“การบริการของอินเดีย หมายถึงการรับใช้ประชาชนนับล้านที่ยังตกทุกข์ได้ยาก มันคือการขจัดความยากจน ความเขลา โรคภัย และความไม่เท่าเทียมกันทางโอกาส ความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ในยุคเราคือการเช็ดทุกคราบน้ำตาของประชาชน ตราบใดที่น้ำตาและความทุกข์ยังมีอยู่ ตราบนั้นงานของพวกเราก็ยังไม่สิ้นสุด”
บัณฑิตชวาหะร์ลาล เนห์รู, นายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย
ประโยคดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของสุนทรพจน์สุดอมตะที่ถูกกล่าวในวันที่สำคัญที่สุดของอินเดีย นั่นคือวันที่ 15 สิงหาคม 1947 วันที่อินเดียปลดแอกตัวเองออกจากการปกครองที่กดขี่และอยุติธรรมของอังกฤษที่ยาวนานเกือบ 200 ปี นับตั้งแต่ยุคบริษัทอินเดียตะวันออกสู่ระบอบบริติชราช
ที่เลือกหยิบประโยคนี้ขึ้นมา เพราะนอกจากจะเป็นส่วนหนึ่งของสุนทรพจน์ ‘A tryst with destiny’ สุนทรพจน์แรกของบัณฑิตชวาหะร์ลาล เนห์รู นายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดียในค่ำคืนวันเปลี่ยนผ่านสู่เอกราชแล้ว ข้อความนี้ยังบอกเล่าภาระหน้าที่อันหนักอึ้งและเป้าหมายสูงสุดของรัฐบาลในการพัฒนาอินเดียสู่ความเป็นรัฐทันสมัยในอนาคตอีกด้วย
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยพยายามอยากหนักเพื่อขจัดปัญหาต่างๆ ทั้งความยากจน การส่งเสริมการเข้าถึงการศึกษา การพัฒนาสวัสดิการด้านสาธารณสุข ไปจนถึงการส่งเสริมระบบสำรองที่นั่งและกำหนดนโยบายเฉพาะสำหรับกลุ่มคนชายขอบ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นไปเพื่อเช็ดคราบน้ำตาและความทุกข์ยากของคนอินเดียทุกคน
เป็นเวลากว่า 75 ปีเต็มแล้ว นับตั้งแต่อินเดียเริ่มก้าวย่างสู่อิสรภาพและการปกครองตนเอง เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองเดือนแห่งเอกราชของอินเดีย จึงอยากชวนคุณผู้อ่านทุกท่านวิเคราะห์ก้าวย่างบนเส้นทางสู่อนาคตของอินเดีย ผ่านสุนทรพจน์ของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ณ ป้อมแดง เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2022 ที่ผ่านมา
อดีตคือบทเรียนและพื้นฐานของประเทศ
นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของอินเดียได้กล่าวสุนทรพจน์ด้วยการเอ่ยชื่อผู้นำและนักต่อสู้เพื่ออิสรภาพหลากหลายคน ไม่ว่าจะเป็นบัณฑิตชวาหะร์ลาล เนห์รู วัลลัภไบ ปาเตล และภิมราว รามยี อัมเบดการ์ เพื่อย้ำเตือนให้เห็นถึงความสำคัญและคุณูปการของบุคคลเหล่านี้ที่นำพาอินเดียสู่เอกราช เพราะพวกเขาคือผู้ปูทางและวางรากฐานอันมั่นคงให้กับอินเดียสมัยใหม่ ทั้งการออกแบบรัฐธรรมนูญ การผนวกรวมดินแดนต่างๆ ไปจนถึงการจัดระเบียบทางสังคมเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมทางสังคม ซึ่งแต่ละยุคสมัยนั้น ผู้นำแต่ละคนได้ลองผิดลองถูกและวางรากฐานการพัฒนาไว้มากมายเพื่อส่งต่อให้คนยุคหลัง
