วิโรจน์ ศุขพิศาล เรื่อง
แฟนการ์ตูนมังงะหลายท่านอาจจะเคยอ่านการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่ชื่อว่า ‘คุโรมาตี้ โรงเรียนคนบวม’ เนื้อเรื่องการ์ตูนเรื่องนี้ก็วนเวียนภายในโรงเรียนที่รวมเหล่าบรรดาคนเพี้ยนๆ เข้าไว้ด้วยกัน โดยในเรื่องก็มีตัวละครตัวหนึ่งที่ชื่อว่า ‘เมกะซาวะ ชินอิจิ’ ตัวละครตัวนี้มีความน่าสนใจและเป็นที่พูดถึงในหมู่คนอ่านการ์ตูนว่า เจ้าเมกะซาวะนี้เป็นหุ่นยนต์หรือเป็นคนจริงๆ กันแน่ เพราะดูภายนอกแล้วมีความละม้ายคล้ายกับหุ่นยนต์ แต่ว่าการกระทำ การพูดจาและความรู้สึกนึกคิดมีความเป็นมนุษย์ไม่ผิดเพี้ยน จนมีวลีติดปากของเมกะซาวะว่า ‘ฉันเป็นเด็ก ม.ปลาย จริงๆ นะ’
แม้การ์ตูนเรื่องนี้จะมีเนื้อหาเพื่อความสนุกสนาน รวมเรื่องราวแปลกๆ ของแต่ตัวละคร แต่เจ้าเมกะซาวะ ก็เป็นตัวอย่างที่ดีที่ชวนพวกเรามาตั้งคำถามว่า อะไรที่ทำให้เรามองว่ามนุษย์กับหุ่นยนต์เริ่มมีความคล้ายกัน
คำว่า ‘หุ่นยนต์’ (robot) เกิดขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1921 โดย Karel Capek นักเขียนบทละครชาวเช็ก เป็นคำอธิบายตัวละครตัวหนึ่งที่เป็นเครื่องจักรคล้ายมนุษย์ที่ทำงานในโรงงาน
แต่เรามาเริ่มรู้จักหุ่นยนต์อย่างจริงจังในปี 1954 เมื่อหุ่นยนต์ถูกนำมาใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม โดยหุ่นยนต์ตัวแรกที่ใช้โรงงานมีชื่อว่า ‘Ultimate’ ผลิตโดย George Devo หุ่นยนต์ตัวนี้ไม่ได้มีรูปร่างคล้ายมนุษย์อย่างที่เราคิดกัน แต่เจ้า Ultimate มีเพียงแขนที่ทำหน้าที่เคลื่อนย้ายชิ้นส่วนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง โดยรับคำสั่งจากมนุษย์มาอีกที
หุ่นยนต์ในยุคแรกยังเป็นที่รู้จักในวงจำกัดอยู่เฉพาะในโรงงานอุตสาหกรรม และสามารถ ‘ทำ’ งานบางอย่างที่เป็นงานหนัก มีความเสี่ยง และเป็นงานผลิตซ้ำ แต่ยังไม่สามารถทำงานที่มีความซับซ้อนได้และยังไม่สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้
ต่อมา หุ่นยนต์ก็เริ่มพัฒนามากขึ้น โดยเริ่มก้าวออกจากในโรงงานอุตสาหกรรม ขยับเข้ามาใกล้กับชีวิตประจำวันของเรา และมีความคล้ายมนุษย์มากขึ้น หุ่นยนต์ที่คนทั่วไปน่าจะรู้จักกันมากที่สุดคือ ‘Asimo’ ที่ผลิตโดยบริษัทฮอนด้า
ความสามารถของ Asimo คือ นอกจากสามารถเดิน วิ่งคล้ายมนุษย์แล้ว มันยังสามารถพูดคุยโต้ตอบกับคนได้ด้วย แถมยังจดจำหน้าตา เสียง และลักษณะท่าทางของมนุษย์ได้
