ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก เรื่อง
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2018 โลกได้มีการจดบันทึกสถิติใหม่ เกี่ยวกับอนุสาวรีย์ที่สูงที่สุดในโลก เมื่ออินเดียเปิด ‘อนุสาวรีย์แห่งความเป็นหนึ่งเดียว’ ของอินเดีย (The Statue of Unity) ซึ่งเป็นรูปปั้นของนาย Sardar Vallabhbhai Patel อดีตรองนายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย อนุสาวรีย์ดังกล่าวตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนาร์มาดา รัฐคุชราต มีความสูงถึง 182 เมตร ความสูงข้างต้นทำให้อนุสาวรีย์นี้สามารถมองเห็นได้จากดาวเทียมทางไกล
โครงการก่อสร้างอนุสาวรีย์นี้ เริ่มวางแผนตั้งแต่ปี 2010 และเริ่มก่อสร้างอย่างเป็นทางการในปี 2014 งบประมาณที่ใช้ทั้งหมดในการก่อสร้างเป็นจำนวนเงินสูงถึง 420 ล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นวงเงินการก่อสร้างอนุสาวรีย์ที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
ทั้งนี้ หากจะเล่าเพียงรายละเอียดการก่อสร้างอนุสาวรีย์ หรือกล่าวเพียงเรื่องความยิ่งใหญ่ของมัน ก็คงกระไรอยู่
หลายคนคงกำลังสงสัยในหลายเรื่อง และหนึ่งในคำถามคาใจคงหนีไม่พ้น นาย Sardar Vallabhbhai Patel มีความสำคัญอย่างไรกับประเทศอินเดีย เขาเป็นใคร เพราะตำแหน่ง ‘อดีตรองนายกรัฐมนตรีคนแรก’ ก็ดูจะไม่ได้ยิ่งใหญ่นัก เมื่อเทียบกับบุคคลสำคัญคนอื่นๆ ของอินเดีย เช่น มหาตมะ คานธี หรือ ชวาหร์ลาล เนห์รู ที่เรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ
นอกจากนี้ หลายคนคงอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมต้องสร้างอนุสาวรีย์นี้ขึ้นมาให้ใหญ่โตขนาดนี้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นคือ คนอินเดียคิดเห็นอย่างไรบ้างกับอนุสาวรีย์นี้
กว่าจะเป็นแผ่นดินอินเดีย ไม่ใช่มีแค่คานธี และเนห์รู
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังยุติลง หลายประเทศในเครือข่ายอาณานิคมของยุโรป มีการเรียกร้องเอกราชเพื่อปกครองตนเอง และหนึ่งในนั้นก็คืออินเดีย
หัวหอกสำคัญของกระบวนการเรียกร้องเอกราชในอินเดียคือ ขบวนการคองเกรส กระนั้นขบวนการคองเกรสก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างเป็นเอกภาพ แต่เกิดปัญหาความขัดแย้งภายในอย่างหนัก ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายการแบ่งแยกเพื่อปกครอง (Divide and Rule) ของอังกฤษ กล่าวคือ ก่อนที่อังกฤษจะถอนตัวออกจากอินเดีย ได้ตัดสินใจแบ่งประเทศนี้เป็น 2 ส่วนตามศาสนา คือฮินดู และมุสลิม ซึ่งต่อมาภายหลังได้กลายเป็นอินเดีย และปากีสถาน
แม้เราจะรับรู้กันว่า อินเดีย และปากีสถาน ประกาศเอกราชในช่วงเดือนสิงหาคม ปี 1947 แต่กระบวนการสร้างความเป็นเอกราชได้เริ่มขึ้นก่อนหน้านั้นล่วงเป็นปี