ในยุคสมัยของเนห์รู อินเดียได้เรียนรู้บทเรียนมากมายจากช่วงตั้งไข่ ทั้งการบริหารเศรษฐกิจที่ประสบปัญหาอย่างหนัก จนเกิดสภาพทุกข์ยากในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ไปจนถึงความคิดแบบอุดมคตินิยมที่ครอบครองนโยบายต่างประเทศและการทหารของอินเดีย ซึ่งนำพาอินเดียสู่การสูญเสียดินแดนแคชเมียร์และความเสียหายอย่างหนักในสงครามอินเดีย-จีนปี 1962 บทเรียนเหล่านี้นำมาซึ่งการปฏิรูปนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงของอินเดียในเวลาต่อมา แต่ยุคสมัยนี้ก็มีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการวางระบบสวัสดิการต่างๆ เพื่อคุ้มครองคนชายขอบ โดยเฉพาะการพัฒนาระบบสำรองที่หนังให้กลุ่มคนวรรณะล่างและชนพื้นเมืองซึ่งถูกกดทับมาโดยตลอด และขาดโอกาสในการเข้าถึงนโยบายของรัฐ
ในขณะที่ยุคสมัยของอินทิรา คานธี ถือเป็นช่วงสำคัญที่เป็นบทเรียนชิ้นใหญ่สำหรับอินเดีย เพราะมีการประกาศสภาวะฉุกเฉิน งดการเลือกตั้ง รวมไปถึงการจำกัดเสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชนอินเดีย สั่นคลอนอุดมการณ์ประชาธิปไตยของอินเดียอย่างมหาศาล แต่คนอินเดียก็ได้เรียนรู้ว่า หนทางที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยไม่เหมาะสมกับประเทศอย่างยิ่ง ฉะนั้นตลอดหลายปีมานี้คนอินเดียจึงหวงแหนเสรีภาพของตัวเองอย่างมาก
ยุคสมัยของราจีพ คานธี นรสิงห์ ราว พิหารี วาชเปยี และมานโมหัน สิงห์ ถือเป็นอีกช่วงสำคัญที่อินเดียเปลี่ยนผ่านประเทศและเปิดประตูสู่โลกภายนอกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการปฏิรูปการศึกษา วิทยาศาสตร์ เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีทางการทหาร ซึ่งกลายเป็นเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศในปัจจุบัน
อดีตสำหรับอินเดียจึงเต็มไปด้วยบทเรียนมากมายที่ทำให้คนรุ่นปัจจุบันได้เรียนรู้ทั้งความสำเร็จและความผิดพลาดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยอีกครั้ง ในทำนองเดียวกัน อดีตก็คือรากฐานของประเทศที่นำพาให้อินเดียก้าวเดินมาถึงปัจจุบัน และถือเป็นทรัพยากรทางปัญญาที่สำคัญยิ่งที่จะพัฒนาอินเดียสู่อนาคตของสังคมอันไร้ซึ่งคราบน้ำตาของคนทุกข์ยาก
อินเดียในวันนี้
หากเทียบกับอายุขัยของคน อายุ 75 ปีอาจถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาของไม้ที่ใกล้ฝั่งแล้ว แต่สำหรับความเป็นรัฐ-ชาติสมัยใหม่แล้ว ระยะเวลาเท่านี้อาจไม่ได้มากมายอะไรนัก เพราะหลายประเทศในโลกก็มีอายุเกินหลักร้อยกันไปมากแล้ว ฉะนั้นอินเดียในวัยนี้ เรียกได้ว่ายังอ่อนไวอยู่มากเมื่อเทียบกับหลายๆ ประเทศ อินเดียในวันนี้ที่ผ่านการพัฒนามาร่วม 7 ทศวรรษจึงมีทั้งสิ่งที่ประสบความสำเร็จ ในขณะเดียวกันก็ยังคงมีอีกหลากหลายปัญหาที่รอวันแก้ไขอยู่ในอนาคต
หนึ่งเรื่องที่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าอินเดียมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดคือ การขยายการพัฒนาเศรษฐกิจไปยังรัฐต่างๆ ทั่วทั้งอินเดีย แนวนโยบายเช่นนี้ส่งผลให้ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของอินเดียไม่ได้กระจุกอยู่เพียงใเมืองหลวง หรือเมืองท่าเดิมในยุคอาณานิคม หลายรัฐของอินเดียประสบความสำเร็จในการส่งเสริมการลงทุนและผันตัวเองกลายเป็นศูนย์กลางในด้านต่างๆ ของประเทศ ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่อการสร้างห่วงโซ่อุปทานในภาพรวม
