โควิดในอาเซียน: ความล้มเหลวในเชิงสถาบัน

ในวันที่เขียนบทความนี้ (24 กรกฎาคม 2021) ทั่วภูมิภาคอาเซียนมีคนติดเชื้อโควิดมากกว่า 6.5 ล้านคนและ 126,787 คนเสียชีวิตไปแล้ว[1] โดยอินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดกลายเป็นศูนย์กลางของการระบาดของภูมิภาค มีคนติดเชื้อมากที่สุดและเสียชีวิตมากที่สุด รองลงมาเป็นฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และไทย แนวโน้มของสถานการณ์ดูเหมือนว่าจะยังไม่ถึงจุดที่เลวร้ายที่สุด อัตราการติดเชื้อและเสียชีวิตยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งที่สูง

โลกนี้มีภูมิรู้ในการคิดค้นมาตรการเพื่อรับมือกับปัญหานี้อยู่ไม่กี่อย่าง เริ่มต้นจากการเว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ กักกันโรค ปิดชุมชน ทำงานจากที่บ้าน และฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน มนุษยชาติสามารถคิดค้นวัคซีนได้ไม่กี่แบบ ไม่ว่าจะด้วยเทคโนโลยีที่เก่าหรือใหม่ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ทุกวันว่า มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะสู้กับไวรัสมรณะที่กลายพันธุ์พัฒนาตัวเองตลอดเวลาได้แค่ไหน

ทุกประเทศในอาเซียนออกมาตรการทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้นเหมือนๆ กัน และใช้วัคซีนไม่กี่ยี่ห้อ เช่น ไฟเซอร์ โมเดิร์นนา จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน แอสตราเซเนกา สปุตนิกวี ซิโนแวค และซิโนฟาร์ม ปัจจัยที่วัดความสำเร็จหรือล้มเหลวของทุกรัฐบาลในภูมิภาคนี้ก็อยู่ที่ว่า เลือกที่จะออกมาตรการต่างๆ ให้ทันต่อสถานการณ์และเลือกยุทธศาสตร์ในการบริหารวัคซีนอย่างไร

สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่มีประสบการณ์กับภัยพิบัติขนาดใหญ่มาไม่น้อย ตั้งแต่โรคซาร์สในปี 2003 สึนามิในปี 2004 ไม่นับแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด พายุใหญ่ อุทกภัย ในประเทศสมาชิกที่เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละปี จะเห็นว่าอาเซียนในฐานะองค์กรมีบทบาทไม่น้อยในการเข้าไปช่วยจัดการกับภัยพิบัติเหล่านั้น ผิดกับการระบาดใหญ่ครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์โลกคราวนี้ที่กลุ่มอาเซียนมีบทบาทน้อย จนกระทั่งคนในภูมิภาคนี้ลืมไปว่ากลุ่มอาเซียนมีข้อตกลงและกลไกหลายอย่างในการรับมือกับภัยคุกคามต่อมนุษยชาติ หรือหลายคนอาจจะลืมไปแล้วว่ามีกลุ่มอาเซียนอยู่ หรือกำลังเกิดคำถามว่าประเทศในภูมิภาคนี้จะรวมตัวกันทำไมในเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้แล้วไม่สามารถใช้ประโยชน์จากการรวมกลุ่มเช่นว่านั้นเลย

บทความนี้ทำการสำรวจว่าอาเซียนในฐานะองค์กรระหว่างประเทศซึ่งทุกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นสมาชิกอยู่มีความตกลง กลไกการบริหารสถานการณ์วิกฤต และตอบสนองต่อภัยพิบัติจากโควิดนี้อย่างไร โดยต้องการโต้แย้งว่าสิ่งที่อาเซียนมีอยู่และทำมานั้นน้อยไปและช้าไป สมควรที่จะมองหาแนวคิดและยุทธศาสตร์ใหม่ๆ ในการรับมือกับวิกฤตขนาดใหญ่ระดับโลกที่กระทบกระเทือนถึงทุกชีวิตในภูมิภาคนี้

