fbpx
The Voice of Aey: เสียงประชาธิปไตยของ เอ้-กุลจิรา ทองคง

The Voice of Aey: เสียงประชาธิปไตยของ เอ้-กุลจิรา ทองคง

“เราไม่อยากเป็นคนที่ แม่ง เห็นคนตายอยู่ใกล้ๆ แต่ก็ยังไม่รู้สึกอะไร เราเลยตัดสินใจไลฟ์สด เพราะเราอยากให้ทุกคนเห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยคลิปนั้นก็ทำให้คนได้รู้ว่าพวกเราต่อสู้กันอย่างสันติจริงๆ”

หลายคนอาจจะรู้จัก เอ้ – กุลจิรา ทองคง เป็นครั้งแรกจากรายการประกวดร้องเพลง The voice season 3  ด้วยภาพจำหญิงสาวร่างเล็กผู้เป็นเจ้าของน้ำเสียงนุ่มลึกชวนฝันเต็มไปด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง บทเพลง ‘เพียงรัก’ ที่เธอเคยเปล่งเสียงร้องเอาไว้เมื่อ 8 ปีก่อนอาจยังติดอยู่ในใจของใครหลายคน 

เธอกลับมาเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาอีกครั้ง (โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่) กับการขึ้นเวทีร้องเพลงตามการชุมนุมเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งการขับขานเพลงครั้งล่าสุดของเธออย่างเพลง ‘กลอยใจ’ ณ การชุมนุม Save บางกลอย บริเวณข้างทำเนียบรัฐบาล ก็เรียกกำลังใจให้กับชาวบ้านบางกลอยได้เป็นอย่างดี

ก่อนที่เธอจะกลายมาเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ กับการเป็น 1 ใน 99 คน ที่ถูกจับเนื่องจากการสลายการชุมนุมหมู่บ้านทะลุฟ้า เมื่อวันที่ 28 มี.ค.2564 ภาพที่เธอวิ่งไปช่วยเพื่อนที่กำลังถูกเหล่า คฝ. อุ้มไป ถูกพูดถึงไปทั่วทั้งโลกออนไลน์ การออกมาเปล่งเสียงในหนนี้ของเธอไม่ได้มีบทเพลงใดใดให้เราได้จดจำ สิ่งที่ปรากฏมีเพียงเสียงกรีดร้องด้วยความโกรธคู่กับเสียงตะโกนบอกให้เจ้าหน้าที่ปล่อยเพื่อนเธอ ผ่านไลฟ์สดความยาว 7 นาทีครึ่ง 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ชวนให้หลายคนอยากรู้จักตัวตนและความคิดของเธอให้มากขึ้น เพราะน้อยครั้งนักที่จะได้เห็นศิลปินดาราบ้านเราออกมา call out ประเด็นการเมืองไทย ยังไม่ต้องพูดถึงการลุกขึ้นมายืนหยัดต่อสู้บนนถนนเช่นนี้ ที่นับว่าเป็นภาพหายากยิ่งกว่า

เอ้ คนที่เคยขีดเส้นไว้ว่า ‘อะไรก็ได้ แต่ไม่ขอถูกจับ’ ต้องกลายเป็นคนที่มีคดีติดตัวถึง 5 คดี และแม้เธอจะหวาดกลัวกับสิ่งที่กำลังเผชิญจนน้ำตาไหลรินเต็มใบหน้า แต่ก็ยังพาร่างเล็กๆ ของตัวเองวิ่งไปดึงดันกับเหล่า คฝ. เพื่อพาเพื่อนของเธอกลับบ้าน จนท้ายที่สุด เธอกลายเป็นหนึ่งในคนที่โดนรวบขึ้นรถคุมขังไปด้วย

อะไรที่ผลักดันให้เธอกล้าออกมาทำเช่นนี้ สังคมการเมืองไทยในสายตาของเอ้เป็นอย่างไร — ถึงเวลาฟังเสียงของเธออีกครั้ง

อยากชวนคุณย้อนเหตุการณ์ก่อนหน้าการสลายการชุมนุมหมู่บ้านทะลุฟ้ารอบสอง ช่วงเช้าวันที่ 28 มี.ค. 2564 ตอนนั้นคุณกำลังทำอะไรอยู่

จริงๆ วันนั้นเราตื่นตอนเที่ยง เพราะคืนก่อนหน้าทำงานจนดึก ก็เลยเพิ่งมารู้ว่าเขาสลายหมู่บ้านทะลุฟ้าไปตอน 6 โมงเช้า พอรู้เรื่องก็ตามข่าวเรื่อยๆ จนรู้ว่าเขาจะนัดชุมนุมกันอีกทีตอนบ่าย 3 เราก็เลยตามไปที่เชิงสะพานชมัยมรุเชฐตอนเย็น ตอนที่เราไปถึงก็มีแค่ตำรวจมายืนคุมเฉยๆ ฝั่งพวกเราก็นั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ใช้ไมค์ ใช้ลำโพง เท่าที่เหลือไว้จากเมื่อเช้า เหตุการณ์ก็เริ่มจากตรงนั้น 

ตอนที่ เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ประกาศให้ผู้ชุมนุมนอนลงไปบนผืนผ้าใบสีฟ้า หากเกิดการสลายชุมนุมอีกครั้ง ตอนนั้นคุณอยู่ตรงไหน 

เราอยู่ใกล้ผ้าใบสีฟ้า จำได้ว่าพอพี่เลิศประกาศอย่างนั้น พวกเราก็ปูผ้าใบ พี่เลิศก็บอกว่าจะไม่มีมีการโกรธกัน ถ้าใครไม่พร้อมที่จะโดนจับก็ให้ไปอยู่บริเวณข้างนอกผ้าใบ ซึ่งเพื่อนเราทั้งสองคนที่ไปด้วยกัน เขาตัดสินใจว่าจะนอนลงไปตรงนั้น เขายังบอกกับเราอยู่เลยว่า “เอ้ไม่ต้องไปนะ เอ้ยังมีสิทธิมีเสียงข้างนอกได้ ค่อยตามมาประกันตัวแล้วกัน” เพราะไม่มีใครรู้เลยว่าจะโดนจับไปที่ไหนหรือจะโดนจับกี่วัน

