มีคำพูดทีเล่นทีจริงในสังคมจีนว่า การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดที่เกิดขึ้นภายใต้การนำของสีจิ้นผิง ก็คือ จีนที่ชราลงอย่างรวดเร็ว
จีนในยุคของสีจิ้นผิง ด้านหนึ่งอาจดูเหมือนดาวรุ่งพุ่งแรงทะยานขึ้นเป็นมหาอำนาจโลก แต่ในอีกด้านก็เป็นจีนที่กำลังประสบปัญหาการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่เร็วและแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก แถมบัดนี้ต้องเรียกว่าเร็วและแรงกว่าที่นักวิชาการจีนเคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้เสียอีก
อัตราการเกิดของจีนในปี ค.ศ. 2020 ท่ามกลางโรคระบาดโควิดและการล็อกดาวน์ ปรับลดลงจากปีก่อนหน้าถึงร้อยละ 15 แต่ในความเป็นจริง โควิดไม่ใช่ปัจจัยสำคัญอะไรที่ทำให้คนจีนเกิดน้อย เพราะอัตราการเกิดของจีนได้ลดลงมาอย่างต่อเนื่อง 3 ปีซ้อนแล้ว
ตัวเลขเด็กจีนเกิดใหม่ในปี ค.ศ. 2020 อยู่ที่ 10 ล้านคน เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขเด็กเกิดใหม่เฉลี่ยในรอบ 20 ปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ปีละ 16.3 ล้านคน จะเห็นได้ว่าหากทิศทางยังคงลดลงเช่นนี้ต่อไป ย่อมส่งผลให้โครงสร้างประชากรจีนบิดเบี้ยวหนักอย่างรวดเร็วและรุนแรง และถึงแม้ว่าจีนไม่ได้มีปัญหานี้อยู่ประเทศเดียว พื้นที่เอเชียตะวันออกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ล้วนมีปัญหาอัตราการเกิดลดต่ำลงทั้งสิ้น แต่อัตราการเกิดที่ลดต่ำลงของจีนถือว่ารวดเร็วและรุนแรงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับทุกพื้นที่
หลายคนอาจมองว่า รากฐานของปัญหามาจากนโยบายลูกคนเดียวของรัฐบาลจีนที่บังคับใช้มาอย่างยาวนาน แต่ข้อเท็จจริงคือ ในปี ค.ศ. 2016 รัฐบาลจีนได้เปลี่ยนจากนโยบายลูกคนเดียวมาเป็นนโยบายลูกสองคน แต่ปรากฏว่าอัตราการเกิดกลับมาเพิ่มขึ้นอยู่เพียงสองปี จากนั้นก็ลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นเดิม แสดงให้เห็นว่า ปัญหาคนจีนไม่ยอมมีลูกไม่ใช่เพราะถูกจำกัดจำนวนว่ามีลูกได้เพียงคนเดียวหรือสองคน แต่มีต้นกำเนิดจากปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมที่ซับซ้อนกว่านั้น
ดร.เซี่ยกั๋วจง นักเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งของจีนได้อธิบายไว้อย่างน่าสนใจว่า ปัญหาอัตราการเกิดที่ต่ำเตี้ยมีต้นตอมาจากโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจของจีน ที่อาศัยการเคลื่อนย้ายแรงงานราคาถูกจากชนบทเข้าสู่เมือง
ช่วงแรกนั้น ปัญหายังไม่รุนแรง เพราะคนงานอพยพรุ่นแรกยังมีรากเหง้าเชื่อมโยงกับบ้านเกิดในชนบท เมื่อมีครอบครัวก็อาจส่งลูกฝากกลับไปอยู่บ้านเกิดให้ปู่ยาตายายช่วยเลี้ยงดู แต่เมื่อมาถึงยุคของคนงานอพยพรุ่นที่ 2 ในปัจจุบัน คนกลุ่มนี้กลับขาดรากเหง้าในชนบท ขณะเดียวกันก็ขาดรากเหง้าในเมืองใหญ่ที่ตนเข้ามาทำงานหาเช้ากินค่ำ
คนงานอพยพเหล่านี้เป็น ‘พลเมืองชั้นสอง’ ในสังคมเมืองของจีน เนื่องจากทะเบียนครัวเรือนของพวกเขาและเธอยังผูกติดกับทะเบียนชนบท จึงไม่ได้รับสวัสดิการของคนเมือง ขณะเดียวกัน ค่าครองชีพในเมืองใหญ่ของจีนสูงมาก แรงงานพลเมืองชั้นสองเหล่านี้จึงไม่สามารถเริ่มต้นครอบครัวได้
