ว่ากันว่า ด้วยความที่การเมืองในประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวียนั้นมีความโปร่งใสเป็นอย่างยิ่ง มีผลดัชนีวัดการคอร์รัปชั่นต่ำเป็นอันดับต้นๆ ของโลก จึงน่าจะทำให้เรื่องอื้อฉาว (scandal) ทางการเมืองและสังคมย่อมจะต้องต่ำตามไปด้วย เพราะไม่มีใครอื้อจึงไม่มีอะไรจะฉาว ก็เมื่อนักการเมืองซื่อสัตย์ โปร่งใส มีจริยธรรม ตรวจสอบได้ และตรงไปตรงมาแล้ว ย่อมไม่มีเรื่องอะไรมาให้สื่อสารมวลชนขุดๆ ค้นๆ มารายงานข่าวกันได้ทุกเมื่อเชื่อวัน
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงหมดสนุกกันพอดี เพราะถ้าจะกล่าวถึงอะไรที่ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา มีจริยธรรมอย่างสมบูรณ์ไม่มีที่ติแล้วล่ะก็ เราก็คงจะกำลังพูดถึงพระพุทธรูปที่ท่านประดิษฐานอยู่เฉยๆ หรือรูปพระเยซูตรึงกางเขนที่แขวนอยู่บนผนังเท่านั้นเอง มนุษย์ผู้มีกรรมและมีบาปอย่างเราๆ ท่านๆ ย่อมจะต้องมีอะไรที่หันเหไปจากเส้นทางของพระผู้เป็นเจ้า หรือเส้นทางสู่พระนิพพานอยู่เสมอ
มีนักวิชาการชาวสแกนดิเนเวียเขาศึกษาข่าวอื้อฉาวในฐานะกระบวนการ และเขามีอะไรฉาวๆ จากสแกนดินเวียมาเล่าให้ฟัง ผมขออนุญาตหยิบยกมากระซิบกระซาบท่านผู้อ่านครับ
คำว่า scandal
คำนี้ในภาษานอร์เวย์ (skandale) และภาษาสวีเดน (skandal) มีความหมายว่า ‘บางสิ่งที่ทำให้เกิดความขุ่นเคืองหรือความอับอายใจ’ ซึ่งมีรากศัพท์มาจากที่เดียวกันคือ skandalum ในภาษาละติน แปลประมาณว่า ‘เหตุของความขุ่นเคือง’ และ skandalon ในภาษากรีกซึ่งหมายความถึง ‘กับดัก’ หรือ ‘การสะดุด’
หากว่ามีการสะดุด นั่นก็หมายความว่าเรากำลังเดินทางไปที่ไหนสักที่ใช่ไหมครับ การสะดุดในที่นี้จึงแสดงให้เห็นว่า คำว่า scandal มีรากศัพท์มาจากศาสนายิว-คริสต์ โดยหมายความถึงบางสิ่งบางอย่างที่เป็นอุปสรรคขัดขวางบนถนน ถึงอุปสรรคนี้มีขึ้นเพื่อจะทดสอบผู้ศรัทธาถึงความเชื่อต่อพระยาห์เวย์ (Yahweh) และต่อมาในเทววิทยาของคริสต์ศาสนาคำละติน skandalum ก็ถูกใช้เพื่อหมายถึงการกระทำที่เป็นบาปโดยตรง ซึ่งการกระทำนี้คุกคามความศรัทธาของสมาชิกชุมชนศาสนา เป็นการกระทำที่มีความเกี่ยวข้องกับความปรารถนา (desire) ซึ่งสร้างอุปสรรคต่อเส้นทางสู่การไถ่บาป (salvation) เป็นการละเมิด (transgression)
ดังนั้น ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหน ข่าวอื้อฉาวก็จะมีมิติของบาป ความอับอาย การลงทัณฑ์ และการไถ่โทษ ประกอบอยู่ด้วยเสมอไป นักมานุษยวิทยาศาสนา เรอเน ณีราร์ด (René Girard) เสนอไว้ว่า อาการช็อคที่เกิดจากการเปิดเผยข่าวอื้อฉาว เป็นความปรารถนาอันเร่าร้อน (hectic desire) ที่จะแยกแยะระหว่างผู้บริสุทธิ์และผู้มีความผิด เพื่อเปิดเผยการกระทำอันน่าอับอาย และเหตุการณ์อื้อฉาวเพื่อให้เห็นผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งมวล ทั้งหมดเพื่อขจัดขัดขวางอุปสรรคเส้นทางสู่การไถ่บาปนี้