แถลงการณ์ที่ฉับไว

ถ้าจะว่าไปแล้ว กลุ่มอาเซียนซึ่งตอนนั้นเวียดนามเป็นประธานตื่นตัวค่อนข้างเร็วต่อการระบาดของโควิด-19 เพราะองค์การอนามัยโลกประกาศยืนยันพบผู้ติดเชื้อนอกประเทศจีนเป็นรายแรกเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2020 ในประเทศไทย[2] ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มอาเซียนและรายแรกที่เป็นการระบาดในท้องถิ่นของไทยเองก็ได้รับการยืนยันในเวลาอีกไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้นคือวันที่ 31 มกราคม 2020 ซึ่งก็เป็นเวลาเพียง 1 วันหลังจากที่องค์การอนามัยโลกประกาศภาวะฉุกเฉินทางด้านสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่ทางด้านสาธารณสุขจากประเทศอาเซียนกับผู้เชี่ยวชาญเริ่มหารือกันว่าจะทำความร่วมมือกันเพื่อรับสถานการณ์นี้อย่างไร

สมาชิกอาเซียนเริ่มตอบสนองต่อสถานการณ์โดยการแสวงหาความร่วมมือผ่านกลไกทั้งที่มีอยู่แล้วของกลุ่ม เช่นเครือข่ายศูนย์ปฏิบัติการในสถานการณ์ฉุกเฉินของอาเซียน (ASEAN Emergency Operations Center Network) ประสานความร่วมกับจีนผ่านกลไกของอาเซียนบวกสาม (คือความร่วมมืออาเซียน จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) เพื่อให้มีการอัพเดตสถานการณ์การระบาดเป็นรายวัน 

สองสัปดาห์หลังจากนั้นมีแถลงการณ์ของประธานอาเซียนออกมาเพื่อตอกย้ำพันธะของอาเซียนว่าจะร่วมแรงร่วมใจกันในการต่อสู้กับโรคร้ายคราวนี้ จะกระชับความร่วมมือและการประสานงาน จะเพิ่มทวีการแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูล ประสบการณ์และแนวปฏิบัติระหว่างสมาชิกทั้ง 10 ประเทศ กับจีนและกับองค์การอนามัยโลก จะสนับสนุนให้มีการใช้กลไกความร่วมมือในระดับภูมิภาคเพื่อรับมือกับปัญหา จะมอบหมายให้หน่วยงานทางด้านสาธารณสุขของประเทศสมาชิกจัดตั้งเครือข่ายร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ทางด้านการคมนาคมขนส่งและตรวจคนเข้าเมืองเพื่อให้รับมือกับปัญหาทั้งหมดได้อย่างครอบคลุมเป็นระบบ (holistic)[3]

ระหว่างนั้นมีการประชุมรัฐมนตรีของอาเซียนหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีกลาโหม (19 กุมภาพันธ์ 2020) รัฐมนตรีเศรษฐกิจ (10 มีนาคม) และรัฐมนตรีเกษตร (15 เมษายน) ต่างก็พูดถึงความร่วมมือในการเผชิญหน้าและรับมือกับไวรัสมรณะโควิด-19 ด้วยกันทั้งนั้น แต่ที่ถือว่าเป็นสาระสำคัญที่สุดคือการประชุมผู้นำอาเซียนสมัยพิเศษเพื่อหารือและออกมาตรการในการรับมือโควิด-19 เป็นการเฉพาะเจาะจงในวันที่ 14 เมษายน 2020 ซึ่งเรียกร้องให้สมาชิกเพิ่มทวีความร่วมมือระหว่างกัน แลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลและแนวปฏิบัติระหว่างสมาชิกด้วยกันและกับองค์การระหว่างประเทศและประชาคมโลก ให้ใช้กลไกความร่วมมือทั้งหมดที่มีอยู่ของกลุ่มอาเซียนในการรับมือกับปัญหา 

