เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทันทีที่มีประกาศการจัดตั้งรัฐบาลผสมเพื่อไทยกับอีกหลายพรรค รวมทั้งภูมิใจไทยที่หัวหน้าพรรคเคยเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุขในรัฐบาลประยุทธ์ ก็มีข่าวหญิงคนเสื้อแดงบุกเดี่ยวไปประท้วงที่หน้าพรรคเพื่อไทย ตั้งคำถามถึงผู้ที่ต้องรับผิดชอบกรณีที่ญาติผู้ใหญ่ของตนเสียชีวิตด้วยไวรัสโควิด เพราะไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที แต่ปรากฏว่ารัฐมนตรีสาธารณสุขจะกลับมาได้ตำแหน่งใหญ่กว่าเดิมในรัฐบาลใหม่
หลายต่อหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยแล้วก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากมาย รวมทั้งชีวิตผู้คน แต่ไม่เคยมีการไต่สวนตรวจสอบว่า อะไรคือต้นเหตุของความผิดพลาดเหล่านั้น ใครจะต้องรับผิดชอบ และสังคมจะต้องเรียนรู้อะไรที่เป็นความจริง อะไรเป็นโฆษณาชวนเชื่อกลบเกลื่อนร่องรอยความผิดพลาด สมควรที่จะต้องมีมาตรการอะไรหรือวางกฎ ระเบียบไว้อย่างใดเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
จริงอยู่ที่ในทางสากลก็ยังไม่มีใครรู้ต้นตอเหตุการณ์ไวรัสโควิดระบาดไปทั่วโลก ซึ่งทำให้มีคนตายไปหลายสิบล้านคน แต่คำถามคือใครต้องรับผิดชอบ ทั้งยังมีความพยายามปกปิดตั้งแต่ต้นทาง ขาดความโปร่งใส แต่ในระดับประเทศก็ต้องหาวิธีการไต่สวนตรวจสอบกันภายในว่า ผู้บริหารประเทศ ผู้บริหารสาธารณสุข มีวิธีจัดการกับปัญหาอย่างไรเพื่อปกป้องชีวิตผู้คนในประเทศของตน หรือเกิดความผิดพลาดทางด้านนโยบายหรือวิธีปฏิบัติอย่างไรที่อาจทำให้มีคนตายมากกว่าเหตุสุดวิสัย และที่สำคัญคือใครจะต้องรับผิดชอบ
สำหรับในประเทศไทย ยังไม่มีใครสนใจที่จะตรวจสอบดูว่า รัฐบาลไทยมีการตั้งรับและดูแลประชาชนอย่างไร โครงสร้างสาธารณสุขมีขีดความสามารถในการรับมือกับโรคระบาดอย่างไร การกำหนดนโยบาย การจัดซื้อจัดจัดจ้าง การใช้ทรัพยากรและในภาคปฏิบัติดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ มีความโปร่งใสในเรื่องการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นจริงอย่างไรหรือไม่ หรือว่าเกิดการฉกฉวยทุจริตในภาวะวิกฤติที่ทำให้หาคนผิดยาก
ในขณะที่สหราชอาณาจักรไวรัสโควิดคร่าชีวิตผู้คนไปประมาณ 226,000 (ตัวเลขเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมปีนี้) เรียกว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากอันดับเจ็ดของโลก ซึ่งบรรดาญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตหลายแสนคนได้ตั้งกลุ่มรณรงค์เรียกร้องกดดันให้รัฐบาลตั้งกรรมการไต่สวนอิสระเพื่อหาผู้รับผิดชอบ สรุปบทเรียนวางมาตรการป้องกันมิให้เกิดความผิดพลาดขึ้นในอนาคต และสมควรจะต้องมีการเยียวยาผู้เสียหาย ในขณะเดียวกัน บางประเทศในยุโรปได้ดำเนินการไต่สวนในประเทศของตนไปบ้างแล้ว
การรณรงค์ในอังกฤษประสบความสำเร็จเมื่อเดือนพฤษภาคม 2021 อดีตนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันจำยอมใช้อำนาจตามกฎหมาย Public Inquiry Act 2005 ประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนสาธารณะที่เป็นอิสระจากรัฐบาล มีอำนาจเต็มในการเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ทั้งหมด ทั้งในภาครัฐและเอกชนมาให้ปากคำ โดยมีบารอนเนส เฮธเทอร์ ฮัลเลตท์ (Baroness Heather Hallett) อดีตผู้พิพากษาชื่อดังที่เคยมีผลงานไต่สวนเหตุการณ์สำคัญๆ มาเป็นประธาน โดยมีขอบเขตการไต่สวนที่ครอบคลุมอย่างกว้างขวาง อย่างเช่น