ก่อนจะไปสู่หัวข้อถัดไป ผมขอตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อคำว่า scandal เดินทางเข้ามาถึงในภาษาไทยแปลเป็น ‘ความอื้อฉาว’ แล้ว (ซึ่งผมชอบกว่ามากเพราะเป็นคำเลียนเสียงธรรมชาติ [onomatopoeic] ‘อื้อ’, ‘อื้ออึง’ ไม่ได้มีร่องรอยศาสนาอยู่เลย) สะท้อนให้เห็นความแตกต่างของรากฐานของสังคมทั้งสองสังคม อันนำมาซึ่งความแตกต่างกับการจัดการกับเรื่องข่าวอื้อฉาว ซึ่งเราอาจจะได้ยินคำประชดประชันว่า “ถ้าอื้อฉาวขนาดนี้เป็นสังคมอื่นเขาลาออกไปนานแล้ว” เป็นต้น
ประเภทของความอื้อฉาวทางการเมือง
กลับมาที่โลกคริสต์ศาสนา และเจาะจงลงไปที่เรื่องอื้อฉาวทางการเมือง (political scandal) มีผู้ที่ศึกษาประเด็นนี้และอธิบายส่วนประกอบของข่าวอื้อฉาวทางการเมืองว่ามีห้าอย่าง
1) มีการกระทำการละเมิดคุณค่าที่ตายตัว บรรทัดฐาน หรือศีลธรรมของสังคม ซึ่งในหัวข้อก่อนหน้าเราได้คุยกันไปแล้วนิดหน่อย
2) การละเมิดดังกล่าวต้องเป็นที่รับรู้ของคนหรือกลุ่มคนที่อยู่ข้างนอกวงของกลุ่มผู้ละเมิด ความอื้อฉาวจะไม่เกิดขึ้นหากคนสองคนสมคบกระทำการละเมิด แต่จะเกิดขึ้นเมื่อคนหนึ่งในนั้นนำเรื่องไปประกาศสู่สาธารณะ เป็นต้น
3) จะต้องมีผู้ที่ได้รับความกระทบกระเทือนจากการเปิดเผยเรื่องอื้อฉาวนั้นๆ แค่เพียงรับรู้เรื่องเฉยๆ ไม่ได้ ต้องช็อคด้วย
4) จะต้องมีผู้ที่พร้อมจะลุกขึ้นประนามเรื่องอื้อฉาวนั้นในที่สาธารณะ และนี่เป็นองค์ประกอบที่สื่อสารมวลชนเข้ามามีบทบาทหลัก
5) เรื่องอื้อฉาวทางการเมืองนั้นจะมีพลังที่สามารถทำลายอาชีพและทุนทางการเมืองของผู้ที่อยู่ในเรื่องนั้นได้
ประเด็นที่สำคัญคือ เรื่องทุกเรื่องที่จะเป็นเรื่องอื้อฉาวได้ต้องผ่านตัวกลาง (mediated) และไม่ใช่เรื่องละเมิดทุกเรื่องจะกลายเป็นความอื้อฉาวทางการเมืองได้ทั้งหมด แรกสุดเรื่องหนึ่งๆ อาจจะเริ่มเล็กๆ แล้วก็หายไป หรือลดระดับลง แต่บางเรื่องเริ่มแล้วบานปลายกลายเป็นวาระแห่งชาติได้
กระบวนการนี้เป็นสองทาง คือในทางบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอื้อฉาวและทางการรับของสังคม นักการเมืองในสแกนดิเนเวียที่มียุทธศาสตร์ เมื่อเรื่องหนึ่งๆ ถูกเปิดโปงขึ้น จึงรีบจัดการด้วยการทำให้เรื่องนั้นๆ ผ่านไปให้เร็วที่สุด ด้วยการยืดอกรับผิดและขอโทษทันที ในภาษาสวีเดนมีสำนวนว่า ‘ทำเป็นหมาพุดเดิ้ล’ (att göra en pudel) เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องนั้นใหญ่โตบานปลายควบคุมไม่ได้ มาจากเหตุการณ์การขอโทษและลาออกของนายกรัฐมนตรี ยาน คาร์ลส์สัน (Jan O Karlsson) ในปี 2002 เป็นต้น
