ปี 2518 ‘พญาอินทรี’ เทียมบุญ อินทรบุตร โปรโมเตอร์วงการมวยชื่อดังในขณะนั้น ร่วมกับสนอง รักวานิช เทรนเนอร์คู่ใจ วางแผนบันไดสามขั้น ผลักดันแสนศักดิ์ เมืองสุรินทร์ นักมวยหมัดหนัก ฉายา ‘ไอ้แสบ’ ซ้ายทะลายโลก ขึ้นชกมวยสากลอาชีพรุ่นไลต์เวลเตอร์เวตเพียงสามครั้ง จนได้ครองแชมป์โลกของสภามวยโลก
ผลงานครั้งนั้นสร้างความฮือฮาทั้งในประเทศและทั่วโลก กลายเป็นสถิติโลกมาจนถึงปัจจุบัน (ต่อมา วาซิล โลมาเชนโก นักมวยชาวยูเครนก็ทำได้เช่นกันในปี 2557)
ที่ต้องเกริ่นด้วยเรื่องประวัติศาสตร์วงการมวยสากลของไทยและของโลก ที่คนเจนวายและเจนแซดอาจจะไม่รู้จัก แต่เชื่อว่าคนเจนเอ็กซ์และเบบี้บูมเมอร์ส่วนใหญ่ยังจดจำความสะใจกับภาพพลังหมัดชนิดโป้งเดียวจอดของ ‘ไอ้แสบ’ ได้ดี ก็เพื่อจะเชื่อมโยงว่าในวงการการเมือง ‘อนาคตใหม่-ก้าวไกล’ อาจมีเส้นทางคล้ายๆ ‘ไอ้แสบ’ แห่งวงการมวยสากล นั่นคือการไต่บันไดสามขั้นสู่การเป็นรัฐบาล
แม้จะไม่ใช่สถิติที่ใช้เวลาเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เช่นที่พรรคไทยรักไทยทำได้ภายในบันไดขั้นเดียวเมื่อปี 2544 (ไม่ขอนับรวมพลังประชารัฐที่ไต่บันไดขั้นเดียวเช่นกันในปี 2562 เพราะกติกาที่บิดเบี้ยว) แต่หากเทียบบริบททางการเมืองที่เปลี่ยนไปมาก ถ้าการไต่บันไดสามขั้นของอนาคตใหม่-ก้าวไกลสำเร็จจริง ก็ถือว่าเป็นผลงานระดับ ‘ปรากฏการณ์’ ที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าที่ไทยรักไทยสร้าง
และว่ากันตามตรงแล้ว หากไม่ใช่เพราะกติกาที่บิดเบี้ยว และอำนาจจากช้างตัวใหญ่ที่อยู่ในห้อง วันนี้ประเทศไทยควรมีรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคก้าวไกล และมีนายกรัฐมนตรีชื่อ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ไปแล้ว
จากบันไดสามขั้น เท่ากับว่าไต่แค่สองขั้นก็บรรลุเป้าหมาย
แน่นอนว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายที่โอกาสมาเร็วเกินคาดแต่คว้าไว้ไม่ได้ แต่ไม่ใช่เรื่องน่าเสียใจ และควรจะดีใจกับคะแนนที่พุ่งทะยานจากบันไดขั้นแรกชนิดหักปากกาเซียน
ด้วยยอดรวม ส.ส. จาก 81 คน เป็น 151 คน / คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ จาก 6.3 ล้าน เป็น 14.4 ล้าน / จาก 77 จังหวัด คะแนนปาร์ตี้ลิสต์มาอันดับหนึ่ง 44 จังหวัด ส่วนอีก 33 จังหวัดเข้าอันดับสอง
และที่น่าสนใจไปกว่านั้น มี 20 จังหวัดที่ก้าวไกลไม่ชนะ ส.ส.เขต แต่คะแนนปาร์ตี้ลิสต์มาอันดับหนึ่ง คือ กระบี่ กาญจนบุรี กำแพงเพชร ชัยนาท ตรัง นครนายก บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ พังงา เพชรบุรี เพชรบูรณ์ แม่ฮ่องสอน ราชบุรี สงขลา สตูล สิงห์บุรี สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี อ่างทอง และอุทัยธานี
