Eyedropper Fill เรื่อง
เคยคิดไหมว่าทำไมคุณถึงกลัวผี ?
หญิงสาวผมยาวในชุดกระโปรงสีขาว, ชายร่างทมิฬตาปลิ้นใบหน้าโชกเลือด หรือยายแก่หลังค่อมพร้อมจกตับไตไส้พุง – ‘คาแรคเตอร์’ อาจเป็นสิ่งที่ทำให้ผีน่ากลัว แต่นั่นไม่ใช่เพียงอย่างเดียว เพราะองค์ประกอบสำคัญอีกอย่างที่ทำให้ผีน่ากลัวยิ่งกว่า นั่นคือ ‘แสง’
เคยสังเกตไหมว่า ‘ผี’ (ทั้งที่ปรากฏในสื่อและที่เคยเห็นเองกับตา!) ส่วนใหญ่มักปรากฏในรูปแบบแสงที่ไม่ปกติ– ผีในทีวีมาพร้อมแสงสีเขียวสาดจากด้านล่าง บ้างก็มาในรูปแบบของแสงเรื่อๆ ใสทะลุเห็นด้านหลัง บางทีก็มาในรูปแบบของเงาดำ หรือกับผีบางชนิดก็ปรากฏในรูปแบบของแสงไฟลอยไปลอยมา ‘แสง’ ช่วยสร้างอารมณ์ให้การปรากฏตัวของผี ถ้าให้เห็นภาพมากขึ้น ลองนึกถึงโฆษณาชิ้นหนึ่งที่มีฉากผีไทยมายืนกลางแดดเปรี้ยง คุยกับคนหน้าตาเฉยราวกับเป็นเพื่อนบ้าน ไม่หลงเหลือความสยองเหมือนตอนกลางคืนแม้แต่น้อย
โฆษณาหลอดไฟซิลวาเนีย
https://www.youtube.com/watch?v=FiifBYUI0I4
และงานชิ้นที่สามของรายการออนไลน์ว่าด้วยอินเตอร์แอคทีฟอาร์ตกลิ่นไสยศาสตร์ชื่อ ‘เปิดผัสสะ โลกพิศวง’ ที่เราจะเล่าให้ฟังกันในวันนี้ ก็เกิดจากไอเดียของ ‘ผี’ และ ‘แสง’ นี้เอง
สมการที่ 1
กระสือ + โดรน
‘ผีกระสือ’ เป็นหนึ่งในผีที่เรียกได้ว่า ‘ฮิต’ ที่สุดในหมู่ผีไทยด้วยกัน แทบไม่มีใครไม่รู้จักผีสาวผู้ถอดร่างกายไว้ที่บ้าน เหลือเพียงหัวกับผมยาวสลวยพร้อมตับไตไส้พุง ลอยออกไปสวาปามของโสโครกยามค่ำคืน จนชาวบ้านพบเห็นเป็นดวงไฟสีแดงวูบวาบจากระยะไกล
หากมองในกรอบของงานออกแบบ กระสือเป็นผีที่โดดเด่นในด้าน Lighting Design หรือการออกแบบแสงมากที่สุดตัวหนึ่ง แสงวูบวาบบริเวณไส้อันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นนี้เองทำให้กระสือน่ากลัว หลายคนเพียงแค่เห็นแสงวูบวาบก็ทึกทักว่าเป็นกระสือ หวาดกลัวขนหัวลุก ไข้ขึ้นไปตามกัน จะเห็นได้ว่า ‘แสง’ สร้างปฏิสัมพันธ์และสร้างอารมณ์ให้กับผู้คนได้จริงๆ
‘Lighting Design บินได้’
จะว่าไปคอนเซ็ปต์ของผีแบบไทยๆ ตัวนี้ หากประยุกต์กลายเป็นงานอินเตอร์แอคทีฟอาร์ตก็ฟังดูน่าสนุกไม่น้อย
เอาล่ะ ต่อไปเราจะตั้งต้นการออกแบบด้วยโจทย์ที่ว่านี้
หากคิดถึงเทคโนโลยีที่สามารถบินไปมาในอากาศได้ใกล้เคียงกับ ‘ผีกระสือ’ มากที่สุด คงหนีไม่พ้น ‘โดรน’
โดรนหรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘อากาศยานไร้คนขับ’ คงเป็นที่รู้จักมากที่สุดในบทบาทของเครื่องมือผลิตภาพยนตร์ โดรนติดกล้องช่วยในการถ่ายภาพมุมสูง สามารถควบคุมทิศทางและมุมกล้องได้จากระยะไกล ที่สำคัญคือประหยัดงบประมาณจากเดิมที่ต้องแบกกล้องขึ้นเฮลิคอปเตอร์มาก โดรนจึงเป็นที่นิยมในวงการภาพยนตร์ทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น