เจ้าหุ่นยนต์อีกตัวที่น่าทึ่งไม่แพ้กันคือ ‘Pepper’ ผลิตโดย Aldebaran Robotics ร่วมกับ SoftBank ที่ออกแบบมาให้เรียนรู้อารมณ์ของมนุษย์ได้ด้วย
หุ่นยนต์ Pepper ถูกนำไปใช้ในงานด้านบริการของภาคธุรกิจ เช่น การต้อนรับลูกค้า การแนะนำผลิตภัณฑ์ เป็นต้น หุ่นยนต์ในยุคนี้มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากยุคแรกก็คือ มันสามารถ ‘สื่อสาร’ กับเราได้ แม้จะเป็นการสื่อสารที่เป็นไปตามรูปแบบที่กำหนดอยู่ก็ตาม
หุ่นยนต์กำลังก้าวเข้าสู่รอยต่อสำคัญ เมื่อเทคโนโลยีโดยเฉพาะทางด้าน Artificial Intelligence (AI) มีการพัฒนาขึ้นมาก AI เปรียบได้กับสมองของหุ่นยนต์ที่เป็นการเลียนแบบความคิดของมนุษย์ พัฒนาการด้าน AI ทำให้หุ่นยนต์สามารถสร้าง ‘กระบวนการคิด’ คล้ายมนุษย์มากขึ้น สามารถประมวลผลและสามารถคาดการณ์บางอย่างได้จากข้อมูลที่ได้รับ ซึ่งในหลายกรณีมันยัง ‘ฉลาด’ กว่าคนด้วยซ้ำไป
อย่างไรก็ตาม แม้กระบวนการคิดของหุ่นยนต์จะมีการพัฒนาคล้ายกับความคิดของมนุษย์ขึ้นมาก แต่ความคิดของหุ่นยนต์ก็ยังไม่เหมือนกับมนุษย์เสียทีเดียว ยังมีกิจกรรมบางประเภทที่สมองของหุ่นยนต์ไม่สามารถทำได้
Tim Unban เจ้าของบล็อกชื่อดัง ‘Wait But Why’ บอกว่าพัฒนาการของ AI ในปัจจุบันสามารถคิดงานต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ความคิด การวิเคราะห์ การประมวลผลได้ และสามารถคิดงานที่เป็นโจทย์เฉพาะได้ แต่ AI ยังไม่สามารถทำบางกิจกรรมที่ ‘ไม่ได้ใช้ความคิด’ ได้
Urban ยกตัวอย่างว่าถ้าเราให้ AI แนะนำเพลงให้กับเรา AI จะสามารถเลือกเพลงนั้นจากข้อมูลการฟังเพลงที่ผ่านมาของเราได้ แต่หากเราถาม AI ให้คำแนะนำสำหรับการออกเดต สิ่งนี้ต้องอาศัยประสบการณ์หรือสัญชาตญาณ AI จึงไม่สามารถแนะนำให้ได้
แต่ Urban บอกว่า ในอนาคตไม่นานเกินรอ คือไม่น่าจะเกิน 45 ปี AI จะพัฒนาขึ้นไปได้มาก โดย AI จะสามารถสร้างกระบวนการคิดที่เหมือนกับมนุษย์มากขึ้นไปอีก
อาจเป็นแบบนี้ก็ได้ ที่ทำให้แฟนการ์ตูนเรื่อง ‘คุโรมาตี้ โรงเรียนคนบวม’ ถึงกับแยกไม่ออกว่า เจ้าเมกะซาวะ เป็นมนุษย์หรือหุ่นยนต์กันแน่ เพราะว่าหลายครั้งเหลือเกินที่มันทำอะไรหลายอย่างที่อาจไม่ได้ใช้ความคิดเลย ซึ่งนั่นคือคุณสมบัติอย่างหนึ่งของความเป็นมนุษย์
ที่ก็ไม่รู้ว่าเราควรดีใจหรือเสียใจดี!
อ่านเพิ่มเติม
-บทความ THE HYPE—AND HOPE—OF ARTIFICIAL INTELLIGENCE ของ Om Malik จาก The New Yorker,
-บทความ Who is Pepper? จาก Soft Bank Robotics
–History of robots จาก Wikipedia