จาก 20 จังหวัดดังกล่าว จะเห็นได้ว่าเป็นถิ่นการเมืองเก่าสไตล์ ‘บ้านใหญ่’ ที่สืบทอดการเป็น ส.ส. มาหลายรุ่น เช่น บุรีรัมย์ สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี
ผลการเลือกตั้งเหล่านี้บอกปรากฏการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างไปจากการเลือกตั้งที่ผ่านๆ มา เพราะก้าวไกลเป็นพรรคเดียวที่มี ส.ส. เขตครบทุกภูมิภาค และคะแนนปาร์ตี้ลิสต์เป็นที่หนึ่งครบทุกภูมิภาค
นี่คือพรรคการเมืองที่มีแนวโน้มเติบโตเป็นพรรคระดับชาติอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่พรรคภูมิภาคนิยม หรือพรรคท้องถิ่นนิยม
แม้แต่พรรคไทยรักไทยที่เคยแลนสไลด์เป็นรัฐบาลพรรคเดียวเมื่อปี 2548 ได้ ส.ส.รวม 377 คน / คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ 18.9 ล้านเสียง ก็ยังมี ส.ส.ไม่ครบทุกภาค (ขาดภาคใต้)
คำถามสำคัญคือ จากอนาคตใหม่ถึงก้าวไกล พวกเขาผ่านการเลือกตั้งใหญ่เพียงหนึ่งสมัย ทำได้ขนาดนี้ แต่จากนี้ไป ก้าวไกลจะเลี้ยงกระแส+ขยายกระแสให้แรงขึ้นไปเป็นเท่าทวีคูณได้อย่างไรเพื่อก้าวข้ามบันไดขั้นที่สาม
ที่ใช้คำว่า ‘เท่าทวีคูณ’ เพราะภาพทางการเมืองปัจจุบันชัดเจนแล้วว่า ก้าวไกลถูกโดดเดี่ยวทางการเมืองจากแทบทุกพรรค (โดยเฉพาะฝ่ายอนุรักษนิยม) ณ ขณะนี้มีเพียงพรรคเป็นธรรมและพรรคไทยสร้างไทย สองพรรคเล็ก ที่มีท่าทีเป็นมิตร
ดังนั้นแม้รัฐธรรมนูญที่กำลังจะแก้ (?) ไม่มี ส.ว. ร่วมโหวตเห็นชอบนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป แต่ถ้าก้าวไกลชนะเลือกตั้งด้วยเสียง ส.ส. ไม่เกินกึ่งหนึ่งของสภา เป็นไปได้ว่าอาจจะตกบันไดขั้นที่สาม เพราะฝ่ายอนุรักษนิยมจับมือกันแน่น
คำตอบนี้ ขึ้นอยู่กับสองปัจจัย
ปัจจัยแรก คือผลงาน+การทำงานของพรรคก้าวไกลเอง ต้องยอมรับว่าเมื่อไม่ได้เป็นรัฐบาล การผลักดันผลงาน+การสร้างกระแสเชิงบวกให้ขยายทั้งด้านกว้างและลึกย่อมเสียเปรียบฝ่ายรัฐบาล ด้วยอำนาจจากงบประมาณ การควบคุมกลไกราชการ+องค์กรต่างๆ รวมทั้งการครอบครองพื้นที่สื่อ
อย่างไรก็ตามในแง่การสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ ผมยังเชื่อมั่นว่าก้าวไกลจะทำได้ดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเมื่อครั้งเป็นฝ่ายค้านสมัยที่แล้ว การประกาศว่าจะเดินหน้าเป็นฝ่ายค้านที่สร้างสรรค์ต่อไป ไม่ใช่แค่พูดเอาหล่อ เพราะก่อนหน้าจะเปิดสภา ก้าวไกลก็เตรียมยกร่างกฎหมายเปลี่ยนประเทศไว้แล้วถึง 45 ฉบับ และจนถึงขณะนี้ยื่นเข้าสภาไปแล้วหลายฉบับ ขณะที่พรรคอื่นๆ กระตือรือร้นกับการทำหน้าที่เช่นนี้น้อยมาก
