ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก เรื่อง
กฤตพร โทจันทร์ ภาพประกอบ
ข่าวใหญ่ของอินเดียประจำเดือนนี้คงหนีไม่พ้นการประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 370 ซึ่งมีผลสำคัญให้รัฐจัมมูและแคชเมียร์ของอินเดียสูญเสียสถานะพิเศษที่เคยได้รับนับตั้งแต่ปี 1950 ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกลายเป็นประเด็นร้อนของสังคมอินเดีย ไม่เฉพาะแต่ในแวดวงการเมืองเท่านั้น แต่ทั่วทุกหัวระแหงของประเทศต่างพูดคุยและถกเถียงกันอย่างดุเดือดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา เพราะนี่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองครั้งสำคัญนับตั้งแต่อินเดียได้รับอิสรภาพจากอังกฤษ
เรื่องนี้เกี่ยวโยงโดยตรงกับพื้นที่พิพาทระหว่างประเทศของอินเดีย ปากีสถาน และจีน ซึ่งทุกวันนี้ยังคงไม่มีข้อยุติอย่างเป็นทางการ ทุกฝ่ายต่างอ้างสิทธิของตนเองในการครอบครองดินแดนแห่งนี้ ดินแดนที่เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงาม แต่เหมือนต้องคำสาป นั่นคือจัมมูและแคชเมียร์
ที่ว่าเป็นดินแดนต้องคำสาปเพราะว่าแคชเมียร์ถือเป็นไม่กี่พื้นที่ในอินเดียที่ยังคงไม่มีเสถียรภาพ และมีการเรียกร้องเอกราชจากอินเดีย พร้อมทั้งมีเหตุการณ์ก่อการร้ายและวินาศกรรมอยู่ต่อเนื่อง จนกองกำลังทหารอินเดียมากกว่าครึ่งประเทศต้องไปประจำการที่นั่น หลายคนคงมีคำถามในใจว่าจัมมูและแคชเมียร์สำคัญยังไงกับอินเดีย รัฐนี้ต่างจากรัฐอื่นๆ อย่างไร การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่กำลังเกิดขึ้นจะส่งผลอย่างไรต่ออินเดียและแคชเมียร์บ้าง แต่เหนือสิ่งอื่นใด ทุกคนคงอยากทราบว่าดินแดนแห่งนี้มีที่มาอย่างไร คำถามหลายข้อคาใจเหล่านี้จะค่อยๆ ถูกเฉลยให้ทุกคนได้รับรู้กัน
ทางเดินที่ไม่สามารถเลือกเองได้กับอิสรภาพที่ไม่มีอยู่จริง
หากจะย้อนรอยปัญหาพิพาทเหนือดินแดนแคชเมียร์ สามารถย้อนไปไกลได้ถึงปี 1947 ช่วงเวลาที่มีความสำคัญอย่างมากต่อประเทศอินเดียและปากีสถาน เพราะในเดือนสิงหาคม รัฐบาลอังกฤษได้ตัดสินใจปลดปล่อยดินแดนอาณานิคมแห่งนี้ให้เป็นเอกราช โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเทศคือ อินเดียและปากีสถาน แต่สิ่งที่เป็นปัญหาและกลายเป็นระเบิดเวลาที่อังกฤษทิ้งไว้ให้ทั้ง 2 ประเทศคือดินแดนรัฐมหาราชา (Princely States) ซึ่งมีมากถึง 562 รัฐ ดินแดนเหล่านี้ไม่เคยถูกปกครองโดยตรงจากอังกฤษมีอิสระเสรีในการดำเนินนโยบายภายในรัฐ
อย่างไรก็ตามแทนที่อังกฤษจะให้รัฐมหาราชาเหล่านี้เป็นอิสระ กลับยื่นข้อเสนอเพียง 2 ข้อคือ จะอยู่กับอินเดีย หรือปากีสถาน โดยที่กระบวนการผนวกรวมและการเจรจากับเจ้ามหาราชาทั้งหลายนั้น ให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ อังกฤษจะไม่ก้าวก่ายเรื่องดังกล่าว สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลให้ในเวลาต่อมาอินเดียและปากีสถานมีความบาดหมางกันในการแย่งชิงเจ้ามหาราชาให้เข้าร่วมกับตน ยิ่งไปกว่านั้นคือการสร้างความบาดหมางระหว่างประชาชนและเจ้ามหาราชากับทั้งอินเดียและปากีสถานด้วย