ส่วนในทางการรับของสังคม บางเรื่องที่ถูกเปิดเผยขึ้นอาจจะไปเกาะเกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ ที่ทำให้ความจริงของเรื่องนั้น ไม่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่สังคมต้องการจะรับรู้ สถานการณ์นี้ทำให้บรรทัดฐานของสังคมต่อเรื่องการละเมิดเปลี่ยนแปลงไปตามบริบท ตัวอย่างเช่นในอังกฤษ กับเหตุการณ์อื้อฉาวโพรฟูโม (Profumo scandal) ในปี 1963 เมื่อรัฐมนตรีกระทรวงสงคราม จอห์น โพรฟูโม (John Profumo) ถูกเปิดโปงว่ามีชู้รักกับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่เคจีบี (KGB) ทำให้เรื่องอื้อฉาวนี้กลายเป็นประเด็นทางความมั่งคงมากกว่าจะเป็นเรื่องอื้อฉาวทางเพศทันที ดังนั้นเรื่องจริงที่ว่าการมีชู้นั้นมีจริงหรือไม่ อาจจะไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าว่าอะไรที่เป็นความลับแห่งชาติที่รั่วไหลหรือเปล่า เป็นต้น
เรื่องอื้อฉาวที่เพิ่มขึ้น
สำหรับผู้ที่สังเกตการณ์เรื่องเล่าทางการเมืองในสแกนดิเนเวีย มีการเสนอว่าในช่วงทศวรรษ 1980-2010 เรื่องอื้อฉาวทางการเมืองได้เข้ามาครองพื้นที่สาธารณะมาก เป็นปรากฏการณ์ใหม่อย่างที่ไม่ได้เป็นมาก่อนหน้า คือหลายสิบปีหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ข่าวอื้อฉาวมักจะเป็นเพียงประเด็นเรื่องการตัดสินใจนโยบายทางการเมืองหรือพฤติกรรมส่วนตัวบางประการ แต่เมื่อเข้าทศวรรษที่ 1980 ลงมา ดูเหมือนว่าเรื่องอื้อฉาวจะขยายออกไปมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
มีความน่าสนใจตรงที่ว่า เมื่อเข้าสู่ทศวรรษที่ 1980-2010 เรื่องอื้อฉาวที่มีจำนวนมากที่สุดนั้นเป็นเรื่องเศรษฐกิจการเงิน เช่น การเลี่ยงภาษี การยักยอกเงิน และการคอร์รัปชั่น
ซึ่งสถานการณ์นี้ อาจจะไม่ใช่เหตุผลที่ว่านักการเมืองคอร์รัปชั่นจำนวนมากขึ้น มากเท่ากับว่า บรรทัดฐานทางสังคม (norms) เปลี่ยนแปลงไปสู่การไม่ยอมรับเรื่องการเลี่ยงภาษี และยักยอกเงินเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว พร้อมๆ กับเทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการระบบราชการ (เช่นการเปลี่ยนเข้าสู่สังคมไร้เงินสดอย่างรวดเร็ว) ทำให้เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายเงินของพนักงานรัฐและนักการเมืองถูกติดตามและตรวจสอบได้อย่างชัดเจน
ควรจะเป็นที่ต้องเสริมตรงนี้ว่า เรื่องอื้อฉาวในทางการใช้เงินนั้นเป็นเรื่องทางศีลธรรมด้วย เช่นเรื่องรัฐมนตรีที่โกงค่าแท๊กซี่ ไม่ว่าจะโกงน้อยแค่ไหนก็ตาม เรื่องราวที่ว่านี่ก็จะบานปลายกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวทางการเมืองได้ไม่ยาก ตัวอย่างเช่นในปี 2007 แพร์ ดีตเลฟ-ไซมอนเซน (Per Ditlev-Simonsen) นักการเมืองพรรคอนุรักษนิยมของนอร์เวย์ ผู้เคยเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยและเป็นผู้ว่าเมืองออสโลว์หลายต่อหลายปีถูกเปิดโปงว่าเขาซ่อนเงินมรดกในธนาคารสวิสเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีเมื่อหลายปีก่อน ในทางภาษีนั้นเรื่องนี้หมดอายุไปนานแล้ว แต่ในทางเรื่องศีลธรรมเรื่องนี้กลายเป็นจุดจบอาชีพทางการเมืองของเขาลงทันที