ในแง่การสร้างกระแส ขยายฐานมวลชน แม้จะไม่มีสื่อและงบประมาณในมือเท่ากับรัฐบาล แต่ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และความเชี่ยวชาญทั้งทางเทคนิคและเชิงกลยุทธ์ของก้าวไกล บวกกับหัวคะแนนธรรมชาติ – พูดกันตรงไปตรงมา ทุกวันนี้กระแสความนิยมของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์และพรรคก้าวไกลแทบจะไม่ตกลงไปเลย ดูได้จากผลการเลือกตั้งซ่อมที่ระยอง และเทียบการลงพื้นที่ปรากฏตัวในวาระและสถานที่ต่างๆ ระหว่างพิธากับเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ถ้าไม่อคติจนเกินไป จะเห็นภาพการต้อนรับจากประชาชนที่แตกต่างกันมาก จนอาจกล่าวได้ว่าไม่รู้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงในใจประชาชนกันแน่
ปัจจัยที่สอง ผลงาน+การทำงานของรัฐบาลเศรษฐา ความเป็นรัฐบาลได้เปรียบโดยธรรมชาติอยู่แล้วในการสร้างผลงาน แต่กุญแจสำคัญที่จะไขความได้เปรียบให้สำเร็จก็ขึ้นอยู่กับความสามารถ ความชอบธรรม และ ‘กึ๋น’ ของรัฐบาล โดยเฉพาะ ‘ผู้นำ’
ประวัติศาสตร์บอกชัด หาก ‘ผู้นำ’ มีกึ๋น องคาพยพรัฐบาลชอบธรรมและมีความเป็นมืออาชีพ ประชาชนก็พร้อมเทคะแนนให้ เมื่อเลือกตั้งครั้งใหม่ เช่น ที่ไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งมาทุกครั้ง ตั้งแต่ปี 2544 ก่อนจะมาแพ้ครั้งแรกในรอบ 20 กว่าปี ในปี 2566
แต่ถ้าทุกอย่างเป็นตรงข้าม ผู้นำไร้กึ๋น ที่มาของรัฐบาลขาดความชอบธรรม แม้จะแจกจ่ายนโยบายซื้อใจประชาชนเพียงไร เลือกตั้งครั้งต่อมาก็พ่ายแพ้ได้ เช่น รัฐบาลอภิสิทธิ์ รัฐบาลประยุทธ์
กล่าวสำหรับรัฐบาลเศรษฐา อาจเร็วไปที่จะสรุปว่าบทจบจะไม่ต่างจากรัฐบาลอภิสิทธิ์และรัฐบาลประยุทธ์ เพราะเพิ่งเรื่มทำงานได้เพียงหนึ่งเดือนเศษ แต่ก็ไม่เกินเลย ถ้าหากจะมองว่าโอกาสจบแบบรัฐบาลไทยรักไทยในปี 2544 เท่ากับศูนย์เปอร์เซ็นต์
เพราะบาดแผลใหญ่ติดตัวข้อแรกคือการตระบัดสัตย์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการทำงานการเมือง บวกกับท่าทีหยิ่งผยองของคนในพรรคเพื่อไทยและกองเชียร์ที่อวดอ้างภาคภูมิใจกับการตระบัดสัตย์ ไม่ต่างอะไรกับการเหยียบย่ำหัวใจคนรักประชาธิปไตย
ครั้นหันไปพิจารณาในแง่กึ๋นของผู้นำและองคาพยพของรัฐบาล หนึ่งเดือนเศษที่ผ่านมา อย่าว่าแต่เทียบเคียงกับยุคทักษิณเป็นผู้นำรัฐบาลไทยรักไทยเลย เอาแค่เทียบกับรัฐบาลประยุทธ์ ยังมองไม่เห็นว่าเหนือกว่าตรงไหน
ที่คนในรัฐบาลเศรษฐาและกองเชียร์อวยกันเองว่าทำงานมา 30 วัน เหมือนทำมาแล้ว 3 ปี จริงๆ ประชาชนอยากบอกว่า เหมือนทำมาแล้ว 9 ปีมากกว่า เพราะวิธีคิด วิธีสื่อสาร นโยบาย และท่าทีในหลายเรื่องของรัฐบาลชุดนี้คล้ายคลึงกับรัฐบาลประยุทธ์มาก
ยิ่งถ้านับในแง่หน้าตาตัวบุคคลที่ประกอบขึ้นเป็นรัฐบาล ตั้งแต่รัฐมนตรี ที่ปรึกษา และอีกหลายตำแหน่งทางการเมืองที่แต่งตั้งกันเข้ามาด้วยแล้ว ไม่แปลกอะไรที่หลายคนจะยั่วล้อว่านี่คือ ‘รัฐบาลประยุทธ์ 3’
ที่เคยคุยข่มทุกพรรคมาตลอดว่า มีทีมเศรษฐกิจเหนือกว่าใคร มืออาชีพกว่าใคร หันกลับไปมองความเป็นจริงในปัจจุบัน ‘เศรษฐา+ภูมิธรรม+สุริยะ+จุลพันธ์’ นี่น่ะหรือทีมเศรษฐกิจเพื่อไทยที่จะมาปลุกเสกจีดีพีประเทศปีละ 5%