หลายรัฐมหาราชาจะมีศักยภาพและมีความต้องการอยากเป็นเอกราชมากกว่าที่จะยอมยกดินแดนของตนให้อินเดียหรือปากีสถานปกครอง หนึ่งในนั้นคือรัฐจัมมูและแคชเมียร์ (ประกอบไปด้วย 3 พื้นที่สำคัญคือ1.แคชเมียร์ 2.จัมมู และ 3.ลาดักห์) ซึ่งถูกปกครองโดยมหาราชาฮาริ สิงห์ (Maharaja Hari Singh) ณ ห้วงเวลานั้นมหาราชามีความต้องการอย่างมากที่จะประกาศเอกราชไม่ขึ้นตรงกับใคร แต่ด้วยสถานการณ์ทางการทหารที่เข้มข้นระหว่างอินเดียและปากีสถาน ส่งผลให้ปากีสถานตัดสินใจส่งทหารเข้าไปในแคชเมียร์เพื่อยึดครองดินแดนดังกล่าวในปลายปี 1947
สภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ ส่งผลให้มหาราชาแห่งแคชเมียร์หันหน้าไปพึ่งอินเดียเพื่อขอความช่วยเหลือ รัฐบาลอินเดียยื่นข้อเสนอทางการทหารบนเงื่อนไขที่ว่ามหาราชาต้องยอมยกดินแดนภายใต้การปกครองของตนให้อยู่ในอำนาจของอินเดีย ทั้งนี้มหาราชาได้ยื่นขอเสนอเพิ่มเติมโดยขอสถานะพิเศษบางอย่างให้จัมมูและแคชเมียร์ นี่จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นชนวนระเบิดลูกที่สองเหนือดินแดนแห่งนี้ เมื่อมหาราชายอมยกดินแดนซึ่งปัจจุบันคือดินแดนที่ปากีสถานยึดครอง ดินแดนที่อินเดียยึดครอง และดินแดนที่จีนยึดครอง ให้เป็นของอินเดีย ภายใต้มาตรา 370 ของรัฐธรรมนูญอินเดีย ที่ให้สิทธิพิเศษแก่รัฐนี้ในลักษณะที่แตกต่างจากรัฐอื่นๆ
ชาตินิยม นโยบาย กับการแตกสลายของรัฐจัมมูและแคชเมียร์
อาจกล่าวได้ว่าแม้จัมมูและแคชเมียร์จะเปลี่ยนสถานะจากรัฐมหาราชามาเป็นรัฐปกติภายใต้การปกครองของประเทศอินเดีย แต่ความต้องการเอกราชและอิสรภาพในหมู่ชาวแคชเมียร์ยังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมนับตั้งแต่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญในปี 1950 ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาจึงมีความพยายามเรียกร้องเอกราชอย่างสม่ำเสมอทั้งที่ใช้แนวทางสันติวิธีและการใช้ความรุนแรง เรื่องนี้กลายเป็นต้นเหตุสำคัญให้หน่วยงานความมั่นคงของอินเดียให้ความสำคัญเป็นพิเศษต่อดินแดนแห่งนี้ และสร้างความบาดหมางระหว่างชาวอินเดีย และชาวแคชเมียร์ด้วย
หากพิจารณาองค์ประกอบของรัฐจัมมูและแคชเมียร์อย่างถี่ถ้วน จะพบว่าเอาเข้าจริงแล้วมีไม่กี่พื้นที่เท่านั้นที่ต้องการเอกราชจากอินเดีย แน่นอนว่าส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่แคชเมียร์ซึ่งเป็นประชากรหลักของรัฐ แตกต่างจากพื้นที่จัมมู และลาดักห์ ซึ่งค่อนข้างยินดีกับการเป็นส่วนหนึ่งของอินเดีย เรียกได้ว่าภายในรัฐจัมมูและแคชเมียร์เองก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไปเกี่ยวกับประเด็นเรื่องเอกราช
หลายคนคงอยากทราบว่าแล้วมาตรา 370 ของรัฐธรรมนูญอินเดียสำคัญอย่างไรกับจัมมูและแคชเมียร์ ต้องบอกว่ามาตรานี้เป็นเครื่องการันตีเดียวถึงความต่างของรัฐนี้ต่อรัฐอื่นๆ โดยเฉพาะความเป็นอิสระจากรัฐบาลกลาง