ประการสำคัญที่สุดคือส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกองทุนอาเซียนเพื่อรับมือกับโควิด-19 (COVID-19 ASEAN Response Fund)[4] ซึ่งกองทุนดังกล่าวได้รับการประกาศจัดตั้งอย่างเป็นทางการในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 36 ในวันที่ 26 มิถุนายน 2020 และเวียดนามในฐานะประธานกลุ่มอาเซียนได้ประกาศในระหว่างการประชุมสุดยอดครั้งต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2020 ว่าจะใส่เงิน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐลงไปในกองทุนดังกล่าว[5] ทำให้ตอนนั้นมีเงินประเดิมอยู่ในกองทุนรวม 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากทั้งสมาชิกและประเทศคู่เจรจาของอาเซียนช่วยกันลงขันซึ่งรวมทั้ง 100,000 ดอลลาร์สหรัฐจากประเทศไทย[6] 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากญี่ปุ่น[7]และ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากอินเดีย[8]

นอกจากนี้อาเซียนยังประกาศจัดตั้งคลังสำรองอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินทางด้านสาธารณสุข (ASEAN Regional Reserve of Medical Supplies-RRMS) ให้การรับรองกรอบยุทธศาสตร์สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินทางด้านสาธารณสุข (ASEAN Strategic Framework for Public Health Emergencies) ซึ่งจะใช้เป็นแนวทางสำหรับประเทศสมาชิกในการปฏิบัติการในสถานการณ์ฉุกเฉินทางด้านสาธารณสุข และพร้อมกันนั้นที่ประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 37 ยังอนุมัติแผนปฏิบัติการเพื่อการฟื้นตัวจากโควิดเอาไว้เป็นแนวทางในการดำเนินการ หลังจากที่สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ผ่านพ้นไปแล้ว ซึ่งในแผนปฏิบัติการดังกล่าวนั้นจะรวมถึงการเสริมสร้างระบบสาธารณสุข เสริมสร้างความมั่นคงของมนุษย์ การใช้ศักยภาพของตลาดภายในกลุ่มอาเซียนให้เต็มที่ และเร่งขยายการบูรณาการทางเศรษฐกิจของกลุ่มอาเซียน การเร่งขยายระบบดิจิทัลในกลุ่มอาเซียนเป็นต้น[9]

กลไกความร่วมมือที่หลากหลาย

กลุ่มอาเซียนรู้จักและมีประสบการณ์เกี่ยวกับการระบาดของเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจแล้วตั้งแต่การอุบัติขึ้นของโรคซาร์ส (Sever Acute Respiratory Syndrome – SARS) จากจีนในปี 2003 และเมอร์ส (Middle East Respiratory Syndrome—MERS) จากซาอุดิอาระเบียในปี 2012 เพียงแต่อาจจะไม่คาดคิดว่าจะมีการระบาดของเชื้อโรคแบบนี้ในระดับทั่วโลกอย่างโควิด-19 ได้รวดเร็วขนาดนี้ แต่ไม่ใช่ว่าไม่เคยตระหนักว่าภัยพิบัติขนาดใหญ่จะคุกคามภูมิภาคนี้ แผ่นดินไหวในอินโดนีเซียที่ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิในเดือนธันวาคม 2004 ที่เป็นเหตุให้คนกว่า 200,000 คนใน 14 ประเทศรวมทั้งสมาชิกอาเซียนอย่างอินโดนีเซีย ไทย และพม่าต้องเสียชีวิตไปนั้น เป็นสิ่งที่คาดหมายว่าอาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และประเทศต่างๆ จะไม่สามารถเผชิญหน้าหรือรับมือกับภัยพิบัติได้โดยลำพัง แต่จะต้องอาศัยความร่วมมือและความช่วยเหลือจากประเทศอื่น และกลุ่มอาเซียนเองก็อยู่ในฐานะที่จะต้องประสานความร่วมมือและความช่วยเหลือเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นหลังเหตุการณ์โศกนาฏกรรมในครั้งนั้น กลุ่มอาเซียนก็บรรลุความตกลงว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติและการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน (ASEAN Agreement on Disaster Management and Emergency Response ซึ่งลงนามกันเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2005 ที่นครหลวงเวียงจันทน์ และถือว่านี่เป็นเอกสารหลักที่ใช้ในการจัดการภัยพิบัติและสถานการณ์ฉุกเฉิน