ในช่วงปี 1946 อังกฤษเริ่มกระบวนการขีดเขียนแผนที่ เพื่อแบ่งทั้งสองประเทศให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น แต่ปัญหามันไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะตัวแสดงไม่ได้มีเพียงแค่อังกฤษ ตัวแทนของอินเดีย และตัวแทนของปากีสถานเท่านั้น แต่ยังมีรัฐมหาราชา (Princely states) ที่ไม่ได้อยู่ใต้การปกครองทางตรงของอังกฤษอีกกว่า 554 รัฐ ซึ่งรัฐเหล่านี้มีขนาดตั้งแต่ 10 ครัวเรือน จนถึงมหานครขนาดใหญ่
ความยุ่งยากจึงไม่ใช่เพียงเรื่องการแบ่งเขตระหว่างอินเดียและปากีสถานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเจรจาพูดคุยกับรัฐมหาราชาเหล่านี้ด้วย เพราะอังกฤษต้องการให้มีประเทศเอกราชเพียง 2 ประเทศเท่านั้นภายหลังจักรวรรดิถอนตัวออกไป ดังนั้นรัฐมหาราชาทั้งหลาย ต้องตัดสินใจเลือกว่าจะผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งกับอินเดียหรือปากีสถาน
ความน่าสนใจอยู่ที่ว่า อังกฤษไม่เข้าไปช่วยเจรจาเกี่ยวกับการตัดสินใจของเจ้าผู้ครองรัฐทั้งหลาย แต่เปิดโอกาสให้ทั้งอินเดีย และปากีสถาน เข้าไปเจรจาเอง นโยบายเช่นนี้นำมาซึ่งปัญหาระหว่างสองประเทศนับตั้งแต่ยังไม่ได้รับเอกราชด้วยซ้ำ เพราะต่างฝ่ายต่างต้องการพื้นที่อาณาเขตที่มากที่สุด โดยกระบวนการเจรจานี้กินเวลายาวนาน นับตั้งแต่ก่อนได้รับเอกราชในปี 1946 จนถึงหลังได้รับเอกราชไปแล้ว 2 ปี คือในปี 1949
Sardar Vallabhbhai Patel เป็นบุคคลสำคัญของอินเดีย ซึ่งทำหน้าที่เจรจากับเจ้ามหาราชารัฐต่างๆ จนสามารถผนวกกลืนรัฐทั้งหลายเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอินเดียได้สำเร็จ แม้จะเสียบางส่วนให้กับปากีสถาน แต่ก็ถือว่าอินเดียประสบความสำเร็จในเจรจา
ผลงานสำคัญของ Patel คือ การเจรจาผนวกกลืนรัฐไฮเดอราบัด ซึ่งอยู่ใจกลางประเทศอินเดีย การเจรจากับไฮเดอราบัดนับว่าเป็นงานหิน เพราะในช่วงแรกไฮเดอราบัดยังไม่ได้ตัดสินใจ ว่าจะผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งกับปากีสถานหรือประกาศเอกราช เนื่องจากเจ้าผู้ครองนครเป็นมุสลิม ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ เขายังเป็นคนสำคัญที่ชักชวนให้มหาราชาแห่งแคชเมียร์ ตัดสินใจผนวกรวมเข้ากับอินเดียเพื่อสกัดการรุกรานจากปากีสถานอีกด้วย รัฐจัมมูร์และแคชเมียร์จึงอยู่ภายใต้การปกครองของอินเดียจนถึงปัจจุบัน
นอกจากผลงานด้านการเจรจาแล้ว Patel ยังเป็นผู้ออกแบบระบบการบริหารราชการและการปกครองของอินเดียอีกด้วย ผลงานของเขาส่งผลให้การส่งต่องานจากจักรวรรดิอังกฤษมายังอินเดีย ไม่เกิดปัญหาในช่วงเปลี่ยนผ่าน กล่าวได้ว่าแผนที่ประเทศอินเดียจะไม่เป็นรูปร่างเหมือนทุกวันนี้หากไม่มีบุรุษผู้นี้
Sardar Vallabhbhai Patel จึงไม่ใช่ชายนิรนามในประวัติศาสตร์อินเดียสมัยใหม่ แต่เป็นบุคคลสำคัญในการวางรากฐานของประเทศ ไม่ด้อยไปกว่า คานธี และเนห์รู
ในวันที่อินเดียต้องการเป็นมหาอำนาจ