วินาทีนั้นเลยเป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกอยากจะไลฟ์สด แต่เอาจริง จังหวะนั้นเราเองก็สองจิตสองใจ เพราะก็กลัว แต่เรารู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ยุติธรรมเลย หมู่บ้านทะลุฟ้าเป็นการชุมนุมโดยสันติมากๆ และเป็นการชุมนุมที่รวบรวมปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขจากหลายๆ พื้นที่มาอยู่ด้วยกัน เราว่านี่เป็นสิ่งที่รัฐควรฟังมากที่สุด สำหรับเราการทำลายหมู่บ้านทะลุฟ้าจึงเป็นการที่รัฐเลือกไม่ฟังปัญหาของประชาชน เราเลยตัดสินใจว่าจะไลฟ์สด 

เชื่อว่าคุณเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าถ้ายังอยู่ใกล้ผ้าใบสีฟ้า มีโอกาสสูงที่จะโดนรวบไปด้วย วินาทีที่ตัดสินใจไลฟ์สดอยู่ตรงนั้น คุณคิดอะไรอยู่ 

อย่างที่บอกว่าเราเองก็สองจิตสองใจ เราไม่อยากโดนจับ ไหนจะคืนนั้นมีงานที่ต้องไปทำต่อด้วย แต่มันเป็นความรู้สึกผิดมั้ง ความรู้สึกผิดที่ว่ายังมีคนอย่าง เพนกวิ้น รุ้ง และอีกหลายคนที่ต้องอยู่ในคุก แต่เรากลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เออ ตลกดีเหมือนกันนะ นี่กูต้องมาอยู่ในชีวิตที่กูมีความสุขแล้วกูต้องรู้สึกผิดหรือ ทำไมกูต้องมารู้สึกผิดที่ไม่ได้เข้าไปในผ้าใบนั้น ทั้งๆ ที่กูมีสิทธิใช้ชีวิตแบบไม่อยากยุ่งกับใครอยู่แล้ว มันเป็นความรู้สึกผิดพวกนี้ไหลวนในความคิดเรา

แต่ถ้าเราไม่รู้สึกผิด เราก็กลายเป็นคนที่เราไม่ชอบ เราไม่อยากเป็นคนที่ แม่ง เห็นคนตายอยู่ใกล้ๆ แต่ก็ยังไม่รู้สึกอะไร เราเลยตัดสินใจก้าวเข้าไปในผ้าใบและไลฟ์สด เพราะเราอยากให้ทุกคนเห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยคลิปนั้นก็ทำให้คนได้รู้ว่าพวกเราต่อสู้กันอย่างสันติจริงๆ

แต่ถึงมีคลิปออกมา ก็ยังมีคนบอกว่าถ้าสันติจริงๆ ก็ไม่โดนหรอก แถมเขาก็จับอย่างละมุนละม่อม เดี๋ยวก่อนคุณ เรากระดูกหักนะ แถมป้าหลายคนที่โดนจับก็แก่มาก แต่ยังยัดพวกเราเข้าไปในรถคุมขัง นี่คือละมุนละม่อมที่คุณว่าหรือ หรือคุณต้องการแบบไหน ให้เราโดนตีหัวจนเลือดอาบหรือ ต้องเห็นภาพแบบนี้ก่อนใช่ไหมถึงจะเรียกว่ารุนแรง เราว่านี่มันไม่ใช่แล้ว การสลายครั้งนี้ไม่ได้มีความละมุนละม่อมอะไรเลย ไม่มีความแฟร์อะไรทั้งสิ้น เราโกรธและเสียใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ 

ใช่ ในไลฟ์สดเห็นชัดเลยว่าคุณโกรธมาก

เออ เราโกรธมาก เราไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกที่เกิดขึ้นยังไง แต่มันเสียใจมาก 

เอาจริงๆ วันนั้นเรานัดกับเพื่อนไว้แล้วว่าเดี๋ยวตอน 2 ทุ่ม เราต้องไปร้องเพลงต่อที่ร้านแถวๆ นั้น ปรากฏว่าเราดันโดนจับไปด้วย ตอนที่เขาอุ้มเรา เรายังพยายามบอกเขาอยู่เลยว่าเรามาตามเพื่อน ปล่อยตัวเราเดี๋ยวนี้ เห็นไหมว่าเราไม่ได้นอนอยู่ เราจะไปทำงานต่อ แต่เขาประกาศก่อนหน้านี้แล้วว่าใครที่ไม่เกี่ยวข้องให้ออกไป ถ้าอยู่ในผ้าใบนี้ เขาจะจับ ซึ่งเราก็เข้าใจในสิ่งที่เขาทำ 

หลังจากโดนอุ้ม เราเลยต้องโทรลางาน โทรตอนระหว่างอุ้มนั่นแหละ (หัวเราะ) คฝ. ก็พาพวกเราขึ้นไปอยู่บนรถคุมขัง ตอนที่นั่งอยู่ในรถเราก็ยังอึ้งๆ อยู่ แต่ไม่ได้ตกใจกลัวอะไร เพราะเราไม่ได้ทำอะไรผิด และเราก็มีเพื่อนอยู่ตรงนั้นด้วย ทุกคนที่อยู่ในรถก็ช่วยกันนับว่ามีใครถูกจับมาบ้าง ก็นับกันได้ว่าคันเราถูกจับมา 28 คน หนึ่งในนั้นก็มีพี่วาดดาว (ชุมาพร แต่งเกลี้ยง) จากกลุ่มเฟมินิสต์ปลดแอก