คำว่าภัยพิบัติในมาตรา 1(3) ของความตกลงดังกล่าวหมายถึง ภัยที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงโดยฉับพลันซึ่งก่อความเสียหายให้กับมนุษย์ ทรัพย์สิน เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ภัยพิบัติที่เกิดจากโรคระบาดอาจจะเข้ากับคำนิยามนี้ด้วย แต่เนื่องจากกลุ่มอาเซียนคุ้นเคยภัยธรรมชาติเช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด พายุ น้ำท่วม ฝนแล้ง ไฟป่า มากกว่าโรคระบาดเป็นวงกว้างขนาดนี้ แม้โรคทางเดินหายใจที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็เกิดเพียงระยะสั้นๆ และทำร้ายผู้คนไม่ได้มากขนาดนี้ ดังนั้นจึงสร้างกลไกการทำงานในลักษณะที่เป็นเชิงรับและเน้นไปที่การให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมกับประเทศสมาชิกที่ได้รับผลกระทบ เช่น ศูนย์ประสานงานความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมและการจัดการภัยพิบัติ (ASEAN Coordinating Center for Humanitarian Assistant and Disaster Management—AHA Center) ในปี 2011 และระบบส่งกำลังบำรุงสำหรับภัยพิบัติฉุกเฉิน (Disaster Emergency Logistics System for ASEAN ในปี 2012 ทำให้อาเซียนไม่คุ้นเคยกับการรับมือของภัยพิบัติที่เกิดจากโรคระบาด[10]

เมื่อเกิดปัญหาโควิด กลุ่มอาเซียนจึงหันไปหากลไกความร่วมมือทางด้านสาธารณสุขที่มีอยู่เดิมคือที่ประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน แต่กลไกนี้เป็นกลไกที่ใช้ทำงานประจำในสถานการณ์ปกติ และที่ประชุมของเจ้าหน้าอาวุโสด้านสาธารณสุขของอาเซียนซึ่งเป็นกลไกที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับที่ประชุมระดับรัฐมนตรีตามสไตล์กลไกราชการของกลุ่มอาเซียน โดยกลไกเหล่านี้ทำงานตามแนวทางที่ปรากฏในวาระการพัฒนาทางด้านสาธารณสุขหลังปี 2015 (ASEAN Post-2015 Health Development Agenda) และถูกนำมาใช้เพื่อแลกเปลี่ยนทางด้านเทคนิควิชาการ ข่าวสารข้อมูลและมาตรการทางด้านนโยบายเพื่อรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 โดยพยายามพิจารณาปัญหาให้รอบด้านที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ตั้งแต่การเตรียมการ การติดตามโรค การเยียวยา และมาตรการอื่นๆ ที่อยู่ภายใต้กรอบความร่วมมือทางด้านสาธารณสุขทั้งหมดที่มีอยู่ 