หรือในกรณีอื้อฉาวครั้งใหญ่ของสวีเดน คือกรณีบูฟอส (Boforsaffären) บริษัทผลิตอาวุธของสวีเดนที่ลงนามในสัญญาขายอาวุธกับรัฐบาลอินเดียในปี 1986 โดยบริษัทบูฟอสติดสินบนนักการเมืองอินเดียเพื่อให้ตนได้ขายปืนใหญ่วิถีโค้งให้แก่รัฐบาลอินเดีย เรื่องอื้อฉาวนี้กลายเป็นเรื่องหนึ่งที่นำไปสู่ความพ่ายแพ้ของนาย ราจีฟ คานธี (Rajiv Gandhi) ในการเลือกตั้งทั่วไปในไม่กี่ปีถัดมา เป็นความน่าอับอายของที่พรรคคองเกรสถือว่าเป็นความด่างพร้อยของตน ส่วนในสวีเดนนั่นคือปีของนายกรัฐมนตรี โอลอฟ พาลเม (Olof Palme) ผู้มีส่วนเจรจากับนายกคานธีเกี่ยวกับข้อตกลงซื้อขายอาวุธนี้ด้วย หลังจากการตรวจสอบ มีการใช้เงินหลายสิบล้านดอลล่าห์สหรัฐฯ โอนเข้าในบัญชีธนาคารสวิส เพื่อเกี่ยวข้องกับการติดสินบนนี้
ขณะที่ในอินเดียเป็นความอับอาย ก็น่าแปลกอยู่เหมือนกันว่าในสวีเดน กรณีอื้อฉาวบูฟอสนี้ไม่ได้มีผลกระทบทางตรงต่อรัฐบาลสวีเดน แม้จะมีการวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณะอย่างหนักก็ตาม
หรือเรื่องอื้อฉาวทางการเงินอีกเรื่องหนึ่งคือบริษัทน้ำมันแห่งชาตินอร์เวย์สตัดออยล์ (Stadsoil) ในปี 2003 มีการเปิดเผยว่าบริษัทติดสินบนนักการเมืองแถวหน้าของอิหร่าน เพื่อจะให้ได้สัญญาการซื้อขายพลังงานระหว่างนอร์เวย์และอิหร่าน เนื่องจากบริษัทนี้เป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติ ผู้ที่รับผิดชอบคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงน้ำมันและพลังงาน ซึ่งก็แก้ไขด้วยการเรียกประชุมบอร์ดบริหารและไล่ผู้ที่เกี่ยวข้องออก เพื่อลดแรงกดดันจากเรื่องอื้อฉาวนี้
เหล่านี้เป็นเพียงบางตัวอย่าง ที่ผู้ศึกษาเรื่องอื้อฉาวของกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียชี้ให้เห็นว่า เรื่องอื้อฉาวนั้นมีพัฒนาการในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ และสะท้อนให้เห็นพลวัตของบรรทัดฐานทางสังคมและบทบาทของสื่อสารมวลชนในการเป็นสื่อกลาง ประเทศกลุ่มสแกนดินเวียก็มีปัญหาเรื่องการคอร์รัปชั่น ซึ่งแม้จะไม่มากโดยเปรียบเทียบ แต่อาจจะช่วยทำให้เกิดภาพที่สมดุลขึ้นกว่าการร่างภาพภูมิภาคนี้เป็นพระพุทธรูปที่ท่านประดิษฐานอยู่เฉยๆ หรือรูปพระเยซูตรึงกางเขนที่แขวนอยู่บนผนัง
อ้างอิง
Sigurd Allern & Ester Pollack (eds), Scandalous! The Mediated Construction of Political Scandals in Four Nordic Countries (2012)