แล้วบรรยากาศในรถคุมขังเป็นอย่างไรบ้าง

ในรถร้อนมาก เขาไม่ได้เปิดแอร์ให้ จนเราต้องตะโกนกันว่าเปิดกระจกให้หน่อย เพราะพวกเราหายใจไม่ออก ที่ว่าหายใจไม่ออกคือหายใจไม่ออกจริงๆ นะ มันอึดอัดมาก และคนสูงอายุก็มีอยู่ไม่น้อย เราก็ตะโกนกันอยู่นั่น จนก่อนที่จะขับรถออกไป เขาก็มาเปิดกระจกให้ ระหว่างที่อยู่ในรถ เราก็พยายามส่งข้อความถามเพื่อนตลอดว่าเขาจะพาเราไปไหน ตอนแรกมั่นใจว่าจะพาพวกเราไป ตชด. (กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1) ชัวร์ แต่ปรากฏว่าเขาพาเรามาที่สโมสรตำรวจแทน 

พอไปถึงที่สโมสรตำรวจ เขาพาพวกคุณไปทำอะไร

เขาก็พาพวกเราขึ้นไปที่ห้องประชุมใหญ่ เป็นเหมือนหน่วยปราบปรามยาเสพติด มีเวที มีแอร์ เรามารู้ทีหลังว่า คฝ. ทำเรื่องฝากขังพวกเราไว้ที่นี่ ตอนนั้นก็มีตำรวจนั่งรออยู่ที่โต๊ะเหมือนเป็นโต๊ะสำหรับสอบสวน พวกเราก็โดนจับแยกชายหญิง ตรงกลางกั้นด้วยแผ่นไวท์บอร์ด แต่ก็ยังพอมองเห็นหน้ากันได้

สักพักเจ้าหน้าที่ก็มายึดกระเป๋าเราใส่ซอง พวกเราก็ถามว่าจะเอาไปไหน เรายังมีสิทธิที่จะใช้มือถืออยู่ไหม เขาก็ไม่พูดอะไร เอากระเป๋าไปเลย ใช้เวลานานอยู่เหมือนกันกว่าที่เราจะได้กระเป๋าคืน เพราะเขาต้องใช้บัตรประชาชนในการสอบสวนพวกเรา พอได้กระเป๋า เราก็รีบโทรบอกพี่ๆ เพื่อนๆ ซึ่งตอนนั้นทนายสิทธิมนุษยชนรู้เรื่องแล้ว ไม่นานเขาก็ตามเข้ามา

ด้านเจ้าหน้าที่ เขาก็เรียกชื่อเราทีละคนเพื่อทำการสอบสวน ช่วงก่อนที่จะสอบสวนทนายก็เรียกพวกเราเข้ามาประชุมว่าเราต้องทำอะไรบ้าง เรามีสิทธิที่จะไม่ทำอะไรบ้าง เราก็รับฟังเขา เพราะว่านี่เป็นการโดนจับครั้งแรกของเราเหมือนกัน ตอนสืบสวนเราปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา จำได้ว่าเราบอกเขาว่าเอาให้เหมือนกับทุกคนเลย เพราะทุกคนก็โดนมาเหมือนกัน ฉะนั้นพี่จะอ่านอะไรมา หนูก็ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา 

แต่ขอฟ้องว่าขั้นตอนการสอบสวนใช้เวลานานมาก จนเราถามเขาว่านี่พี่เล่นเกมอยู่หรือเปล่าคะ (หัวเราะ) คิดดูว่ามันเลยเถิดถึงชนิดที่ว่าเราโดนจับมาตอน 6 โมงเย็น แต่กว่าที่เพื่อนคนสุดท้ายจะลงมาอยู่ในคุกก็ปาเข้าไปตี 2 แล้ว 

เมื่อกี้คุณพูดถึงการถูกจับไปอยู่ในคุก อยากให้คุณเล่าเหตุการณ์ขณะนั้นให้ฟังหน่อย 

ตอนที่ลงไปคุก เจ้าหน้าที่ก็เรียกชื่อพวกเราเรียงกันทีละ 5 คน เขาก็พาเราเดินเรียงแถวลงไปข้างล่าง พร้อมกับให้เราหิ้วกระเป๋าที่ใส่อยู่ในซิปล็อก โห ตอนนั้นจริงจังมาก มีเจ้าหน้าที่เดินประกบเราทุกคน เราก็ถามเขาว่าทำไมเรานอนข้างบนไม่ได้ เขาบอกว่ามันเป็นการควบคุมตัว เจ้าหน้าที่บางคนก็แซวว่าข้างล่างมีแอร์ มีพัดลม ไม่ต้องห่วง นอนสบาย เราเลยตอบกลับไปว่า แต่จริงๆ เราไม่ควรต้องมาอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำนะ เขาก็ไม่ได้ตอบอะไร 

ปรากฏว่าพอลงไป ก็เป็นคุกสำหรับขังนักโทษผู้ต้องหาคดียาเสพติด เป็นคุกซี่กรงละเอียดที่ต้องล็อกสองชั้น มีกำแพงกั้นกลางระหว่างฝั่งหญิงกับฝั่งชาย พื้นก็เป็นพื้นปูน ห้องน้ำก็เป็นห้องน้ำโถนั่งยองๆ ประตูปิดไม่ได้ เรียกว่าตอนเข้าห้องน้ำก็นั่งมองตากันปริบๆ

งั้นแสดงว่า คุณเองไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าต้องมานอนคุกแบบนี้

