ช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี 1945 มีผู้อพยพจากสงครามจำนวนกว่า 15,500 คน อพยพเข้าสู่มัลเม่อ (Malmö) เมืองใหญ่ทางใต้สุดของสวีเดน ช่วงนี้พิพิธภัณฑ์ของเมืองมีการจัดนิทรรศการเรื่องราวเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในช่วงขวบปีนั้น ที่น่าจะนำมาเล่าสู่กันฟังแก่ท่านผู้อ่าน
ในปี 1945 มีปฏิบัติการกู้ภัยทางมนุษยธรรมโดยสภากาชาดของสวีเดนและรัฐบาลเดนมาร์ก โดยใช้รถเมล์ทหารทาสีขาวและมีเครื่องหมายกาชาดชัดเจน (De vita bussarna) จำนวน 36 คันขับลงไปในยุโรปภาคพื้นทวีปเพื่อรับนักโทษที่ได้รับการเจรจาให้ปล่อยตัวจากค่ายกักกันของระบอบนาซีเยอรมนี การทาสีขาวและมีเครื่องหมายเช่นนี้ก็เพื่อจะแสดงออกให้ชัดเจนว่าไม่ใช่พาหนะสำหรับการรบ แต่เป็นการกู้ภัย
อนึ่ง ปฏิบัติการนี้ไม่ได้ประกอบด้วยรถเมล์พยาบาลเท่านั้น แต่ยังมีรถบรรทุก รถขนาดเล็ก รถลาก รถครัวเคลื่อนที่ รวมทั้งมอเตอร์ไซค์ด้วย
ปฏิบัติการนี้เริ่มต้นที่นักการทูตชาวนอร์เวย์ นีลส์ คริสเตียน ดีทเลฟฟ์ (Niels Christian Ditleff) มุ่งหมายจะกู้ชีวิตนักโทษสงครามชาวสแกนดิเนเวียในช่วงเดือนท้ายของสงครามโลกครั้งที่สอง ปฏิบัติการนี้ได้รับการเสนอให้ โฟลเก แบร์นาดอตต์ (Folke Bernadotte) ขุนนางและนักการทูตชาวสวีเดน ผู้เป็นรองประธานสภากาชาด ให้เป็นตัวกลางในการเจรจากับรัฐบาลพรรคนาซี
แรกสุดนั้นปฏิบัติการนี้ต้องการจะช่วยเหลือเฉพาะชาวสแกนดิเนเวียเท่านั้น ทูตแบร์นาดอตต์ได้รับมอบหมายเริ่มแรกให้เจรจาปล่อยตัวนักโทษสงครามชาวนอร์เวย์และเดนมาร์กที่ถูกคุมขังอยู่ในเยอรมนี แต่ในที่สุดก็ขยายเพื่อรับเอาคนสัญชาติอื่นๆ มาด้วย
เขาให้สัมภาษณ์เมื่อกลับถึงสวีเดนกับหนังสือพิมพ์ว่า ปฏิบัติการใช้เวลาทั้งหมดประมาณสองเดือนในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี 1945 และสามารถกู้ภัยคนจากค่ายกักกันในเยอรมนีได้จำนวน 15,000 คน ประกอบไปด้วยคนเดนมาร์กและนอร์เวย์จำนวน 8,000 คน นอกจากนี้ยังกู้ภัยผู้หญิงหลายสัญชาติไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส โปแลนด์ เช็ก อังกฤษ อเมริกา อาร์เจนตินา จีน ฯลฯ จำนวนกว่า 7,000 คน
ผู้ปฏิบัติการรถเมล์สีขาวเองต้องอยู่ในสถานการณ์อันเสี่ยงอันตราย พวกเขาและเธอประกอบไปด้วยคน 308 คน มีแพทย์ 20 คน ที่เหลือเป็นทหารอาสาสมัคร
หลังจากที่กู้ภัยผู้ที่อยู่ในค่ายกักกันรอบแรก ปฏิบัติการนี้ก็ยังดำเนินต่อไปในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนของปีนั้น และยังสามารถช่วยชีวิตผู้ที่ได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 10,000 คน