นอกจากขนาดและบุคคลที่ใช้เป็นตัวแบบของอนุสาวรีย์แล้ว ชื่อ ‘อนุสาวรีย์แห่งความเป็นหนึ่งเดียว’ ยังสื่อนัยยะให้เห็นด้วยว่า รัฐบาลอินเดียคาดหวังให้เกิดความรู้สึกร่วมกันระหว่างประชาชนในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ
รัฐบาลอินเดีย ซึ่งนำโดยนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี แห่งพรรค BJP มีความมุ่งหวังอย่างมากที่จะนำพาอินเดียให้มีความก้าวหน้า สามารถยืนขึ้นและมีปากเสียงเสมอกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ในอดีตอินเดียแทบไม่มีบทบาทอะไรมากนักในเวทีระหว่างประเทศ ซ้ำยังเป็นเหยื่อทางการเมืองระหว่างประเทศ ถูกรังแกในหลากหลายช่องทาง อินเดียเคยถูกคว่ำบาตรจากปัญหาการพัฒนานิวเคลียร์จากสหรัฐอเมริกา ทั้งยังเคยถูกจีนและปากีสถานร่วมกันโจมตี ส่งผลให้ต้องถูกตัดแบ่งแผ่นดิน ตัวอย่างเหล่านี้เป็นผลมาจากจุดยืนและความอ่อนแอของอินเดียในอดีต
ปัจจุบัน แนวนโยบายต่างประเทศของอินเดียเริ่มชัดเจนมากขึ้น จากการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Non-Alliance Movement) ตลอดช่วงยุคสงครามเย็น และแม้จะถูกวิจารณ์ว่าเอนเอียงไปทางสหรัฐอเมริกา เมื่อเริ่มเปิดรับการลงทุนจากภายนอก แต่เมื่อเศรษฐกิจอินเดียขยายตัวมากขึ้น และเริ่มตระหนักในศักยภาพการพัฒนาของตนเอง ทิศทางนโยบายต่างประเทศอินเดียก็เบนเข็มไปสู่ระบอบโลกแบบพหุมหาอำนาจ กล่าวคือ การส่งเสริมการขยายตัวของหลากหลายมหาอำนาจบนโลก ไม่ใช่มีเพียงสหรัฐอเมริกา
แน่นอนว่า อินเดียก็มุ่งหวังเป็นหนึ่งในมหาอำนาจนั้น
แต่แผนการเหล่านี้จะประสบความสำเร็จไม่ได้เลย ถ้าปัญหาภายในประเทศยังคงดำเนินอยู่ และหนึ่งในนั้นคือความเป็นหนึ่งเดียวของคนในชาติ
ต้องไม่ลืมว่าอินเดียเกิดขึ้นจากการผนวกรวมของผู้คนที่หลากหลาย มีความต่างทางด้านวัฒนธรรมและภาษา ตลอดจนศาสนา ในด้านหนึ่งความแตกต่างหลากหลายเหล่านี้ช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ความเป็นพหุสังคมของอินเดีย แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันสร้างความยากลำบากในการบริหารจัดการ โดยเฉพาะเมื่อประเด็นเหล่านี้ถูกใช้ในทางการเมือง ดังที่เกิดขึ้นเสมอมาในสังคมอินเดีย
ดังนั้นรัฐบาลโมดี จึงมุ่งหวังให้อนุสาวรีย์แห่งความเป็นหนึ่งเดียวนี้ ช่วยร้อยรัดคนอินเดียทั้งหลายให้หันมาร่วมมือกันมากขึ้นในการพัฒนาประเทศ ดังข้อความช่วงหนึ่งที่เขากล่าวในการเปิดอนุสาวรีย์ว่า “อนุสาวรีย์นี้จะเป็นเครื่องยืนยันความสามัคคีของคนอินเดีย ในการเดินหน้าตามความฝันที่จะส่งเสริมให้อินเดียเป็นหนึ่งและอยู่เหนือชาติทั้งหลาย”
ควรกล่าวด้วยว่า อนุสาวรีย์แห่งความเป็นหนึ่งเดียว ไม่ได้เป็นเครื่องหมายทางอุดมการณ์ทางการเมืองเท่านั้น หากแต่ยังสะท้อนศักยภาพทางด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีด้านการก่อสร้างของอินเดียอีกด้วย
อนุสาวรีย์แห่งความเป็นหนึ่งเดียว ที่สร้างความแตกแยกภายในประเทศ