ไม่เคยเลย ตอนแรกเราคิดว่าจะเหมือนที่ ตชด. มีมุ้ง มีเตียง หรือบางห้องมีแอร์ มีพัดลมให้ แต่ของเราคือมีแค่พัดลมหมุน แบบที่ไม่มีดีกว่า และในคุกมันร้อนมาก เราเองก็เจ็บแขนอยู่ด้วยเพราะกระดูกร้าว ไม่ได้นอนทั้งคืน ขนาดพยายามนอนทุกท่าก็แล้ว โห ทรมานมาก

ตอนที่รู้ว่าคืนนั้นต้องนอนในคุก คุณรู้สึกยังไงบ้าง 

เราถามตัวเองว่า เฮ้ยนี่เราต้องนอนตรงนี้จริงๆ หรือ! นี่มันไม่ใช่แล้ว ที่เรารู้สึกอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าเราอยู่ไม่ได้นะ แต่หมายความว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับเรา ทำไมเราต้องมานอนตรงนี้ ทำไมเราออกไปไม่ได้ เราทำผิดอะไรถึงต้องมาถูกขังอยู่ในคุกผู้ต้องหายาเสพติดอย่างนี้

หนึ่งคืนในคุก มีเหตุการณ์อะไรที่คุณจำได้ไม่ลืมบ้างไหม

มีๆ เหตุการณ์ผ้าอนามัย ตอนนั้นสักประมาณตี 5 มีน้องคนนึงถามขึ้นมาว่า หนูเป็นเมนส์ มีใครมีผ้าอนามัยบ้างไหม เราหันไปมองน้องเขาก็เห็นว่าเมนส์เลอะขากับกางเกงของน้องแล้ว ก็เลยรีบเอาหน้ากากอนามัยไปให้น้องรองก่อนกันเลอะ เราก็พยายามบอกเจ้าหน้าที่แถวนั้นว่าขอผ้าอนามัยหน่อยค่ะ ซึ่งเขาได้ยินเรานะแต่ก็ไม่ได้ทำอะไร

จนมีตำรวจคนหนึ่งเดินเข้ามาถามว่าจะเอาอะไร เราก็บอกไปว่าต้องการผ้าอนามัย หรือไม่ก็ช่วยขึ้นไปเอาแคร์ฟรีที่อยู่ข้างบนให้เราก็ได้ เพราะเรานึกขึ้นได้ว่าข้างบนมีแคร์ฟรีที่คนข้างนอกฝากทนายเอาเข้ามาให้พวกเรา เขาก็โอ้เอ้ ไม่ยอมขึ้นไปเอาให้ และพูดผ่านลูกกรงมาว่า  “เอาเงินมาสิ เดี๋ยวไปซื้อให้” 

พี่คะ หนูติดคุกอยู่นะคะ กระเป๋าหนูก็อยู่ข้างนอก เราเลยบอกเขาว่า งั้นปล่อยให้เราออกไปคนหนึ่ง เดี๋ยวหยิบเงินให้พี่ไปซื้อก็ได้ เขาก็บอกว่าเปิดให้ไม่ได้หรอก เราก็ตอบกลับไปว่าถ้าอย่างนั้นก็ช่วยเอาเข้ามาให้เราหน่อย เขาก็บอกอีกว่า ไม่มี จะให้ทำยังไง ตอนนั้นเราเริ่มอารมณ์เสียแล้ว ก็เลยถามกลับไปว่า แล้วเวลานักโทษหญิงเป็นเมนส์ขึ้นมา พวกคุณแก้ปัญหากันยังไง เขาก็ไม่ตอบ 

พอขอดีๆ ไม่ให้ พวกเราก็เริ่มโกรธ เริ่มตะโกนขอผ้าอนามัย พวกผู้ชายก็เลยตื่นขึ้นมา เราก็เล่าให้ฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น จำได้ว่าพวกผู้ชายโกรธมาก เพราะเจ้าหน้าที่เขาไม่สนใจอะไรเลย ไม่แม้แต่จะขึ้นไปดูให้ด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่มีเสียงเปิดประตูดังกริ๊กขึ้นมา เราพยายามบอกเจ้าหน้าที่ที่มาเปลี่ยนเวรตลอดว่าขอผ้าอนามัย แต่ไม่มีใครสักคนฟังเราเลย

เวลาผ่านไปสักพัก จนพวกผู้ชายทนไม่ไหว เอากะละมังใส่น้ำและสาดน้ำออกมานอกห้องขัง เจ้าหน้าที่ถึงมาสนใจพวกเรา เขาก็เข้ามาบอกว่านี่มันเรื่องใหญ่แล้ว ถ้าพวกคุณทำอย่างนี้จะยิ่งแย่ไปใหญ่ ฝั่งผู้หญิงเอง เราก็ไม่ยอม ก็ถามว่าพวกผู้ชายจะโดนอะไร พวกเขาแค่เรียกร้องผ้าอนามัยให้กับพวกเรา ก็พูดดีๆ แล้วแต่คุณไม่ฟัง เราถึงต้องทำแบบนี้ไง 

ตอนนั้นพวกผู้ชายเรียกได้ว่าฟิวส์ขาดไปแล้ว สาดน้ำไม่หยุด เจ้าหน้าที่ก็ทำอะไรไม่ได้ เราก็บอกเจ้าหน้าที่ว่าพวกผู้ชายจะหยุดแน่นอน ถ้าพี่ให้ผ้าอนามัยกับพวกเรา สุดท้ายเขาก็เลยไปบอกป้าแม่บ้านให้ไปหาผ้าอนามัยมาให้ ตอนป้าแกเอามาให้เรา แกพูดว่าถ้าบอกป้าตั้งแต่แรก แกก็ไปซื้อมาให้แล้ว 

นั่นแหละค่ะ สรุปว่าเราใช้เวลากันอยู่ชั่วโมงครึ่งเพื่อผ้าอนามัย

แค่เรื่องผ้าอนามัยยังใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง มองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ลดทอนความเป็นมนุษย์ของเราไหม 