- การเตรียมความพร้อมและขีดความสามารถในการรับมือไวรัส
- กระบวนการตัดสินใจ การกำหนดนโยบาย และธรรมาภิบาลของนักการเมือง
- ผลกระทบของไวรัสโควิด ต่อระบบสาธารณสุขโดยรวม
- การจัดหาและกระจายวัคซีน การจัดกระบวนการป้องกันและรักษาผู้ป่วยโควิด
- การจัดระบบป้องกันในภาคการดูแลผู้สูงวัย (care sector)
- ระบบการจัดซื้อจัดจ้างหาอุปกรณ์ PPE
- การจัดระบบ test and trace
- ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงระบบสาธารณสุข
- ผลกระทบที่มีต่อระบบการเรียนการสอนในระดับต่างๆ
- ผลกระทบที่มีต่อภาคบริการสาธารณะอื่นๆ
คณะกรรมการไต่สวนชุดนี้ได้ประชุมชุดแรกโดยเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์รวม 69 คนมาให้ปากคำแล้ว รวมทั้งอดีตรัฐมนตรีสาธารณสุขสองท่าน และย้อนหลังไปถึงอดีตนายกรัฐมนตรีเดวิด แคเมอรอนด้วย
ขณะนี้คณะกรรมการอิสระกำลังเตรียมการประชุมไต่สวนระลอกสอง เริ่มตั้งแต่กลางเดือนกันยายนนี้เป็นต้นไป โดยจะเริ่มรับฟังปากคำจากประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากโควิดระบาด เช่น ญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต โดยได้เปิดหน้าเพจออนไลน์ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียส่งข้อความให้คณะกรรมการพิจารณาเพื่อเชิญมาให้ปากคำ
การไต่สวนระลอกสองนี้จะเชิญอดีตนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน และนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันริชี ซูนัค มาให้ปากคำด้วย ซึ่งบารอนเนสฮัลเลตท์คาดว่าคงจะสรุปรายงานเบื้องต้นออกตีพิมพ์มาได้กลางปีหน้า และคาดว่ารายงานฉบับสมบูรณ์จะตีพิมพ์เปิดเผยได้ในปีถัดไป
การไต่สวนสาธารณะในลักษณะเช่นนี้ มีประโยชน์ที่สังคมจะได้รับรู้ความจริงที่มักจะแอบซุกซ่อนอยู่ในระบบราชการที่ผู้มีอำนาจช่วยกันกลบเกลื่อนปกปิด ขัดขวางการควานหาผู้ผิด ปล่อยให้ผู้ได้รับผลกระทบต้องระทมอยู่ในความขมขื่นต่อเนื่องยาวนานโดยหาคำตอบไม่ได้ ซึ่งในกรณีโควิดนี้มีผู้คนจำนวนหลายแสนคนที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป
กฎหมาย Public Inquiry Act ที่มีการปรับปรุงแก้ไขมาหลายครั้งจนกระทั่งล่าสุดในปี 2005 นี้เป็นที่ยอมรับกันว่าได้ช่วยทำให้สหราชอาณาจักรมีความโปร่งใสมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้อำนาจรัฐเกินขอบเขตของเจ้าหน้าที่ อย่างกรณีไอร์แลนด์เหนือ ความขัดแย้งทางการเมืองจนเกิดการสูญเสีย หรืออย่างกรณีโศกนาฏกรรมไฟไหม้อาคารสงเคราะห์ Grenfell Tower ในลอนดอนที่มีคนตายจำนวนมากเมื่อปี 2017 และกรณีผู้ก่อการร้ายระเบิดรถไฟใต้ดินในลอนดอนเมื่อ 18 ปีก่อน เป็นต้น
ในอดีตที่ผ่านมาหลังจากการตีพิมพ์รายงานผลการไต่สวน เคยส่งผลให้นักการเมืองและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่บางคนต้องพ้นจากตำแหน่ง หรือหมดอนาคตทางการเมือง/ราชการไปเลยก็มี และในบางกรณีรัฐบาลต้องประกาศขอขมาทางสาธารณะและชดเชยเยียวยาผู้เสียหาย
อาจารย์เจสัน เบียร์ (Jason Beer KC) ซึ่งเป็นนักกฎหมายที่เชี่ยวชาญด้านการไต่สวนสาธารณะบอกว่า ภารกิจหลักของ Public Inquiry มีสามประการดังนี้