แค่ตอบคำถาม+ข้อสงสัยนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่นักวิชาการและสังคมท้วงติง นอกจากตอบได้ไม่เคลียร์ ไม่ชัดเจน เหมือนคิดไปทำไป วันดีคืนร้ายนายกรัฐมนตรีดันทวีตเชิงปลุกระดมให้กองเชียร์ออกมาชนกับคนที่เห็นต่างนโยบายนี้ไปซะได้
วันนี้เศรษฐาคงรู้ซึ้งแล้วว่าการเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ง่ายไปกว่าการเป็นซีอีโอองค์กรธุรกิจ แบบที่ให้สัมภาษณ์ไว้หล่อๆ กับพีพีทีวี เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2566
เมื่อสองปัจจัยที่กล่าวไปแล้ว เหมือนจะไม่ใช่อุปสรรคที่น่ากังวลมากนัก แล้วอะไรคืออุปสรรคที่อาจทำให้ก้าวไกลสะดุดคว่ำในบันไดขั้นที่สาม
ข้อแรก คือการแก้รัฐธรรมนูญที่อยู่ภายใต้การชี้นำของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ประชาชนต้องช่วยกันตรวจสอบส่งเสียงทุกขั้นตอน อย่างไรก็ตามข้อนี้ หากไม่หน้าด้านขั้นสุด แก้ให้ ส.ว.ร่วมโหวตนายกฯ ได้เช่นเดิม คงยากที่จะเอาชนะพายุการเปลี่ยนแปลงในรอบหน้า
ข้อสอง คือความประมาทของก้าวไกล ไม่ว่าจะโดยสาเหตุอะไร ก้าวไกลต้องรีบทบทวน แก้ไขข้อบกพร่อง+ช่องโหว่ที่ทำให้พรรคเผชิญปัญหาเช่นที่ผ่านมา ทั้งกระบวนการตรวจสอบคุณสมบัตินักการเมืองของพรรค การบริหารจัดการภายในพรรค เมื่อกลายเป็นพรรคขนาดใหญ่ในเวลาอันรวดเร็ว
ทำอย่างไรจะสร้างคน สร้างกระบวนการต่างๆ รองรับการเติบโตนี้ การเสาะแสวงหาผู้คนให้เข้ามาร่วมงาน หรือสนับสนุนแนวคิดพรรค ทั้งการอาสาเป็นตัวแทนพรรคลงเลือกตั้งระดับต่างๆ หรือเป็นแค่สมาชิกพรรค เหล่านี้คือการสร้างพรรคให้เป็นพรรคมวลชน เช่นที่ก้าวไกลตั้งเป้าหมายไว้
ความไม่ประมาทนี้ไม่ใช่เพียงแค่ระดับพรรค แต่ต้องสร้างจิตสำนึกไปถึงตัวบุคคล โดยเฉพาะผู้อาสาเป็นตัวแทนพรรคต้องไม่ประมาทกับการใช้ชีวิต นักการเมืองเป็นมนุษย์เหมือนคนทั่วไปก็จริง แต่หลายเรื่องนักการเมืองต้องมีบรรทัดฐานการใช้ชีวิตที่แตกต่างจากคนทั่วไป เพราะนักการเมืองเป็นบุคคลสาธารณะ จะคิดจะทำอะไรล้วนมีผลกระทบต่อสังคม
และนอกจากนั้น สำหรับ ส.ส. และคนที่กำลังจะก้าวมาเป็น ส.ส. หรือตัวแทนในระดับท้องถิ่นอื่นๆ พึงค้นหาตัวเองให้เจอว่าเรามีแรงปรารถนาทำการเมืองเพื่ออะไร อยากแก้ปัญหาอะไรให้ประชาชนและประเทศ เมื่อค้นพบแล้ว ต้องศึกษาอย่างจริงจังเพื่อสร้างตัวตนให้สังคมจดจำ
เวลา 4 ปีไม่ได้ยาวนานเลย ‘เทนนิส’ พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ตำนานนักเทควันโด้บ้านเรา เคยพลาดเพียงเสี้ยววินาที จนอดเข้าชิงเหรียญทองโอลิมปิก 2016 ที่บราซิล แต่ก็ไม่ท้อ มุ่งมั่นฝึกฝน จนกลับมาคว้าเหรียญทองสำเร็จในโอลิมปิก 2020 ที่ญี่ปุ่น
ก้าวไกลก็เช่นกัน แม้พลาดพลั้งตกบันไดขั้นที่สองในปี 2566 จงทบทวนข้อผิดพลาด ฝึกฝนความพร้อมให้หนักขึ้น บนจุดยืนและอุดมการณ์เดิม ปี 2570 บันไดขั้นที่สาม รอให้ก้าวข้ามเป็นรัฐบาลเพื่อประชาชน
และเป็น ‘ไอ้แสบ’ สำหรับฝ่ายอนุรักษนิยม