ทุกการกระทำที่เกิดขึ้นหลังจากที่เราโดนจับ มันลดทอนความเป็นมนุษย์ของเราตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ว่าการจับแบ่งพวกเราเหมือนนักโทษ การพูดว่าพวกเราฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทุกอย่างถูกทำให้ดูเป็นความผิดที่ยิ่งใหญ่มาก ถามว่าทำไมไม่พาเราไปสน. ตามปกติ มีความจำเป็นอะไรที่ต้องเอา คฝ. ชุดใหญ่มานั่งคุมพวกเรา หรือแม้แต่เรื่องเล็กๆ อย่างเรื่องผ้าอนามัย เขาก็ยังจัดการให้ไม่ได้ เขาไม่กล้าแม้แต่จะเปิดประตูเพื่อเอาผ้าอนามัยมาให้เราด้วยซ้ำ เพราะไม่รู้ว่า ‘นาย’ อนุญาตหรือเปล่า ก็นายไม่ได้สั่งเรื่องนี้ไว้ ทั้งหมดคือการลดทอนความเป็นมนุษย์ของพวกเราและตอกย้ำความเป็นหุ่นยนต์ของพวกเขา

แล้วคุณได้ออกจากคุกตอนไหน 

เราออกมาจากคุกตอน 10 โมงกว่า เขาก็พาพวกเราขึ้นไปที่ห้องเดิมและบอกว่าจะมีการตรวจโควิด-19 และตรวจร่างกาย ซึ่งเราก็ปฏิเสธการตรวจร่างกายทั้งหมด แต่ทุกขั้นตอนมันช้ามาก ทางศาลเองก็โทรมาเร่งทนายว่าต้องเร่งแล้วเพราะมีผู้ต้องหาเยอะ กว่าจะเสร็จขั้นตอนต่างๆ ก็ประมาณเที่ยงกว่า เจ้าหน้าที่ก็คุมตัวพวกเราขึ้นรถผู้ต้องหาเพื่อไปที่ศาลแขวงดุสิต

บรรยากาศภายในศาลแขวงดุสิต เป็นยังไงบ้าง

ตอนแรกพวกเราก็ยังกำลังใจดีกันอยู่นะ ต้องเล่าว่าพวกเรา 32 คนมาถึงที่ศาลก่อน พอมาถึงเราก็คุยๆ กันว่าเดี๋ยวถ้าเพื่อนที่เหลืออีก 67 คนที่มาจาก ตชด. มาถึง พวกเราจะชูสามกันนิ้วเพื่อต้อนรับเพื่อนๆ เราก็คิดกันเนอะว่าพอ 99 คนมาอยู่รวมกัน เราน่าจะเป็นกำลังใจที่ดีให้กันได้ 

แต่ปรากฏว่าป้าคนแรกจากกลุ่ม 67 คน พอแกเห็นหน้าพวกเราเท่านั้นแหละ ป้าแกร้องไห้จนหน้าแดงไปหมด เราก็ถามไถ่ว่าป้าเจออะไรมาบ้าง แกบอกว่าแกดีใจที่เห็นทุกคนปลอดภัย แกเล่าว่าฝั่งแกมันแย่มาก ขนาดตอนมาที่ศาล เจ้าหน้าที่ก็อัดทุกคนมาในรถเหมือนเดิม หลังจากนั้นคนที่เหลือก็ทยอยเข้ามา ทุกคนที่มาจากตชด. มีสีหน้าอ่อนเพลียมาก น้องผู้หญิงบางคนก็ร้องไห้ พวกผู้ชายก็ถอดเสื้อเดินเข้ามาเหลือแต่บ็อกเซอร์

แม้แต่พระประนมกรที่โดนพาไปจับสึก ยังต้องใช้ผู้ชายสองคนแบกเข้ามา หน้าแกไม่ไหวเลย ปากซีดไปหมด เราตกใจมาก จำได้ว่าร้องไห้ออกมาเลย เพราะกลัวเขาตาย เราก็พยายามหายาดม หยิบน้ำหวานมาให้ คนอื่นๆ ก็พยายามไปช่วยกัน ตอนนั้นไม่มีใครทำอะไรถูกเลย เจ้าหน้าที่ในศาลก็ช็อก พวกเราก็พยายามถามเจ้าหน้าที่แถวๆ นั้นว่าเรียกรถพยาบาลได้ไหม เขาก็บอกว่ามันต้องมีตำรวจไปด้วย จะวุ่นวาย แต่คือมันมีหลายคนที่อ่อนแรงและเพลียมาก สุดท้ายเจ้าหน้าที่ศาลก็ไปทำเรื่องให้มีรถพยาบาลเข้ามา จนกระทั่งมีกู้ภัยเข้ามาตรวจร่างกายเบื้องต้นและก็พาคนที่ป่วยไปรักษา

พอเป็นแบบนี้ทุกคนก็เครียดกันไปหมดเลย  เครียดด้วยความเป็นห่วง เวลาก็ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ เราเข้าใจว่าเป็นเรื่องของกระบวนทำรายชื่อและปล่อยประกันต่างๆ แต่เราก็ว่ามันช้าไปอยู่ดี พวกเราก็รอกัน คุยบ้าง หลับบ้าง จนหลังๆ เราไม่คุยกับใครแล้ว เพราะเพลียมาก 

กว่าจะได้ออกจากศาลก็เกือบ 3 ทุ่ม ตอนออกมาก็เจอ ส.ส. บางคน เจอพี่ไอดา (ไอดา อรุณวงศ์ ณ อยุธยา) คนที่ยื่นเรื่องประกันตัวให้พวกเรา เจอคนที่มาให้กำลังใจ คุยกันนิดหน่อย เราก็กลับบ้าน 