กลไกหลักที่กลุ่มอาเซียนหยิบมาใช้เพื่อรับมือกับไวรัสโควิด-19 ประกอบไปด้วย ASEAN Emergency Operations Center Network มีมาเลเซียเป็นผู้นำ เป็นกลไกเดิมที่ตั้งขึ้นก่อนมีสถานการณ์โควิด โดยมี AHA Center ซึ่งตั้งอยู่ที่สำนักงานเลขาธิการอาเซียนในกรุงจาร์กาตาทำหน้าที่เป็นหน่วยสนับสนุนหลัก กลไกนี้ใช้สำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลและอัพเดตสถานการณ์รายวัน ผ่านเครือข่ายการสื่อสารเช่นอีเมล์และ WhatsApp ทั้งระหว่างสมาชิกอาเซียนด้วยกันเองและกับประเทศคู่เจรจาในกลุ่มอาเซียนบวกสาม (ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว) 

กลไกต่อมาคือศูนย์ข้อมูลชีวภาพเสมือน (ASEAN BioDiaspora Virtual Center) มีฟิลิปปินส์เป็นผู้ประสานงานหลักเพื่อใช้ big data ในการวิเคราะห์และจัดทำรายงานประเมินสถานการณ์การระบาดทั่วภูมิภาคอาเซียน รายงานดังกล่าวออกเป็นประจำสม่ำเสมอ ตัวอย่างรายงานสถานการณ์ล่าสุดของศูนย์นี้ออกมาเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของกลุ่มอาเซียนเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2021 เมื่อเวียดนามประกาศล็อกดาวน์ภาคใต้ทั้งภาค ลาวประกาศขยายระยะเวลาการใช้มาตรการเข้มงวดออกไปอีก 15 วัน และไทยขยายมาตรการล็อกดาวน์ออกไปอีก 14 วัน[11]

กลไกที่สามคือเครือข่ายห้องปฏิบัติการสาธารณสุขระดับภูมิภาค (Regional Public Health Laboratories Network) ตั้งขึ้นก่อนการระบาดของโควิดไม่นานคือเมื่อเดือนตุลาคม 2019 โดยการนำของไทย และการสนับสนุนจากสหรัฐฯ (USAID) เพื่อทำหน้าที่สนับสนุนอำนวยความสะดวกด้านความพร้อมของห้องปฏิบัติการ เทคนิควิชาการ วัสดุอุปกรณ์ และการเฝ้าระวังในห้องปฏิบัติการ

กลไกที่สี่คือศูนย์สื่อสารและจัดการความเสี่ยงของอาเซียน ASEAN Risk Management and Risk Communication Center นำโดยมาเลเซียอีกเช่นกัน ทำหน้าที่ในการสื่อสารมาตรการต่างๆ ที่ใช้ในการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรค

นอกจากนี้เพื่อให้การปฏิบัติการรับมือกับโควิดได้ดียิ่งขึ้น กลุ่มอาเซียนได้ตั้งคณะทำงานและกลไกพิเศษอีกหลายอย่าง เช่นคณะทำงานเฉพาะกิจรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน-จีน เพื่อทำหน้าที่ให้ข้อมูลสนับสนุนการประชุมสุดยอดสมัยพิเศษของอาเซียนและอาเซียนบวกสามซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนเมษายน 2020

อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาเรื่องกิจการอาเซียนเห็นว่า บรรดากลไกความร่วมมือของกลุ่มอาเซียนที่มีอยู่ และการตอบสนองของกลุ่มอาเซียนต่อการระบาดใหญ่อย่างโควิด-19 ก็ยังถือว่าน้อยไปและช้าไป ไม่เพียงพอต่อสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ศูนย์ศึกษาความมั่นคงนอกแบบ (Non-traditional Security Study) ของมหาวิทยาลัยนานยางสิงคโปร์ ชี้ให้เห็นว่า โครงสร้างการทำงานที่แยกส่วนของกลไกต่างๆ ของอาเซียนนั่นเองที่กลายเป็นจุดอ่อนของกลุ่มในการรับมือกับภัยพิบัติ “ในขณะที่กลุ่มอาเซียนมีกลไกความร่วมมือทางด้านสาธารณสุขระดับภูมิภาคอยู่ เช่น ฝ่ายสาธารณสุขของสำนักเลขาธิการอาเซียน (ที่กรุงจาร์กาตา) ได้ส่งคำเตือนล่วงหน้าไปยังที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสาธารณสุขอาเซียนเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสมรณะและได้มีการเปิดใช้งาน (reactivate) กลไกต่างๆ ที่มีอยู่ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม (2020) และมีการประชุมกันในเดือนกุมภาพันธ์ แต่ก็ยังไม่มีการปฏิบัติใดๆ เกิดขึ้นจนกระทั่งในเดือนมีนาคม”[12]