ถึงแม้ว่าแนวคิดในการสร้างอนุสาวรีย์นี้ จะวางอยู่บนหลักการที่ดีหลายเรื่อง โดยเฉพาะการสร้างความกลมเกลียวในชาติ แต่ในความเป็นจริง การเปิดอนุสาวรีย์แห่งนี้ก็สร้างปัญหาให้รัฐบาลโมดีต้องปวดหัวไม่น้อย เพราะงบประมาณมหาศาลที่ลงทุนไปกว่า 420 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูงมาก มีการศึกษาเปรียบเทียบกับอนุสาวรีย์ขนาดใหญ่อื่นๆ พบว่าสัดส่วนตัวเลขการลงทุนของอินเดียสูงผิดปกติ นำมาสู่การตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใสในการใช้งบประมาณ พรรคฝ่ายค้านอย่างคองเกรสพูดถึงประเด็นนี้ติดต่อกันหลายสัปดาห์
ในขณะเดียวกัน ด้วยงบประมาณมหาศาลเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมมีรัฐบาลหลายรัฐที่ไม่พอใจกับการใช้งบประมาณไปเฉพาะบางจุดของประเทศ ยิ่งเมื่อรัฐคุชราตเป็นฐานเสียงสำคัญของนายกรัฐมนตรีโมดี เสียงวิจารณ์ก็ยิ่งรุนแรงขึ้น มุขมนตรีรัฐพิหารถึงกับตั้งคำถามว่า ทำไมถึงไม่ตั้งอนุสาวรีย์ดังกล่าวที่รัฐของตน ซึ่งจะจ้างงานได้มหาศาล แก้ปัญหายากจนในพื้นที่ได้
ประเด็นเรื่องงบประมาณ กลายเป็นชนวนใหญ่ของสังคมอินเดีย เพราะหลายคนมองว่างบประมาณจำนวนนี้ น่าจะใช้เพื่อแก้ปัญหาในภาคเกษตรของประเทศ ที่กำลังลุกลามอย่างรวดเร็ว จนทำให้ชาวนาจำนวนนับแสนต้องฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหาหนี้สิน
อันที่จริง อนุสาวรีย์นี้ถูกต่อต้านมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การก่อสร้าง โดยเฉพาะจากชาวบ้านในพื้นที่ เพราะมีการเวนคืนที่ดินจำนวนมหาศาล รวมถึงต้องทำลายผืนป่าต้นน้ำสำคัญเพื่อเคลียร์พื้นที่อีกด้วย โดยทุกวันนี้ยังมีการรวมตัวกันไปชุมนุมหน้าอนุสาวรีย์อยู่เนืองๆ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลให้ความสนใจกับการจ้างงาน และปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังสร้างปัญหาให้กับประชาชนจำนวนมาก เรียกได้ว่า มีปัญหาตั้งแต่วันสร้างยันวันเปิดงาน
ดูเหมือนว่า ความมุ่งหวังที่จะใช้ ‘อนุสาวรีย์แห่งความเป็นหนึ่งเดียว’ เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อร้อยรัดคนอินเดียให้เป็นหนึ่งของโมดี จะกลายเป็น ‘ดาบสองคม’ ให้ฝ่ายตรงข้ามหยิบมาใช้เป็นเครื่องโจมตีรัฐบาลเสียเป็นส่วนมาก กระนั้นแม้จะฟาดฟันกันอย่างไรก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ไม่มีใครในอินเดียปฏิเสธว่า Sardar Vallabhbhai Patel ไม่ควรได้รับเกียรติในการเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นหนึ่งเดียวของอินเดียนี้
***หมายเหตุ: สำหรับผู้อ่านที่สนใจศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทบาทของ Sardar Vallabhbhai Patel ในการรวบรวมแผ่นดินอินเดีย ผมแนะนำให้อ่านหนังสือชื่อ THE STORY OF THE INTEGRATION OF THE INDIAN STATES ของ V. P. MENON ซึ่งเป็นทีมงานเจรจากับเจ้ามหาราชาหลายรัฐให้กับ Patel