แต่น้อยคนจะทราบว่า เจ้าโดรนนี้ถูกพัฒนามาตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 นู่น ด้วยบทบาทของอาวุธสงคราม ติดปืนหรือหิ้วระเบิดไปถล่มฝ่ายตรงข้ามได้โดยไม่ต้องเสียกำลังพล เพราะกองทัพสามารถควบคุมได้จากระยะไกล
หลังจากนั้นโดรนถูกพัฒนาให้เล็กลง และมีรูปแบบหลากหลายขึ้น ที่คุ้นตาที่สุดคงเป็นโดรนขนาดเล็กแบบ 4 ใบพัด หรือที่เรียกว่า Quadcopter โดรนเริ่มพัฒนามาใช้ในวงการข่าว สำนักข่าว The Guardian เป็นเจ้าแรกๆ ที่ใช้โดรนรายการข่าวในที่ที่ยากจะเข้าถึง อย่างพื้นที่น้ำท่วมหรือเขตสงคราม, โดรนถูกพัฒนาเป็นเครื่องมือรับส่งสินค้าในละแวกชุมชนแบบ Delivery รวมถึงในวงการกีฬาได้จัดแข่งขันบินโดรนอย่างจริงจัง
แม้กระทั่งกับวงการศิลปะ ก็เริ่มประยุกต์ใช้โดรนเป็นส่วนหนึ่งในการแสดง Performing Art มาแล้ว เช่นในการแสดง “24 drones” โดยกลุ่มนักเต้น ELEVENPLAY ร่วมมือกับ Rhizomatiks Research บริษัทพัฒนาเทคโนโลยีการออกแบบและมีเดียอาร์ตชื่อดังจากญี่ปุ่น
“24 drones” by ELEVENPLAY x RZM
และล่าสุดโดรนได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับการแสดงในพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว 2018 ที่ผ่านมา ณ เมืองพย็องชาง เกาหลีใต้ การแสดงช่วงไฮไลท์ได้นำโดรนกว่า 1,218 ลำ แปรอักษรและสัญลักษณ์โอลิมปิกแบบสามมิติกลางอากาศ โดยบริษัทคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่อย่าง Intel งานนี้ถือว่าเป็นการใช้โดรนร่วมกับการแสดงที่พีคเป็นอันดับต้นๆ
Olympic Winter Games PyeongChang 2018 Drone Light Show by Intel
https://www.youtube.com/watch?v=eIk6j6dprnA
คงเห็นแล้วว่า ‘โดรน’ ที่เกิดมาพร้อมจุดประสงค์ด้านการทหารได้ถูกพัฒนาจนกลายเป็นเครื่องมือสารพัดประโยชน์ในปัจจุบัน และสำหรับงานนี้ เราจึงหยิบเจ้าโดรนมาแปลงร่างเป็น ‘Lighting Design บินได้’ ไปสร้างประสบการณ์น่าขนลุกขนชันให้กับผู้คนในละแวกสตูดิโอของเรากัน
สมการที่ 2
ท่อน้ำทิ้ง + แอพลิเคชั่นควบคุมแสงไฟ LED ด้วย Bluetooth
เมื่อกระสือบินได้ด้วยโดรน อีกส่วนที่สำคัญคือแสงและดีไซน์ของเจ้ากระสือตัวนี้
ดีไซน์ของกระสือปี 2018 เราออกแบบด้วยการลดทอนเหลือเพียงองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด นั่นคือส่วน ‘ตับไต้ไส้พุงเรืองแสง’ ซึ่งเป็นจุดเด่นจุดจำของผีกระสือ โดยใช้วัสดุที่บิดงอได้มาขึ้นรูปทรงด้วยการขดขึ้นจนเป็นฟอร์ม