ฝั่งประเทศผู้รับ
การเดินทางโดยรถทำให้การกู้ภัยของปฏิบัติการรถเมล์สีขาวนั้นเดินทางกลับสู่สวีเดนผ่านเมืองใหญ่ทางใต้สุดของประเทศนั้นคือมัลเม่อ โดยขับรถเมล์ลงเรือ และเรือก็จะมาเทียบที่ท่าเรือของเมืองเป็นช่องทางการเข้าสู่ประเทศ
มีอาสาสมัครที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ซึ่งเสนอตัวเข้าทำงานในการรับผู้อพยพเข้ามาอยู่ในค่ายบริเวณต่างๆ ที่ตั้งขึ้นในเมือง โดยอาสาสมัครเหล่านี้ต่างทำงานหลากหลายไม่ว่าจะเป็นการตระเตรียมอาหาร การรักษาพยาบาล รวมไปถึงการร่วมกับรัฐบาลในการจัดหาที่อยู่อาศัยให้กับผู้ที่หนีสงครามมา
ชีวิตของผู้ที่มาใหม่
มีเสียงของคนหลายต่อหลายคนที่ได้เริ่มชีวิตใหม่ รวมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในปฏิบัติการทางมนุษยธรรมในช่วงนั้น ในนิทรรศการที่จัดขึ้นนี้มีการเล่าเรื่องชีวิตของพวกเขาและเธอ อันน่าจะนำมายกตัวอย่างสักเล็กน้อย
คาริน ลันเดอร์เกรน บลอมควิสต์ (Karin Landergren Blomqvist, 1912-2005) เป็นชาวสวีเดนที่ทำงานอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ของมัลเม่อในช่วงเวลาที่มีการปฏิบัติการรถเมล์สีขาว พิพิธภัณฑ์ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นที่รับผู้อพยพชั่วคราว เธอเองก็มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ครั้งนั้นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเขียนประวัติทางการรักษาของผู้ป่วยที่เป็นผู้อพยพ และช่วยจัดหาสิ่งของจำเป็นเล็กๆ น้อยให้ เช่น กระจกพกพา หรือผ้าเช็ดหน้า คารินยังเป็นผู้ที่เข้าร่วมสมาคมต่อต้านนาซีในช่วงนั้น (เพราะมีกลุ่มชาวสวีเดนที่สนับสนุนพรรคนาซีอย่างชัดเจนมาโดยตลอด) เธอเคยกล่าวถึงช่วงเวลานั้นว่าสิ่งที่เธอทำไม่ใช่การต้องเป็นหนี้บุญคุณของใคร แต่เธอถือว่าเธอทำงานใช้หนี้ที่สวีเดนควรต้องจ่ายมากกว่า
สเตฟาน จานุซ (Stefan Janusz, 1914, 1999) เป็นช่างไม้จากเมืองลวอฟ (Lwów) โปแลนด์ เขาเข้าร่วมขบวนการต่อต้านนาซีและถูกจับกุมในปี 1943 จากนั้นก็ถูกส่งตัวไปค่ายกักกันต่างๆ หลายแห่งในฐานะนักโทษการเมือง เขามาถึงสวีเดนในปี 1945 และถูกตรวจพบว่าเป็นวัณโรคและมีภาวะป่วยทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรง กระนั้นเขาก็ต่อสู้และได้งานในอีกไม่กี่ปีถัดมา ทั้งยังได้พบกับภรรยาและลูกทั้งสองคนที่อพยพตามมาอีกเกือบ 20 ปีต่อมา