ตอนนี้คดีไปถึงไหนแล้ว 

วันที่ 28 เมษายนนี้ เราก็ต้องไปรายงานตัวต่อศาลแขวงดุสิต

แสดงว่าคุณกลายเป็นคนมีคดีติดตัวไปแล้ว

ใช่ค่ะ มีเฉยเลย งง (หัวเราะ)

จากการตัดสินใจออกมาชุมนุมที่หมู่บ้านทะลุฟ้า เมื่อเย็นวันที่ 28 มี.. 2564 เคยคิดบ้างไหมว่ามันจะพาคุณมาถึงจุดนี้

ไม่เคยคิดเลย ถ้าคิดต้องลางานล่วงหน้าแล้ว วันนั้นเราแต่งตัวไปร้องเพลงต่อนะ แถมถักเปียด้วย กระเป๋าที่หิ้วไปวันนั้นก็ใบนี้เลย ถ้ารู้ว่าจะโดนจับคงใส่เสื้อที่ระบายอากาศมากกว่านี้ (หัวเราะ)

มันเป็นช่วงเสี้ยววินาทีจริงๆ เพื่อนเราก็ตัดสินใจ ณ ตรงนั้นเหมือนกัน ทุกคนสมัครใจและพร้อมลงไป

ในวันเดียวกัน ห่างออกไปไม่กี่กิโลฯ มีการจัดงาน รัตนโกเซิร์ฟ’ เห็นได้ชัดเลยว่ารัฐมีวิธีรับมือกับการแสดงออกของคน กลุ่มที่แตกต่างกัน คุณในฐานะคนที่โดนหิ้วปีกขึ้นรถคุมขังในวันนั้น รู้สึกยังไงกับการกระทำนี้

โกรธดิ! เชี่ย เป็นใครก็ต้องโกรธ เรารู้สึกว่านี่มันเหี้ยอะไรวะ และยิ่งอ่านสิ่งที่มาดามเดียร์ (วทันยา วงษ์โอภาสี) ออกมาชี้แจง เราก็ยิ่งโกรธ ที่เขาบอกว่าถอดหน้ากากอนามัยแค่ตอนถ่ายรูป เอาจริงแค่นั้นก็เสี่ยงติดแล้วปะ ตัดภาพมาที่การชุมนุมของพวกเรา ตอนชุมนุมคือสะพานโล่งมาก ลมโกรกมาก แต่ข้อหาที่พวกเราโดนคือการมั่วสุม แออัด เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดเชื้อโรค เอาจริงวันนั้นเหงื่อพวกเราแทบไม่ไหลออกมาสักหยดเลย ในขณะที่การเล่นเซิร์ฟสเก็ต คุณคิดว่าเหงื่อจะออกสักเท่าไหร่กัน

หรืออย่างเรื่องที่พี่โจอี้ บอย ออกมาพูด บางคนก็บอกว่าอย่าไปสนใจเลยพี่ มันคนละเรื่อง เฮ้ย! มันไม่ใช่คนละเรื่อง มันห่างกันแค่กิโลฯ เดียว ที่เราพูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าพี่โจอี้ต้องออกมารับผิดชอบนะ พี่โจอี้ไม่จำเป็นต้องออกมาขอรับผิดคนเดียว เพราะนี่เป็นเรื่องของการที่รัฐจัดการกับคนสองฝั่งไม่เท่ากันต่างหาก งานเซิร์ฟสเก็ตจะจัดก็จัดไปดิ แต่การชุมนุมของเราก็ต้องจัดได้เหมือนกัน ไม่ใช่มาถูกสลายแบบนี้

เราไม่ได้โทษงานที่จัดขึ้นมาเลยนะ แต่เราแค่รู้สึกว่าสิ่งที่รัฐจัดการมันไม่แฟร์และเต็มไปด้วยความสองมาตรฐาน ประเด็นนี้ต่างหากที่ทำให้พวกเราโกรธ

ด้วยความที่คุณเป็นศิลปิน แน่นอนว่าการออกมาแสดงจุดยืนย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย ก่อนหน้าที่จะออกมาพูดเรื่องนี้ คุณเคยชั่งใจกับตัวเองบ้างไหม 

เราเป็นคนใจร้อน เป็นพวกชอบทำก่อนแล้วค่อยมาคิดทีหลัง (หัวเราะ) 

เรารู้สึกว่าเรื่องพวกนี้มันสำคัญ พอคิดได้ก็ออกมาพูดเลย แต่ยอมรับว่าจะชอบมาเครียดทีหลัง แต่ก็ทำก่อน เพราะถ้าไม่ได้ทำจะไม่สบายใจกว่า ถ้าให้อยู่นิ่งๆ เป็น ignorance เราคิดว่าเราจะไม่สบายใจ เราจะรู้สึกแย่มาก เมื่อนึกขึ้นได้ว่ามีคนกำลังเดือดร้อนอยู่ แต่เรากลับนิ่งเฉย เราไม่ใช่คนดีนะ แต่แค่เป็นคนเซนส์ซิทีฟกับสิ่งเร้าใกล้ตัว เราเป็นพวกใจบางอะ แน่นอนว่าการออกมาพูดต้องแลกกับการเสียสิทธิหลายๆ อย่างเช่น โดนยกเลิกงานบ้าง ก็จะมานั่งเครียดกันทีหลัง

แต่ตอนนี้ความเครียดเราลดน้อยลงนะ เพราะเราเลือกแล้วและถอยไม่ได้แล้ว ถ้ามัวแต่เครียดไปก็จะครึ่งๆ กลางๆ อยู่อย่างนี้ เราขอไปให้สุดเลยดีกว่า แต่เราก็มีเส้นของเราอยู่ เอาแค่ไม่ให้โดนจับพอ เพราะเราก็ยังรักชีวิตของเรา 

แต่นี่โดนมาแล้วหนนึง ?