นอกจากนี้กลุ่มอาเซียนปล่อยให้ความช่วยเหลือจากภายนอกกลุ่มไปยังประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรงมากกว่าจะผ่านการประสานงานและการประเมินความต้องการของกลุ่มอาเซียน ซึ่งนั่นทำให้เกิดคำถามเรื่องขีดความสามารถของกลุ่มในการประสานงานและจัดการเรื่องการให้ความช่วยเหลือ ในสถานการณ์ที่วัคซีนขาดแคลนและการระบาดรอบใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ทั่วภูมิภาคอาเซียนยิ่งสะท้อนว่า กลไกการทำงานต่างๆ ของอาเซียนอาจจะไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ 

ในขณะที่ประเทศสมาชิกมียุทธศาสตร์เรื่องวัคซีนแตกต่างกัน กลุ่มอาเซียนซึ่งขณะนี้บรูไนเป็นประธานยังไม่มีความริเริ่มใดๆเกี่ยวกับการจัดสรรวัคซีน หลายประเทศที่มีขีดความสามารถในการจัดหาวัคซีนได้น้อยกำลังเรียกร้องให้กลุ่มอาเซียนใช้เงินกองทุน 10.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการจัดหาวัคซีนจากแหล่งผลิตต่างๆ ของโลกมาใช้ให้เพียงพอ[13] แน่นอนทีเดียวแม้ว่าประเทศสมาชิกอาเซียนจำนวนมากยกเว้นไทย จะเข้าร่วมโครงการ Covax และได้รับความช่วยเหลือโดยตรงจากสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น และอื่นๆ แต่นั่นก็เป็นไปโดยศักยภาพของรัฐบาลประเทศนั้นๆ และความสัมพันธ์แบบทวิภาคี โดยที่กลุ่มอาเซียนในฐานะองค์กรที่มีเครือข่ายกลไกไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเลย 

ประการต่อมา ความสมานฉันท์ของอาเซียนอาจจะไม่ใช่เรื่องที่มีอยู่จริงในสถานการณ์ที่ทุกประเทศเกิดวิกฤตเหมือนกัน รัฐบาลของสมาชิกอาเซียนย่อมจะมองผลประโยชน์ของตนเองมากกว่ากลุ่ม ยกตัวอย่างประเทศไทยซึ่งเป็นฐานการผลิตวัคซีนแอสตราเซเนกา อาจจะจำเป็นต้องบังคับห้ามการส่งออกวัคซีนชนิดนี้[14]ไปยังประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนเพราะรัฐบาลไทยกำลังโดนมรสุมการเมืองภายในประเทศอันเนื่องมาจากยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาด ทำให้ไม่สามารถจัดหาวัคซีนได้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน

สรุป

ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เผชิญกับภัยพิบัติอยู่เป็นประจำ โดยที่ภัยนั้นมีมาในรูปแบบต่างๆ หลากหลายชนิด แม้ว่ากลุ่มอาเซียนจะคุ้นเคยกับภัยธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ที่เกิดขึ้นประจำในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ พายุ น้ำท่วม ความแห้งแล้ง ซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำในแผ่นดินใหญ่ แต่โรคระบาดอย่างโควิด-19 ก็ไม่ใช่สิ่งที่เกินความคาดหมาย และอาเซียนก็พิสูจน์ให้เห็นว่าได้เรียนรู้ เตรียมการ สร้างกลไกความร่วมด้านสาธารณสุขเอาไว้รับมือแล้ว แต่ปัญหาที่จะต้องพิจารณาคือ ขีดความสามารถในการบริหารจัดการอย่างเป็นองค์รวมและความสมานฉันท์ภายในกลุ่มอาเซียนเอง อาจจะกลายเป็นปัญหาและอุปสรรคสำคัญที่ทำให้กลุ่มอาเซียนไม่สามารถรับมือกับภัยคุกคามชนิดนี้ได้ดีพอ

