ถึงจะบอกว่า Coming of Age เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เราได้เติบโตและเรียนรู้อะไรๆ ที่ผ่านเข้ามาระหว่างการเปลี่ยนผ่านของช่วงชีวิต แต่อย่างที่เห็นกันอยู่ ทั้งในชีวิตจริงและหนังแนวนี้แทบทุกเรื่อง ที่ความขัดแย้งภายในตัวละครนั้นช่างยิ่งใหญ่ ขมขื่น และพัดพาเอา ‘ความเครียด’ จากการเติบโตเข้ามาให้ปวดหัวพอเป็นกระษัย
ผลสำรวจดัชนีความเครียดจาก AU Poll มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาทำให้เราเห็นภาพคร่าวๆ ของเรื่องที่ทำให้คนไทยในแต่ละเจเนอเรชันรู้สึกปวดตัวปวดใจจากสิ่งรอบตัว โดยกลุ่มที่มีความเครียดมากที่สุดสองอันดับแรก (และเดาได้ไม่ยาก) คือชาวเจน Y อายุ 25-35 ปี ที่เครียดด้วยเรื่องการเงินการงาน ตามมาด้วยเจน Z อายุ 19-24 ปี ที่เครียดกับเรื่องเรียนและงานในอนาคต
จะเรียนต่อที่ไหน? จบแล้วจะทำอะไรเลยดีไหม? งานที่ทำยังดีต่อใจอยู่รึเปล่า? จะเปลี่ยนงานหรือจะทนอยู่ต่อไป? เป็นคำถามคลาสสิกที่เกี่ยวพันกับการตัดสินใจเพื่อก้าวสู่สภาวะเติบโตของชีวิตในขั้นต่อไป
วิธีจัดการความเครียดและความเจ็บปวดระหว่างการเปลี่ยนผ่านของชีวิตมีหลากหลายวิธี พี่อ้อยอาจบอกในคลับฟรายเดย์ให้ลืมความเจ็บปวดในอดีตเพื่ออนาคตที่สดใส เพลงพี่บอยด์โกฯ อาจบอกให้อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง ส่วนไลฟ์โค้ชอาจบอกให้โอนค่าคอร์สก่อนแล้วจะบอกให้
แต่เราจะขออยู่กับอดีตอันแสนหวาน เพื่อลืมความเศร้าในช่วงเวลา Coming of Age ไม่ได้เลยหรือ
คำตอบคือ… ได้สิ!
ภาวะรู้สึกโหยหา อาลัยอาวรณ์อดีต หรือความ ‘Nostalgia’ คือความรู้สึกอบอุ่นใจ สบายใจที่เกิดขึ้นเมื่อเรานึกถึงช่วงเวลาในอดีตที่เคยเจอมา บางทีอาจไม่จำเป็นต้องเป็นความทรงจำที่แจ่มชัดที่เจอกับตัวเอง แค่จำได้ว่ามีอะไรบางอย่างที่อยู่ในช่วงเวลาของความทรงจำก็เพียงพอ เช่นถ้าเราเคยได้ยินเพลงเก่าที่พ่อแม่เปิดฟังสมัยเด็กๆ เมื่อมาได้ยินอีกที สมองก็จะเชื่อมโยงความรู้สึกนั้นเข้ากับความทรงจำด้านบวกในสมัยเด็ก
แต่นอสทัลเจียมันคืออะไรกันแน่นะ?
เชื่อหรือไม่ว่าคำว่านอสทัลเจียเปิดตัวเป็นครั้งแรกในฐานะ ‘อาการทางประสาท’ เมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดนแพทย์ทหารชาวสวิตเซอร์แลนด์ โยฮัน ฮอฟเฟอร์ ที่ทำให้เหล่าทหารรับจ้างเกิดอาการจิตหลอน จนต่อมาก็ยังถูกมองเป็นหนึ่งในภาวะอาการซึมเศร้าที่เกิดขึ้นกับคนที่ย้ายถิ่นฐาน (ในช่วงนั้นถูกจัดรวมเข้ากับอาการ homesick)
เมื่อมีการศึกษาอย่างจริงจัง ก็พบว่านอสทัลเจียคือความรู้สึกที่คนทั้งโลกเป็นเหมือนกัน และเจอแม้กระทั่งในเด็กอายุ 7 ขวบที่นึกถึงความทรงจำในวันเกิดและวันที่ไปเที่ยวกับครอบครัว และเป็นกันมากที่สุดในช่วงผู้ใหญ่ตอนต้น (เท่ากับช่วงของชาวเจน Y และ Z ในตอนนี้) ก่อนจะลดลงในวัยกลางคน และพุ่งขึ้นอีกครั้งตอนที่เราแก่ตัวลง
มากไปกว่านั้น การศึกษาเรื่องนอสทัลเจียยังพบอีกว่า การนึกย้อนถึงอดีตไม่ใช่แค่ทำให้อบอุ่นใจ แต่ยังอบอุ่นไปถึงอุณหภูมิในร่างกายด้วย จากการทดลองที่ให้คนไปนั่งในห้องที่หนาวเย็นเทียบกับอีกห้องที่อุ่นกว่า พบว่าหลายคนที่อยู่ในห้องที่หนาวจะเกิดภาวะนอสทัลเจียบ่อยครั้ง พอนอสทัลเจียแล้ว จะรู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นขึ้น ทำให้นักจิตวิทยาคาดกันว่า นี่อาจเป็นความรู้สึกที่ส่งต่อมาจากบรรพบุรุษของเรา ทำให้การเรียกความทรงจำเก่าๆ ส่งผลต่อการอยู่รอด