รัฐบาลจัมมูและแคชเมียร์มอบเพียงอำนาจเรื่องการทหาร การต่างประเทศ และเรื่องสกุลเงินให้รัฐบาลอินเดียเท่านั้น ในส่วนของกิจการภายในทั้งหมดรัฐบาลอินเดียไม่สามารถแทรกแซงได้ คนอินเดียทั่วไปไม่สามารถถือครองที่ดินในดินแดนแห่งนี้ได้ พลเมืองแคชเมียร์สามารถถือสองสัญชาติได้ มีธงชาติและเพลงชาติเป็นของตัวเอง รัฐบาลอินเดียไม่มีอำนาจในการตรวจสอบการทุจริตของรัฐนี้ เป็นต้น
ลักษณะเช่นนี้ส่งผลให้อินเดียมีลักษณะคล้าย 1 ประเทศ 2 ระบบ ซึ่งแน่นอนว่าพรรคบีเจพี พรรคขวาชาตินิยม ไม่ค่อยยินดีกับการมีอยู่ของมาตรานี้เท่าไหร่นัก ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาพรรคนี้จึงชูนโยบายยกเลิกมาตราดังกล่าว และผนวกรัฐจัมมูและแคชเมียร์ให้เป็นส่วนหนึ่งของอินเดียอย่างแท้จริง และในที่สุดพวกเขาก็ผลักดันมันสำเร็จ หลังจากที่พรรคบีเจพีถือครองเสียงข้างมากทั้งโลกสภาและราชสภา จากชัยชนะการเลือกตั้งถล่มทลายเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นายอมิท ชาร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ประกาศต่อราชสภาในวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า รัฐบาลนำโดยประธานาธิบดีรามนาท โควิน ตัดสินใจใช้อำนาจตามมาตรา 370 ของรัฐธรรมนูญ ในการยกเลิกมาตรา 370 (ในมาตรา 370 ระบุว่าประธานาธิบดีสามารถประกาศยกเลิกมาตรานี้ได้หากสถานการณ์มีความเปลี่ยนแปลง)
แต่เหนือกว่าการยกเลิกมาตราดังกล่าวซึ่งเป็นการยกเลิกสิทธิพิเศษของรัฐจัมมูและแคชเมียร์แล้ว รัฐบาลพรรคบีเจพียังเดินไปไกลกว่านั้น คือการยุบรัฐจัมมูและแคชเมียร์ และแตกออกเป็น 2 ดินแดนสหภาพ (Union Territory) คือดินแดนสหภาพจัมมูและแคชเมียร์ กับดินแดนสหภาพลาดักห์ (ดินแดนสหภาพคือพื้นที่ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจโดยตรงของรัฐบาลกลางอินเดีย) เรียกได้ว่าเป็นการลดทอนเขี้ยวเล็บของรัฐนี้ลงไปอีกชั้นหนึ่ง
แม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักโดยเฉพาะจากฝ่ายค้านในรัฐสภาว่านี่เป็นการกระทำที่ขาดความเป็นประชาธิปไตย เพราะไม่มีแม้กระทั่งการถกเถียงในรัฐสภาก่อนจะมีการดำเนินการดังกล่าว และเป็นการยึดอำนาจโดยปราศจากความตกลงปรงใจของคนในพื้นที่ แต่ใช่ว่าเรื่องนี้จะมีแต่คนต่อต้านเพราะดูเหมือนว่าหลังจากเรื่องดังกล่าวเป็นข่าวไปทั่วประเทศ คนอินเดียในหลายพื้นที่ออกมาเฉลิมฉลองต่อการกระทำของรัฐบาล โดยเฉพาะในพื้นที่จัมมูและลาดักห์ ที่มองว่านี่เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของพวกเขา คงมีเพียงคนแคชเมียร์เท่านั้น ที่ดูจะไม่ปลื้มกับเรื่องนี้เสียเลย
อนาคตที่ยังไม่แน่นอนกับความท้าทายของรัฐบาลอินเดียเหนือดินแดนแคชเมียร์
หากจะบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีการเตรียมการใด ๆ เลยก็คงไม่ใช่ เพราะก่อนหน้านี้ราว 2 สัปดาห์รัฐบาลอินเดียได้ยกเลิกการแสวงบุญของชาวฮินดูในเขตแคชเมียร์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ อมาร์นาท ยาตรา (Amarnath Yatra) ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการเสริมทหารเพิ่มเติมเข้าไปในรัฐดังกล่าวอีกกว่า 4 หมื่นนายเพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์ความไม่สงบ โดยก่อนวันประกาศยกเลิกมาตรา 370 รัฐบาลได้จับกุมและคุมตัวผู้นำทางการเมืองคนสำคัญของแคชเมียร์ โดยเฉพาะอดีตมุขมนตรีอย่างนายโอมาร์ อับดุลลาห์ (Omar Abdullah) และนางเมห์บูบา มูฟี (Mehbooba Mufti)