เช่นรัฐเตลังคานา ที่วันนี้กำลังเป็นที่จับตามองในฐานะศูนย์กลางผลิตยานยนต์และนวัตกรรมด้านหุ่นยนต์ของอินเดีย หรือรัฐสิกขิมที่วันนี้กลายเป็นศูนย์กลางทางด้านเกษตรปลอดสารพิษที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ เป็นต้น ความสำเร็จเหล่านี้ส่งผลให้อัตราการเคลื่อนย้ายของผู้คนไปหางานในเขตเมืองใหญ่ อย่างมุมไบ นิวเดลี หรือกัลกัตตา มีแนวโน้มค่อยๆ ลดลง
ในมิติทางด้านสังคม อินเดียในวันนี้ได้ลบคำสบประมาทหรือแม้กระทั่งภาพจำหลายอย่างจากภายนอก โดยเฉพาะการที่อินเดียสามารถมีประธานาธิบดีที่มาจากชนชั้นล่างสุดในระบบสังคมวัฒนธรรมแบบฮินดู หรือแม้กระทั่งล่าสุดการขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีหญิงเชื้อสายชาวพื้นเมืองคนแรก ภาพเหล่านี้สะท้อนภาพยอมรับและการสร้างสังคมที่เท่าเทียมกันในหมู่ประชาชนที่มีความหลากหลายอย่างอินเดีย ทั้งที่ในอดีตกลุ่มชาติพันธ์หรือชนชั้นเหล่านี้ในสังคมอินเดียดั้งเดิมนั้นถูกกีดกันออกจากทั้งระบบการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม นี่จึงเป็นหนึ่งก้าวสำคัญในระบบสังคมอินเดียในปัจจุบันเช่นเดียวกัน
สำหรับในทางการเมือง ระบบการเมืองอินเดียในวันนี้เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น โดยเปิดโอกาสให้คนที่มีความหลากหลายภูมิหลังเข้าสู่อำนาจการปกครองมากยิ่งขึ้น เพราะหากย้อนไปในอดีต ระบบการเมืองของอินเดียนั้นถูกผูกขาดอยู่ในวังวนของระบบตระกูลการเมือง ทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ส่งผลให้เกิดการเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้องและการทุจริตจำนวนมาก ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความกินดีอยู่ดีของประชาชน แต่ในทุกวันนี้ ผู้นำทางการเมืองของอินเดียมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น หนึ่งในตัวอย่างสำคัญก็คือนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ที่เริ่มต้นเส้นทางการเมืองจากคนธรรมดาที่มาจากชนวรรณะล่างเสียด้วยซ้ำ แน่นอนว่าระบบตระกูลการเมืองนั้นไม่ได้หายไปจากการเมืองอินเดียเสียทีเดียว แต่ความเข้มแข็งของมันก็ไม่ได้เป็นดังเช่นในอดีตอีกแล้ว
ฉะนั้นเมื่อพิจารณาทั้งในมิติการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม จึงเห็นได้ว่าอินเดียในวันนี้ไม่ได้หยุดนิ่งและประสบความสำเร็จอย่างมากในการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศที่เกาะกินไม่ให้สังคมอินเดียได้เติบโต ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำ การแบ่งชั้นวรรณะ หรือการทุจริตและระบบตระกูลการเมืองได้หายไปจากอินเดียแล้ว แต่ที่ต้องการจะสื่อให้เห็นคือปัญหาเหล่านี้เริ่มเบาบางลงมากแล้วเมื่อเทียบกับอดีต และในวันข้างหน้า อินเดียก็คงหวังว่าเรื่องเหล่านี้จะไม่ปรากฏขึ้นมาอีกเลยในสังคมอินเดียเช่นเดียวกัน
ก้าวสู่อินเดียที่พัฒนาแล้ว
“ข้าพเจ้าขอเรียกร้องไปยังเยาวชนทุกคนที่จะมีอายุครบ 50 ปี ในปี 2047 ให้สาบานว่าจะนำพาอินเดียสู่ประเทศพัฒนาแล้ว ในโอกาสที่อินเดียจะครบรอบ 100 ปีแห่งอิสรภาพ”
นเรนทรา โมดี, นายกรัฐมนตรีอินเดีย
สุนทรพจน์ ณ ป้อมแดง, 15 สิงหาคม 2022