การบริหารงานในกลุ่มอาเซียนในระยะหลังโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่อาเซียนมีกฎบัตรเมื่อกว่าทศวรรษที่ผ่านมาจะพึ่งพิงความสามารถและความกระตือรือร้นของประเทศที่เป็นประธานและตัวเลขาธิการเป็นสำคัญ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว อาเซียนภายใต้การนำของเวียดนามในปี 2020 เมื่อโควิดเริ่มระบาดนั้นตอบสนองต่อสถานการณ์ของโควิดได้ค่อนข้างรวดเร็ว แม้ว่าการปฏิบัติอาจจะล่าช้าติดขัดที่ระบบการบริหารและกลไกภายในอยู่มากก็ตาม แต่อาเซียนภายใต้การเป็นประธานของบรูไนในปีนี้ ซึ่งมีสถานการณ์การระบาดระลอกใหม่ที่รุนแรง รวดเร็ว กลับไม่มีความเคลื่อนไหวหรือความริเริ่มอะไรที่ทันท่วงทีออกมาเลย 

กลไกและความร่วมมือทางด้านสาธารณสุขของอาเซียน 2003-ปัจจุบัน

ช่วงเวลา (การอุบัติของโรค)กลไกความร่วมมืออาเซียน
2003-2009 (SARS, H1N1)– ASEAN plus 3 Emerging Inflection 
– ASEAN Highly Pathogenic Avian Influenza Task Force 
– ASEAN-Japan Project for Stockpile of Antivirals and PPE against Potential Pandemic Influenza
– ASEAN plus 3 Partnership Laboratories
– MOU between ASEAN Secretariat and WHO
(MERS, pre-Covid-19)– One ASEAN One Response Framework in ASEAN Agreement on Disaster Management and Emergency Response (AADMER)
– Disaster Safety of Health Facilities in the AADMER Work Programme
– ASEAN +3 Field Epidemiology Training Network (FETN)
– ASEAN Risk Communication Resource Centre
– ASEAN Emergency Operations Centre (EOC) Network for public health emergencies
– ASEAN Coordinating Council Working Group (ACCWG) on Public Health Emergencies 
– ASEAN Plus Three Field Epidemiology Training Network (ASEAN+3 FETN)
– ASEAN Risk Assessment and Risk Communication Centre (ARARC)
Regional Public Health Laboratories Network (RPHL)
2020-ปัจจุบัน (COVID-19)– ASEAN Plus Three Senior Officials Meeting for Health Development (APT SOMHD) Mechanism Responding to COVID-19
– ASEAN Health Ministers and ASEAN Plus Three Health Ministers in Enhancing Cooperation on COVID-19
– ASEAN BioDiaspora Virtual Centre (ABVC) for Big Data Analytics and Visualization 
ที่มา: รวบรวมจาก ASEAN website 


[1] ข้อมูลจาก Center for Strategic and International Studies วอชิงตัน  (https://www.csis.org/programs/southeast-asia-program/projects/southeast-asia-covid-19-tracker)

[2] World Health Organization.WHO statement on novel coronavirus in Thailand. 13 January 2020 (https://www.who.int/news/item/13-01-2020-who-statement-on-novel-coronavirus-in-thailand)

[3] Chairman’s statement on ASEAN collective response to the outbreak of coronavirus disease 2019. 15 February 2020 (https://asean.org/storage/2020/02/ASEAN-Chairmans-Statement-on-COVID-19-FINAL.pdf)