หลังจากการแถลงในราชสภาและโลกสภา รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเหนือดินแดนแคชเมียร์ ตัดการติดต่อสื่อสารทุกระบบทั้งอินเตอร์เน็ต และโทรศัพท์ เรียกได้ว่าเป็นการควบคุมดินแดนแห่งนี้แบบเต็มรูปแบบเพื่อป้องกันปัญหาการก่อวินาศกรรม และการก่อความไม่สงบของกลุ่มผู้เรียกร้องเอกราชและผู้ไม่พอใจต่อการกระทำดังกล่าวของรัฐบาลอินเดีย แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้รัฐบาลอินเดียย่อมรู้ดีถึงผลที่จะตามมาอยู่แล้วจึงได้มีการเสริมกำลังทหารเพิ่มเติม
จนถึงเวลานี้รัฐบาลอินเดียเองก็ยังไม่มีความแน่ใจต่อสถานะใหม่ของจัมมูและแคชเมียร์ โดยเฉพาะการยกสถานะความเป็นรัฐกลับคืนให้ดินแดนดังกล่าว ยิ่งไปกว่านั้นรัฐบาลยังต้องเผชิญความท้าทายจากฝ่ายค้านที่กำลังยื่นเรื่องให้ศาลสูงสุดวินิจฉัยว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งคำตัดสินของศาลอาจออกมาในแนวทางใดก็ได้ โดยที่รัฐบาลไม่สามารถคาดการณ์ใดๆ ได้เลย
แต่เหนือสิ่งอื่นใด รัฐบาลอินเดียอาจต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องเสถียรภาพทางการเมืองและความสงบภายในประเทศ เพราะนอกจากรัฐจัมมูและแคชเมียร์ที่ได้รับสิทธิพิเศษแล้ว ในช่วงเวลาที่อินเดียเจรจากับมหาราชารัฐต่างๆ นั้น อินเดียก็ให้สิทธิบางเรื่องกับรัฐอื่นๆ ด้วยเช่นกัน โดยจะเห็นได้จากมาตรา 371 ของรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะในรัฐมิโซรัม และนากาแลนด์
รัฐเหล่านี้ยังมีกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ยังคงเคลื่อนไหวอยู่เช่นเดียวกับในแคชเมียร์ การกระทำดังกล่าวของรัฐบาลส่งผลให้ความเชื่อมั่นต่อความเป็นอิสระของรัฐเหล่านี้ลดลง ส่งผลให้ประชาชนอาจหันหน้าไปหากลุ่มแบ่งแยกดินแดนเหล่านี้มากยิ่งขึ้น กลายเป็นการเติมเชื้อไฟให้กลุ่มกบฏที่กำลังอ่อนแอไปโดยปริยาย
อีกประเด็นคือแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นการจัดการภายในของอินเดีย แต่ด้วยความพิเศษของพื้นที่ซึ่งเป็นกรณีพิพาทกับทั้งปากีสถานและจีน มีความเป็นไปได้ว่าการกระทำนี้อาจนำไปสู่ความตึงเครียดอีกครั้งระหว่างอินเดีย-ปากีสถาน เพราะกองทัพปากีสถานเองได้ประกาศชัดว่าการกระทำของอินเดียถือว่าละเมิดกฎหมายอย่างร้ายแรง และกองทัพปากีสถานพร้อมสนับสนุนการเคลื่อนไหวของประชาชนชาวแคชเมียร์
โดยสรุป ณ เวลานี้รัฐบาลอินเดียยังไม่ทราบผลที่จะตามมาหลังจากการยกเลิกมาตรา 370 ของรัฐธรรมนูญอย่างแน่ชัด ยังสรุปไม่ได้แม้กระทั่งว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะส่งผลดีหรือผลเสียต่อประเทศ แต่ที่แน่ๆ สำหรับคนไทยที่กำลังวางแผนไปแคชเมียร์ ถ้าเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง ถ้าเลี่ยงไม่ได้คงต้องติดตามข่าวกันอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น บทสรุปของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร คงต้องรอดูกันต่อไป