สำหรับถ้อยคำในสุนทรพจน์ดังกล่าวของนายกรัฐมนตรีโมดี อาจเรียกได้ว่าคือหมุดหมายสำคัญและเป็นความฝันอันยิ่งใหญ่สำหรับอินเดียที่ต้องการก้าวออกจากวังวนแห่งความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจ และนำพาชาวอินเดียสู่สังคมกินดีอยู่ดีที่ทัดเทียมกับบรรดาชาติตะวันตกที่ในวันหนึ่งเคยดูถูกและกดขี่พวกเขา แน่นอนว่าการมุ่งหน้าสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วของอินเดียจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ต้องทำงานประสานกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้อินเดียสามารถผลักดันตัวเองขึ้นมาเป็นแนวหน้าทางเศรษฐกิจของโลกได้ภายในระยะเวลาที่ยังคงเหลืออีก 25 ปีเท่านั้น
ภายหลังจากการประกาศความฝันและเป้าหมายของอินเดียในการเป็นประเทศพัฒนาแล้วในปีที่ 100 แห่งอิสรภาพออกสู่สาธารณะ สิ่งที่ตามมาก็ย่อมมีทั้งคำชื่นชมและคำวิจารณ์ โดยเฉพาะคำวิจารณ์จากภายนอกอินเดีย หลายฝ่ายมองว่าเป็นเพียงการขายฝันของนายกรัฐมนตรีโมดีเท่านั้น เป้าหมายเหล่านี้ยากที่จะบรรลุยิ่ง เพราะระยะเวลาเพียง 25 ปี นั้นน้อยเกินกว่าที่อินเดียจะสามารถแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างเดิมที่มีปัญหาสะสมอยู่มาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสร้างความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ
ในทางกลับกัน บทวิเคราะห์บางส่วนก็สะท้อนถึงความเป็นไปได้ที่อินเดียจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นประเทศพัฒนาแล้วในอีก 25 ปีข้างหน้า เพราะมีตัวแปรและตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจหลายตัวที่ช่วยผลักดันให้เห็นว่าสิ่งที่อินเดียฝันนั้นเป็นจริงได้ ยกตัวอย่างเช่น ตัวเลขทางเศรษฐกิจของอินเดียที่ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ที่สำคัญ ณ วันนี้รัฐบาลอินเดียกำลังให้การสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมทันสมัยรูปแบบต่างๆ เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมสีเขียว นวัตกรรมและเทคโนโลยี ตลอดจนอุตสาหกรรมทางการทหาร เป็นต้น ยังไม่นับรวมว่าในเวลาอันใกล้นี้อินเดียจะขึ้นแท่นเบอร์ 1 ที่มีประชากรมากที่สุดในโลกแซงหน้าจีน ซึ่งประชากรที่มากขึ้นก็คือทรัพยากรที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกันหากพัฒนาผู้คนเหล่านี้ให้มีศักยภาพที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ ไม่ว่าเป้าหมายสู่การกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วของอินเดียจะสามารถเป็นจริงได้หรือไม่ ในโอกาสฉลอง 100 ปีแห่งอิสรภาพ คงมีเพียงระยะเวลา 25 ปีที่เหลือนี้เท่านั้นที่จะตอบคำถามเราทุกคนได้อย่างชัดเจน แต่ที่แน่ๆ มันไม่ใช่ความผิดอะไรเลยที่อินเดียจะมีความฝันที่ยิ่งใหญ่และต้องการบรรลุเป้าหมายสูงสุดนี้
ต้องไม่ลืมว่าก่อนหน้านี้ ไม่มีใครคาดคิดว่า อินเดียจะเดินหน้าพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ และสามารถประสบความสำเร็จในการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ หรือก่อนหน้านี้ที่อินเดียเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนักหลังปี 2008 ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าเศรษฐกิจอินเดียในวันนี้จะเติบโตและฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเช่นกัน ฉะนั้นตลอดระยะเวลาแห่งอิสรภาพ 75 ปีที่ผ่านมา อินเดียได้สร้างความประหลาดใจหลายเรื่องให้กับประชาคมโลกเสมอมา สมดั่งสโลแกน ‘Incredible India‘