[4] Declaration of the Special ASEAN Summit on Coronavirus Disease 2019. 14 April 2020 (https://asean.org/storage/2020/04/FINAL-Declaration-of-the-Special-ASEAN-Summit-on-COVID-19.pdf)

[5] Viet Anh “Vietnam commits $5million to ASEAN Covid-19 response fund” VNExpress 12 November 2020 (https://e.vnexpress.net/news/news/vietnam-commits-5-million-to-asean-covid-19-response-fund-4190837.html)

[6] “PM urges Asean travel relaunch” Bangkok Post 27 June 2020 (https://www.bangkokpost.com/thailand/general/1941628/pm-urges-asean-travel-relaunch)

[7] “Japan pledges $1mil.in fund to assist ASEAN’s Covid-19 response” Kyodo News 9 September 2020 (https://english.kyodonews.net/news/2020/09/46d85657a4e7-japan-pledges-1-mil-in-fund-to-assist-aseans-covid-19-response.html)

[8] Dipanjan Roy Chaudhury “India announces $1million aid to ASEAN Covid-19 Respond Fund” The Economic Times 13 November 2020 (https://economictimes.indiatimes.com/news/politics-and-nation/india-announces-1-million-aid-to-asean-covid-19-response-fund/articleshow/79207359.cms)

[9] Chairman statement of the 37th ASEAN summit Hanoi 12 November: Cohesive and Responsive. 12 November 2020 p.3 (https://asean.org/storage/43-Chairmans-Statement-of-37th-ASEAN-Summit-FINAL.pdf)

[10] Lina Gong and S. Nanthini. The Covid-19 Catalyst: Implication for Disaster Management in ASEAN. NTS Insight. No.IN20-09 (Singapore:RSIS Center for Non-Traditional Security Studies), Nanyang Technology University, Singapore, 2020 p.4

[11] ASEAN BioDiaspora Virtual Center. Covid situation report in ASEAN region เข้าถึงได้ที่ https://asean.org/storage/COVID-19_Situational-Report_ASEAN-BioDiaspora-Regional-Virtual-Center_19July2021.pdf

[12] Ibid. p.7

[13] Huyen Le “ASEAN urged to spend $10.5 to purchase Covid vaccines” VNExpress 18 June 2021 (https://e.vnexpress.net/news/news/asean-urged-to-spend-10-5-mln-to-purchase-covid-vaccines-4296117.html)

[14] Panarat Thepgumpanat and Panu Wongcha-um “Thailand considering limits on AstraZeneca vaccine export” Reuters.14 July 2021 (https://www.reuters.com/world/asia-pacific/thailand-considering-regulating-volume-astrazeneca-vaccine-exports-health-2021-07-14/)

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Thai Politics

9 Jun 2021

ชาติ ศาสน์ กษัตริย์และประชาชน: ว่าด้วยคำในป้ายหน้าค่ายทหาร

คอลัมน์ สารกันเบื่อ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง ชวนตั้งคำถามกับชุดคำ ‘เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน’ ที่สลักอยู่บนป้ายหินอ่อนที่ปรากฏอยู่ทุกหน้าค่ายทหารว่า กองทัพกำลังปกป้องอะไรอยู่กันแน่?

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

9 Jun 2021

Thai Politics

20 Jan 2023

“ฉันนี่แหละรอยัลลิสต์ตัวจริง” ความหวังดีจาก ‘ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์’ ถึงสถาบันกษัตริย์ไทย ในยุคสมัยการเมืองไร้เพดาน

101 คุยกับ ‘ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์’ ถึงภูมิทัศน์การเมืองไทย การเลือกตั้งหลังผ่านปรากฏการณ์ ‘ทะลุเพดาน’ และอนาคตของสถาบันกษัตริย์ไทยในสายตา ‘รอยัลลิสต์ตัวจริง’

ภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์

20 Jan 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save