อ้อ! ใช่! (หัวเราะ) แต่เรื่องการเมืองมันส่งผลถึงตัวเรา คุณไม่อยากเห็นทางเท้าที่ดีขึ้นหรือ คุณไม่อยากเห็นการศึกษาของเด็กๆ ดีขึ้นหรือ คุณไม่อยากเห็นประเทศของเราดีขึ้นหรือ เราอยากเห็นสิ่งพวกนี้ เราก็เลยออกมา 

อะไรคือราคาที่ เอ้กุลจิรา ต้องจ่ายไปแล้วบ้าง 

งานน้อยลง เราโดนยกเลิกงาน บริษัทใหญ่ๆ ที่เคยจ้างเราไปร้องเพลง ก็ไม่จ้างแล้ว ช่วงนี้ก็เหลือแค่งานแต่ง หลังออกจากคุก จริงๆ เราต้องไปร้องเพลงที่งานแต่งงานนึง แต่เจ้าบ่าวโทรมาหาเราก่อน เขาบอกว่าผมเห็นด้วยกับคุณเอ้นะ แต่ผมก็ต้องถามทางครอบครัวด้วย เราก็บอกเข้าใจค่ะ แต่ไม่คืนเงินมัดจำนะ (ยิ้ม) 

อย่างตอนโควิดรอบที่แล้ว เราได้เงินมัดจำมาเยอะมาก แต่เราโอนคืนให้เจ้าของงานหมดเลยนะ ตอนนั้นเงินเก็บแทบไม่เหลือเลย เพราะเรารู้สึกว่าพวกเขาต้องมาโดนยกเลิกงานด้วยความอะไรไม่รู้ แต่สำหรับเรื่องนี้ เรามองว่าเราไม่ได้ทำผิดอะไร เราไม่ได้เป็นนักโทษ เราไม่ไปแสดงสัญลักษณ์อะไรที่งานคุณอยู่แล้ว ฉะนั้นก็แล้วแต่คุณว่าจะคิดยังไง แต่เราขอไม่คืนเงินมัดจำนะ 

คุณมองว่ามันคุ้มไหมกับสิ่งที่ต้องเสียไป

คุ้ม ตอนแรกเราไม่เคยเชื่อเลยว่าตัวเองจะมีเสียงที่ดังกว่าคนอื่น เพราะเราก็ไม่ได้ดังอะไรขนาดนั้น แต่หลังออกมาจากคุก ความคิดเราเปลี่ยนเลย เฮ้ยเสียงเราใหญ่ได้ขนาดนี้เลยหรือ เป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกว่าสิ่งที่ห้อยท้ายอยู่หลังชื่อเรามันมีประโยชน์จริงๆ เราก็เลยโอเค ถ้างั้นก็ลุยต่อ ส่องแสงมาที่ฉันเลยค่ะ (หัวเราะ) 

ในประเทศเรา ศิลปินดารากับการเมืองมักถูกทำให้กลายเป็นเรื่องต้องห้าม 

(พูดแทรกขึ้นมา) เราไม่เข้าใจเรื่องนี้เหมือนกัน บางคนก็มาคอมเมนต์ในเฟซบุ๊กว่าพี่แนะนำนะ หนูเป็นแค่นักร้อง ก็ร้องเพลงไป หนูจะมายุ่งอะไรกับการเมือง อ้าว! แล้วพี่มายุ่งอะไรกับหนูคะ เพราะอาชีพที่เราทำเลยทำให้เราไม่มีสิทธิตรงนี้หรือ นี่ประเทศเรา เราจ่ายภาษี แล้วทำไมเราจะยุ่งไม่ได้ คุณใช้สิทธิอะไรมาบอกให้เราห้ามยุ่งการเมือง มันไม่เมคเซนส์มากๆ 

เราเข้าใจนะว่าศิลปิน ดารา มีราคาที่ต้องจ่ายในการออกมา เพียงแต่เราก็อยากถามว่า คุณอยากอยากจะเห็นประเทศเป็นแบบนี้ต่อไปจริงๆ หรือ ถ้าพร้อมอีกสักหน่อย ไม่ลอง call out ดูหรือ ก็ลองดูนะ เรื่องนี้ฝากถึงทุกคนแต่ก็ไม่อยากยุ่งเรื่องของเขามาก (หัวเราะ) 

ในขณะที่ศิลปินดาราต่างประเทศสามารถแสดงความคิดได้อย่างอิสระ คุณมองว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้คนมีชื่อเสียงในบ้านเราพูดเรื่องการเมืองไม่ได้ 

ไม่รู้เหมือนกัน เราไม่ค่อยเข้าใจคนพวกนี้ ความคาดหวังหรือจะต้องยืนอยู่บนพื้นฐานความเป็นกลาง ร้องเพลงให้เราฟังสบายๆ ต่อไปมั้ง 

แต่การเป็นศิลปินคืออะไร สำหรับเราการเป็นศิลปินมีหน้าที่มากกว่าร้องเพลง

แล้วศิลปินมีหน้าที่อะไร 

การเป็นศิลปินต้องให้อะไรกับคนฟัง ไม่ใช่แค่ร้องเพลงถ่ายทอดความรู้สึก สุข ทุกข์ เศร้า ดนตรีมีพลังมากกว่านั้น ไม่งั้นจะมีเพลงที่แต่งเพื่อเชิดชูใครสักคน หรือเพลงที่แต่งเพื่อด่าใครสักคนว่าเป็นคนหนักแผ่นดินทำไม หรือเพลงที่พูดเรื่องประชาธิปไตย ทุกอย่างมีดนตรีเข้าไปเกี่ยวข้อง 