- เกิดเหตุอะไรขึ้น
- เกิดขึ้นได้อย่างไร และใครต้องรับผิดชอบ
- จะต้องมีมาตรการอะไรเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต
แต่สิ่งที่สำคัญอยู่ในประการที่ 3 คือต้องกำหนดให้เป็นข้อผูกพันว่า รัฐบาลจะต้องรายงานต่อสาธารณะว่าจะดำเนินมาตรการใดบ้างเพื่อสนองตอบต่อข้อเสนอแนะต่างๆ ที่มาจากรายงานของคณะกรรมการไต่สวน Public Inquiry และต่อจากนั้นคณะกรรมาธิการในรัฐสภามีหน้าที่ต้องติดตามความคืบหน้าของการบังคับใช้มาตรการเหล่านั้นแล้วตีพิมพ์เปิดเผยในที่สาธารณะเป็นระยะๆ ซึ่งหากมีการดำเนินการตามขั้นตอนนี้แล้ว ก็เชื่อได้ว่า Public Inquiry มีความโปร่งใส สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง
สำหรับในประเทศไทยก็เคยมีการไต่สวนสาธารณะในลักษณะคล้ายๆ กันที่พอจำกันได้คือ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีศาสตราจารย์คณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุดเป็นประธาน หลังจากเกิดเหตุการณ์ปะทะกันรุนแรงในความขัดแย้งทางการเมืองเมื่อปี 2553 โดยมีข้อเสนอแนะให้สร้างความปรองดองหลายประการ ที่สำคัญ มีข้อแนะนำประการหนึ่งคือ ให้มีการทบทวนปรับปรุงประมวลกฎหมายมาตรา 112 ที่เป็นปมสร้างความขัดแย้งทางการเมืองมายาวนาน เพราะมีนักการเมืองฉกฉวยใช้ความคลุมเครือของกฎหมายมาทำลายล้างฝ่ายที่มีความเห็นทางการเมืองแตกต่างจากฝ่ายตน
คณะกรรมการ คอป. แต่งตั้งโดยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าใจว่าใช้คำสั่งนายกรัฐมนตรี ไม่มีอำนาจตามกฎหมายเหมือน Public Inquiry Act 2005 ซึ่งเมื่อสรุปให้ข้อเสนอแนะออกมาแล้ว ก็ไม่มีอำนาจไปผูกโยงให้มีกระบวนการติดตามเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง ดังจะเห็นได้ว่ารัฐบาลต่อๆ มา ก็ไม่มีท่าทีว่าจะนำข้อเสนอแนะดังกล่าวไปถือปฏิบัติ จนกระทั่งการหาเสียงเลือกตั้งเมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลจึงประกาศนโยบายที่จะขอเสนอปรับปรุง ม.112
ส่วนกรณีผู้เสียชีวิตจากโควิดนั้น สำหรับในประเทศไทย เคยมีข่าวว่าจำนวนผู้ติดเชื้อมีมากถึง 4-5 ล้านคน แต่จำนวนคนที่ตายด้วยไวรัสโควิด ไม่มีข้อมูลตัวเลขยืนยันที่ชัดเจน ขาดการตรวจสอบอย่างโปร่งใส บ้างก็ว่าหลายพันคน บ้างก็ว่าหลายหมื่นคน ขึ้นอยู่กับวิธีระบุสาเหตุการเสียชีวิตที่ไม่มีการกำหนดตามมาตรฐานสากล
นอกจากนี้ก็ยังมีคำถามเกี่ยวกับกระบวนการรับมือทางสาธารณสุข ระบบการจัดซื้อจัดหาวัคซีนและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ก็ยุ่งเหยิงไปด้วยข้อกล่าวอ้างที่โต้เถียงกัน ไม่สามารถตรวจสอบยืนยันเป็นข้อเท็จจริงได้ชัด รวมทั้งมีการอ้างกฎหมาย ม. 112 มาข่มขู่คนที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับการจัดหาวัคซีนด้วย
คำถามที่ยังคาใจญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตจำนวนมากคือ การตายไปของบุคคลอันเป็นที่รักของตนนั้น เป็นเหตุสุดวิสัย หรือเป็นความผิดพลาดระดับนโยบาย หรือระดับผู้ปฏิบัติ หรือเพราะมีฉวยโอกาสการทุจริตบนความระทมทุกข์ของคนไทยนักแสนๆ คน
คำถามเหล่านี้ สำหรับผู้ที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปนั้น จะหาคำตอบได้จากไหน?