เรื่องน่าแปลกคือ ไม่ใช่แค่ความรู้สึกในอดีตเฉพาะด้านบวกเท่านั้นที่สร้างความรู้สึก ‘ความทรงจำสีจาง’ ช่วยให้เราอบอุ่นใจในปัจจุบันอันหดหู่ เหตุการณ์แย่ๆ ที่เกิดขึ้นก็นอสทัลเจียได้ด้วย ผู้หญิงที่เคยผ่านประสบการณ์คลอดลูก แม้จะเจ็บปวด แต่เกือบทุกคนเมื่อนึกย้อนกลับไปกลับอยากมีลูกอีกครั้ง หรือเด็กที่เคยผ่านความเจ็บปวดในช่วงสงครามโลก เมื่อโตขึ้นและนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นก็จะมองเห็นว่าครอบครัวของตัวเองสำคัญมากแค่ไหน
ในแง่นี้ ความนอสทัลเจีย นั่งนึกถึงอดีต จึงเป็นกลไกที่ช่วย ‘จัดการ’ ความโศกเศร้าของผู้ที่ผ่านความสูญเสีย มากกว่าจะตอกย้ำความเจ็บปวดที่เคยเจอมา
ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะการจัดการความรู้สึกด้านลบ (ในปัจจุบัน) ของมนุษย์เป็นเหมือนภูมิคุ้มกันทางจิตวิทยา เช่นเดียวกับเซลล์เม็ดเลือดขาวในร่างกาย เพียงแต่แทนที่จะเข้าไปสวาปามเชื้อโรคร้าย ร่างกายของเราจัดการกับความรู้สึกแย่ๆ ด้วยการทำให้มันหายไปจากความทรงจำเร็วกว่าความรู้สึกด้านบวก เมื่อนำมาร้อยเรียงใหม่จากการหวนคิดถึงอดีต จากเหตุการณ์ที่เคยรู้สึกแย่ จึงถูกสร้างใหม่เป็นเรื่องที่ดีกับใจ
เคลย์ รูท์เลดจ์ ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัย North Dakota State เจ้าของงานวิจัยในหัวข้อ Nostalgia: Content, Triggers, Functions ที่สำรวจความเป็นไปได้และข้อดีต่างๆ ของภาวะนอสทัลเจียได้บอกไว้ว่า
เมื่อมนุษย์รู้สึกมองโลกในแง่ดี [จากความรู้สึกดีที่เกิดจากภาวะนอสทัลเจีย] เราจะเริ่มมองถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต และเฝ้ารอให้มาถึงด้วยความรู้สึกด้านบวก มากกว่าจะจมอยู่กับความรู้สึกแย่ที่เจอมา
ช่วงเวลาหลังเหตุการณ์ 9/11 และวิกฤตซับไพรม์เมื่อปี 2007 ในสหรัฐอเมริกาคือหลักฐานที่ยืนยันสมมติฐานนี้ เพราะทั้งอุปสงค์และอุปทานของวงการบันเทิง ทั้งละครโทรทัศน์ที่เกี่ยวกับความทรงจำในอดีต ภาพยนตร์แนวนอสทัลเจีย ล้วนพุ่งสูงขึ้นอย่างเป็นประวัติการณ์ เพื่อให้ชาวอเมริกันเกิดความรู้สึกโหยหาอดีต ลืมความเจ็บปวดจากเหตุการณ์ความสูญเสียทั้งสองเหตุการณ์
การพาตัวเองเข้าสู่ภาวะนอสทัลเจียพาให้เราก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านของช่วงเวลาได้อย่างราบรื่นมากขึ้น อย่าแปลกใจถ้าในช่วงเวลา Coming of Age ที่เจอหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญๆ ของชีวิต เราจะรู้สึก (และเจอแต่คนที่) อยากกลับไปฟังเพลงยุค 90s นั่งอ่านกระทู้อวดรูปเพจเจอร์ หรือนั่งดูละครเก่าๆ และเจอกับละครหรือหนังรีเมคออกมาเต็มไปหมด
เพราะในเมื่อคนที่กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ คือคนที่เคยนั่งดู โฉมงามกับเจ้าชายอสูร ในอดีต การพาความทรงจำเก่าๆ ให้หวนกลับมาอีกครั้งจึงเป็นหนึ่งในหนทางเยียวยาของคนยุคนี้ ผู้เป็นเจ้าของกลุ่มใหญ่ที่สุดของความเจ็บปวดจากการเปลี่ยนผ่าน
ไม่แน่เหมือนกันว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า เราอาจได้เห็น Pokemon Go! ย้อนกลับมาทำใหม่อีกรอบ
เพราะมันคือนอสทัลเจียที่ไม่ต่างกัน
อ่านเพิ่มเติม
บทความเรื่อง Nostalgia: Content, Triggers, Functions จาก The American Psychological Association