เราออกปฏิบัติการตามหาวัสดุมาใช้ขึ้นรูปทรงตับไตไส้พุง ทิศทางของวัสดุที่ใช้ยังคงเหมือนกันกับงานทุกชิ้นในโปรเจ็กต์ นั่นคือวัสดุที่หาได้ง่ายในชีวิตประจำวัน เราลองลิสต์กันขึ้นมาว่าอะไรที่ดูเหมือนกับ ‘ไส้’ บ้าง มีตั้งแต่สายยาง, สายไฟ, ไส้กรอกอีสาน หรือแม้กระทั่งเคยคิดว่าจะเอาไส้หมูจริงๆ มาลอง
จนกระทั่งเรามาเจอวัสดุที่ลงตัวที่สุดจากห้องสมุดวัสดุชั้นดีอย่างร้านวัสดุก่อสร้าง นั่นคือ ‘ท่อน้ำทิ้ง’ ท่อน้ำพลาสติกที่สามารถบิดงอและคงตัวเป็นรูปทรงได้ตามต้องการ วัสดุเป็นพลาสติกขุ่นที่เราสามารถซ่อนแหล่งแสงแต่แสงสามารถเรืองออกมาจากด้านในได้ อีกทั้งความหมายของ ‘ท่อน้ำทิ้ง’ ยังพ้องกับความเป็นไส้ของกระสือที่ชอบกินของเน่าอีกด้วย
ส่วนต่อไปคือแสงไฟที่จะสื่อถึงแสงวูบวามของกระสือ ลำพังแค่เลือกชนิดของแสงให้เหมือนไม่ใช่โจทย์ที่ยาก แต่สำหรับงานนี้เราต้องการแหล่งแสงที่มีน้ำหนักเบา เพราะต้องถูกยกลอยขึ้นด้วยโดรน และความที่เป็นกระสือปี 2018 เราอยากให้มันใช้เทคโนโลยีควบคุมสีและรูปแบบการเคลื่อนไหวของแสงได้ด้วย
เราเลือกใช้แสงไฟจาก LED STRIP จุดเด่นของ LED คือมีขนาดเล็ก ไม่ร้อนเหมือนไฟหลอด ส่วน LED STRIP คือไฟ LED ในรูปแบบเส้นที่สามารถดัดให้คดงอไปตามรูปทรงของไส้ที่ทำจากท่อน้ำทิ้ง
วิธีการสร้างแสงของกระสือ หลังจากต่อพ่วงแบตเตอรี่เพื่อเป็นแหล่งพลังงานของแสงไฟ เราทำการเขียนแอพลิเคชั่นบนโทรศัพท์สมาร์ทโฟนด้วยโปรแกรมง่ายๆ อย่าง Appinventor โดยติดแผงวงจรที่สามารถปล่อยสัญญาณ Bluetooth ไว้ที่ตัวกระสือเพื่อให้โทรศัพท์มือถือสามารถควบคุมตัวกระสือได้ผ่านเจ้า Bluetooth นี้ หลังจากนั้นก็เป็นการออกแบบสีและรูปแบบของแสงว่าจะให้กระพริบหรือวูบวาบแบบไหนบ้าง
ขั้นตอนสุดท้ายคือการออกแบบ Interface หรือหน้าตาของแอพลิเคชั่นซึ่งเราก็ออกแบบให้ไสยศาสตร์ – ลี้ลับตามคอนเซ็ปต์ของรายการ แถมด้วยการตั้งชื่อแพทเทิร์นแสงให้ได้อารมณ์ไทยๆ อย่างเขียวไส้เน่า, ขาวขนลุก, รุ้งหลอนจิต, แดงกระสือมาตรฐาน ฯลฯ
ทุกอย่างเรียบร้อย ถึงเวลาปล่อยให้กระสือออกตระเวนปลุกขนหัวทั่วบริเวณสตูดิโอของเราอย่างที่ได้ดูกัน เมื่อโดรนลอยขึ้นไป จังหวะที่แสงวูบวาบช้าๆ ยอมรับว่าขนาดเป็นคนทำเองยังรู้สึกกลัว
กระสือ 4.0
จนหลังถ่ายทำกันเสร็จจึงพบว่าพวกเราไม่ได้ขวัญอ่อนกันไปเอง กระสือของเรานั้น ‘เฮี้ยน’ จริงๆ พิสูจน์ได้จากเช้าวันรุ่งขึ้น ป้าๆ น้าๆ เพื่อนบ้านของทยอยกันเลียบเคียงมากระซิบถามด้วยสีหน้าหวั่นๆ ทีละคนสองคน
‘เมื่อคืนน้องเห็นอะไรบ้างรึเปล่า หลานป้าเค้าบอกว่าเห็นเหมือนกระสือหน้าบ้านน้องเลย ตรงนี้เลยเนี่ย’
ป้าชี้มือไปทางระเบียงหน้าสตูดิโอของเรา
ผมเลยตอบกลับไปด้วยเสียงเรียบเย็น
‘ไม่ใช่กระสือธรรมดานะครับ ที่เห็นน่ะ กระสือ 4.0’