เรื่องเหล่านี้ทำให้เราเห็นความสำคัญของตัวเรา เราก็ต้องทำหน้าที่ของเราให้มากขึ้น 

สมมติว่าวันหนึ่งคุณแมสขึ้นมา ถูกเชิญไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้แบรนด์ต่างๆ มีโฆษณาเข้า คุณยังจะใช้เสียงของคุณเพื่อสิ่งนี้อีกไหม 

ใช้ดิ! แต่เราอาจจะต้องคุยกับคนที่มาจ้างก่อนว่าเขามีขอบเขตแค่ไหน เช่น เราจะไม่ไปแสดงสัญลักษณ์อะไรเวลาไปงานของคุณ เพราะชีวิตอีกส่วนของเราก็ยังเป็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ชอบแต่งตัว เป็นเด็กทุนนิยม เพียงแต่เรามีชีวิตส่วนตัวที่ออกมาต่อสู้เรื่องนี้ 

แล้วถ้ามีคนจ้างให้คุณเปลี่ยนอุดมการณ์ 

สิบล้านหรือ ไม่ ร้อยล้าน คิดก่อน (หัวเราะ) โอเค! ไม่! แต่ใครจะมาอยากจ่ายเงินมากขนาดนั้นเพื่อเปลี่ยนความคิดคนคนเดียว

สิ่งต่างๆ ที่เจอในช่วงเดือนที่ผ่านมานี้ เรียกว่าพีคที่สุดในชีวิตคุณแล้วหรือยัง 

จริงๆ ยังไม่พีคเท่าไหร่หรอก แค่ความซวยมันติดกันมากเฉยๆ

เหตุการณ์หลายๆ อย่างที่ประเดประดังเข้ามา ทั้งแขนหัก โดนจับ และต้องเข้าคุก ทำให้คุณมองชีวิตเปลี่ยนไปไหม

เพิ่มไปคือเราทะเลาะกับที่บ้านด้วย แต่ไม่ใช่เขาไม่สนับสนุนนะ เขาแค่เป็นห่วงความปลอดภัยของเรา 

เราคิดเรื่องนี้มาตลอดเลยนะ ด้วยความที่เราเป็นพวกไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา ถ้าไม่ได้ไปสัมผัสด้วยตัวเอง ก็ไม่รู้สึก ต้องได้ไปเจอประสบการณ์ตรงนั้นก่อน ถึงจะเปลี่ยนความคิด บางเรื่องกว่าจะคิดได้ต้องใช้เวลานาน แต่บางเรื่องพอคลิกแล้ว มันคลิกเลย อย่างการอยู่ในคุกคืนนั้นแค่คืนเดียวทำให้เรากลายเป็นคนที่ใจเย็นมากขึ้นกว่าเดิม เราอาจจะไม่ได้ใจเย็นเป็นน้ำขนาดนั้นนะ แต่เราคิดอย่างรอบคอบมากขึ้น เราทำตรงนี้จะส่งผลถึงใคร ถ้าเราพูดออกไป เพื่อนอีก 98 คนของเราจะเป็นยังไง 

เรามีสติเยอะขึ้นมากๆ สมัยก่อนในเฟซบุ๊กนี่ด่ากราด แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามีคนมาอ่านเราเยอะขึ้น ถ้าเขาเข้ามาในเฟซบุ๊กเราแล้วเจอแต่คำด่า เขาก็ไม่ได้อะไรกลับไป เผลอๆ จะเกลียดพวกเรามากขึ้นอีก เราก็เลยเปลี่ยนความคิดใหม่ ตั้งใจว่าจะเขียนให้เขาเข้าใจมากขึ้น แชร์ความรู้ข้อมูลเพิ่มขึ้น ก็เนี่ยแหละ educate ซึ่งกันและกัน ส่วนของคนที่อคติ ไม่อ่าน เราก็ต้องพยายามต่อไป ต้องใจเย็น รับฟังเขาด้วย 

พูดได้ไหมว่ามุมมองการใช้ชีวิตของคุณเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ  

ดีขึ้นมากกว่า เรารู้สึกว่าเรากลายเป็นคนที่มีความคิดความอ่านมากขึ้น แต่ก็ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ ยังมีเรื่องที่ทำผิดพลาด (หัวเราะ) ก็ต้องแก้ไขกันต่อไป

ถ้าให้ลองนิยามชีวิตชั่วขณะนี้สักหนึ่งประโยค คิดว่าจะเป็นประโยคแบบไหน 

ดีใจที่ตัวเองก้าวออกมา ดีใจที่เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น ดีใจที่ได้มาถึงจุดนี้ 

เรามองอนาคตต่อจากนี้ไว้ยังไงบ้าง 

โห ไม่รู้เลย ต่อให้มีคนบอกว่า นี่ไงเขาออกมา call out แล้ว ก็ช่วยสนับสนุนเขา เราก็ดีใจที่ได้ยินอย่างนี้ แต่มันก็ยังไม่ค่อยมีงานเหมือนเดิม อาจจะเพราะโควิด-19 ด้วย งานจัดไม่ค่อยได้ด้วย ก็กังวลเรื่องงานนิดหน่อย แต่ก็ต้องแก้ปัญหาไป อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด ถ้าเอาแต่กังวล คิดมาก จะนอนก็นอนไม่หลับ ก็นอนไปก่อน ตื่นมาค่อยคิดใหม่ 

MOST READ

Spotlights

14 Aug 2018

เปิดตา ‘ตีหม้อ’ – สำรวจตลาดโสเภณีคลองหลอด

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย พาไปสำรวจ ‘คลองหลอด’ แหล่งค้าประเวณีใจกลางย่านเมืองเก่า เปิดปูมหลังชีวิตหญิงค้าบริการ พร้อมตีแผ่แง่มุมเทาๆ ของอาชีพนี้ที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมาเนิ่นนาน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Aug 2018

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save