นาดีน หวัง (Nadine Hwang, 1902-1972) เป็นลูกของพ่อที่เป็นทูตชาวจีนกับแม่ที่เป็นชาวเบลเยียม เธอเป็นผู้ที่มีเชื้อชาติที่ไม่เป็นยุโรปซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อย ที่ถูกส่งตัวไปค่ายกักกันในเยอรมนี นาดีนมาถึงสวีเดนและได้ฝึกงานในมัลเม่อ ก่อนที่จะเดินทางไปใช้ชีวิตที่เวเนซูเอลา ทำงานเป็นเลขานุการในธนาคารแห่งหนึ่งในเมืองการากัส และอยู่ที่นั่นตลอดชีวิต
นิทรรศการครั้งนี้ยังมีเรื่องราวของคนอีกจำนวนมากที่มีส่วนร่วมในปฏิบัติการรถเมล์สีขาวครั้งนั้น รวมทั้งยังมีการจัดแสดงบันทึกประจำวันและรูปถ่ายของพวกเขาและเธอด้วย ทำให้พวกเขาและเธอเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเมืองแห่งหนึ่ง ที่ไปเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของทวีปและของโลก
ข้อวิจารณ์
ในปี 2005 นักประวัติศาสตร์ชาวสวีเดน อิงกริด ลอมฟอช (Ingrid Lomfors) เขียนหนังสือเรื่อง Blind fläck : minne och glömska kring svenska Röda korsets hjälpinsats i Nazityskland 1945 (Blind spots: memory and forgetting around the Swedish Red Cross’ relief effort in Nazi Germany 1945) เรียกร้องให้มองภาพประวัติศาสตร์ให้กว้างขึ้น ไม่ใช่การเฉลิมฉลองความมีมนุษยธรรมของสวีเดนในช่วงสงครามเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องเห็นภาพความย้อนแย้งทางศีลธรรม (moral dilemma) ด้วย
หนังสือเสนอว่า เนื่องด้วยปฏิบัติการกู้ภัยโดยรถเมล์สีขาวนั้นมุ่งจะกู้ภัยผู้มีสัญชาติสแกนดิเนเวียเป็นหลัก ทำให้ต้องละทิ้งผู้ที่ไม่ได้มีสัญชาติสแกนดิเนเวียไป ตัวอย่างเช่น มีนักโทษสัญชาติฝรั่งเศสถึง 2,000 คน ที่ขึ้นรถเมล์สีขาวไปแต่ต้องไปลงที่ค่ายกักกันอื่นเพื่อเปลี่ยนตัวกับนักโทษชาวสแกนดิเนเวียแทน นักโทษสัญชาติฝรั่งเศสเหล่านั้นจำนวนมากเสียชีวิตระหว่างถูกขนส่งหรือหลังจากที่ต้องถูกส่งไปค่ายกักกันอีกแห่งหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีเสียงของนักประวัติศาสตร์คนอื่นจากนอร์เวย์เพิ่มเติมมาว่า หลายครั้งชาวยิวที่มีสัญชาตินอร์เวย์ เมื่อถูกจับในเหตุการณ์เยอรมนีบุกนอร์เวย์ พวกเขาก็สูญเสียสัญชาตินอร์เวย์ไป ในที่สุดเมื่อปฏิบัติการรถเมล์สีขาวเริ่มต้นขึ้น พวกเขากลับสูญเสียสิทธิในการจะได้รับการช่วยเหลือ และโดยนัยว่าหลายคนก็ต้องเสียชีวิตไปจากปฏิบัติการซึ่งมีแง่มุมย้อนแย้งทางด้านศีลธรรมนี้
นับว่าเป็นความย้อนแย้งที่จับใจความการเป็นสแกนดิเนเวียได้ดีทีเดียว
อ้างอิง
– https://en.wikipedia.org/wiki/White_Buses
– https://malmo.se/Uppleva-och-gora/Konst-och-museer/Malmo-Museer/Utstallningar/Aktuella-utstallningar/Valkommen-till-Sverige/De-Vita-bussarna.html