ปัญหาพื้นฐานที่สำคัญที่สุดคือ ราคาอสังหาริมทรัพย์ของจีน ช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ราคาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองใหญ่ทะยานขึ้นทะลุเพดาน ส่วนหนึ่งมาจากการหารายได้ของรัฐบาลเมืองของจีนที่เป็นเจ้าของที่ดินในเมืองและเป็นผู้ขับเคลื่อนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ยิ่งเมื่อปีที่แล้วท่ามกลางวิกฤตโควิด ราคาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองใหญ่ของจีนกลับพุ่งทะยานสูงขึ้นอีก เพราะเงินอัดฉีดจากรัฐบาลที่ไหลเข้าภาคอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้งรัฐบาลยังยอมปล่อยให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ร้อนแรงเพื่อกระตุ้นตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจอีกด้วย
ราคาอสังหาริมทรัพย์มีผลต่ออัตราการเกิด ไม่ว่าจะเป็นในญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน อัตราการเกิดที่ลดลงมีความสัมพันธ์กับฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ ยิ่งในวัฒนธรรมจีนแล้ว ชายหนุ่มผู้เป็นเสาหลักของครอบครัวจะต้องมีห้องชุดเป็นของตนเมื่อแต่งงาน ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์จึงมีผลโดยตรงต่อการเริ่มต้นครอบครัว คนจีนรุ่นใหม่จึงเลือกเช่าห้อง ใช้ชีวิตโสด เล่นอินเทอร์เน็ต ดูหนังฟังเพลง สบายกว่าต้องแบกรับแรงกดดันเรื่องการสร้างและรับผิดชอบครอบครัว
ดร.เซี่ยกั๋วจงชี้ว่า ปัจจัยทางเศรษฐกิจย่อมส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรม เมื่อคนรุ่นหนึ่งเริ่มมีวัฒนธรรมของการใช้ชีวิตโสด ถึงแม้ว่าต่อไปราคาค่าครองชีพจะปรับสมเหตุสมผลขึ้น แต่อัตราการเกิดของเด็กเกิดใหม่ก็จะไม่กลับมาเป็นปกติเช่นเดิมอีก ตัวอย่างเช่นในญี่ปุ่น แม้การหดตัวของประชากรจะทำให้ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตกโพละ แต่คนญี่ปุ่นรุ่นใหม่ก็ไม่กลับมาแต่งงานและมีลูกในอัตราเดียวกับในอดีต
การหดตัวของประชากรไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องแย่เสมอไป เมื่อ 100 ปีที่แล้ว ประเทศจีนมีประชากรเพียง 400 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นเพียงร้อยละ 30 ของประชากรจีนในปัจจุบัน สาเหตุที่จีนใช้นโยบายลูกคนเดียวก็อยู่บนฐานคิดว่า ประชากรล้นประเทศเป็นปัญหาหนักต่อคุณภาพชีวิตและการบริหารจัดการทรัพยากร ปัญหาของจีนในปัจจุบันจึงไม่ใช่การหดตัวของประชากร แต่คือความเร็วและแรงของการหดตัวต่างหาก
ความเร็วของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก เพราะโครงสร้างเศรษฐกิจอาจปรับตัวไม่ทันกับการลดลงอย่างรวดเร็วของแรงงานวัยทำงาน แถมลองคิดดูสิครับว่า ถ้าคนเกินครึ่งประเทศเป็นคนแก่ คนหนุ่มสาวย่อมแบกรับภาระมหาศาลที่ต้องเลี้ยงดูคนแก่เหล่านั้น
ในการประชุมสภาประชาชนที่ผ่านมา นายกฯ หลี่เค่อเฉียงกล่าวถึงความสำคัญของการรักษาอัตราการเกิดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และในแผนพัฒนา 5 ปีฉบับใหม่ก็มีบทหนึ่งที่พูดเรื่องการรับมือสังคมผู้สูงอายุอย่างชัดเจน มีการวิเคราะห์ในวงนโยบายว่า ภายในสิ้นปีนี้ จีนอาจจะยกเลิกข้อจำกัดเรื่องจำนวนบุตรในมณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีอัตราการเกิดต่ำที่สุด นอกจากนั้น จีนยังมีแผนจะขยายเวลาเกษียณอายุอย่างค่อยเป็นค่อยไป
แต่ปัญหาคนจีนรุ่นใหม่ไม่ยอมมีลูกจำเป็นต้องแก้ที่ต้นเหตุ นั่นคือภาระทางเศรษฐกิจและการเป็นพลเมืองชั้นสองของคนงานอพยพ หากต้นเหตุนี้ไม่ได้รับการแก้ไข โครงสร้างประชากรจีนที่บิดเบี้ยวอย่างรวดเร็วและรุนแรงย่อมเป็นระเบิดเวลาก้อนใหญ่ที่สุดที่อาจดับฝันดาวรุ่งมหาอำนาจใหม่อย่างจีน