำว่า ‘สูง’ ในสภาสูงนั้นไม่ได้มาจากชาติกำเนิดของท่านเหล่านั้น หากแต่มาจากความคิดเห็นของสังคม (public opinion) ยิ่งสภาสูงของประเทศไหนไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ‘ความสูง’ ของสภาจะยิ่งผูกติดกับความคิดเห็นของสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เช่นนั้นย่อมถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นสภา ‘เงินสดแลกเกียรติ’ (Cash-for-honours) เช่นเดียวกับที่สภาสูงของสหราชอาณาจักรเคยเจอในสมัยรัฐมนตรีโทนี (แบลร์)

ข้อถกเถียงว่าด้วยบทบาทของสภาสูงในประวัติศาสตร์การเมืองนั้นมีความซับซ้อนทางทฤษฎีรัฐธรรมนูญ และควรได้รับการถกเถียงบนพื้นฐานของหลักวิชาต่อไป เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่สภาสูงของไทยในปัจจุบันไม่ได้ทำหน้าที่อย่างที่ควรจะเป็น และอาจทำให้ในอนาคตประเทศไทยอาจไม่ได้ใช้ประโยชน์จากระบบสภาคู่อีกต่อไป

เพราะสภาสูงจะสูงแค่ไหน และจำเป็นต้องมีอยู่อีกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของสังคมไทยทั้งหมด ไม่ใช่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

อ้างอิง


Delolme, Jean-Louis. The Constitution of England, London: Liberty Fund, 2007.

Garsten, Brayn. “Representative Government and Popular Sovereignty.” Chapter. In Political Representation, ed., Shapiro, Iain, New York: Cambridge University Press, 2009. pp. 90-110.

Hobbes, Thomas, DeCive : the Latin Version Entitled in the First Edition Elementorum Philosophiae Sectio Tertia De Cive, and in Later Editions Elementa Philosophica De Cive. Oxford [Oxfordshire] :Clarendon Press, 1983.

Paul, Joanne. “Political Prudence.” Chapter. In Counsel and Command in Early Modern English Thought, 97–121. Ideas in Context. Cambridge: Cambridge University Press, 2020. doi:10.1017/9781108780407.005.

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

23 Feb 2023

จากสู้บนถนน สู่คนในสภา: 4 ปีชีวิตนักการเมืองของอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

101 ชวนอมรัตน์สนทนาว่าด้วยข้อเรียกร้องจากนอกสภาฯ ถึงการถกเถียงในสภาฯ โจทย์การเมืองของก้าวไกลในการเลือกตั้ง บทเรียนในการทำงานการเมืองกว่า 4 ปี คอขวดของการพัฒนาสังคมไทย และบทบาทในอนาคตของเธอในการเมืองไทย

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

23 Feb 2023

Thai Politics

20 Jan 2023

“ฉันนี่แหละรอยัลลิสต์ตัวจริง” ความหวังดีจาก ‘ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์’ ถึงสถาบันกษัตริย์ไทย ในยุคสมัยการเมืองไร้เพดาน

101 คุยกับ ‘ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์’ ถึงภูมิทัศน์การเมืองไทย การเลือกตั้งหลังผ่านปรากฏการณ์ ‘ทะลุเพดาน’ และอนาคตของสถาบันกษัตริย์ไทยในสายตา ‘รอยัลลิสต์ตัวจริง’

ภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์

20 Jan 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save