สฤณี อาชวานันทกุล เรื่อง
ผู้เขียนพยายาม และบางครั้งก็จำทนฟัง การถกเถียงต่อเนื่องมานานเกือบสองทศวรรษแล้วว่า นโยบายซึ่งถูกเรียกว่า “ประชานิยม” ในไทยนั้นแต่ละนโยบาย “ดี” หรือ “เลว” มากกว่ากัน
นักเศรษฐศาสตร์ นักสังเกตการณ์ และผู้ดำเนินนโยบายจำนวนไม่น้อยแปะป้ายตีตรานโยบายช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยบางนโยบายว่า “ประชานิยม” ทันทีที่ได้ยิน เพียงเพราะเกลียดนักการเมืองผู้ออกนโยบาย หรือมีอคติว่าผู้มีรายได้น้อยจะขี้เกียจถ้าหากได้อะไรฟรีๆ
ส่วนฝ่ายที่เชียร์นักการเมืองผู้ออกนโยบายหลายคนก็ออกมาเชียร์อย่างสุดลิ่มทิ่มประตูว่า ขึ้นชื่อว่า “ประชานิยม” แล้วย่อมต้องดีแน่นอน เพราะชื่อก็บอกแล้วว่าประชาชนนิยม ไม่ต้องไปสนใจว่านโยบายนี้ตรงต่อความต้องการของกลุ่มเป้าหมายจริงไหม ใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายไม่ยั่งยืนหรือไม่ เปิดช่องให้คอร์รัปชันมากมายระหว่างทางหรือเปล่า ฯลฯ
แท้ที่จริง นโยบายประชานิยมบางนโยบายอาจ “ดี” ก็ได้ เพราะสร้างประโยชน์มากกว่าเม็ดเงินงบประมาณที่ใช้หลายเท่า น่าเสียดายที่ผู้กุมอำนาจรัฐทุกวันนี้ดูจะมีอคติกับคำว่า “ประชานิยม” จึงหลีกเลี่ยงไปใช้คำอื่น อาทิ “ประชารัฐ” ทั้งที่แนวนโยบายหลายครั้งดูแล้วไม่ต่างกันกี่มากน้อย
ในยุคที่สังคมไทยดูจะยังไปไม่พ้นกับดักของคำว่า “ประชานิยม” ผู้เขียนเห็นว่าเราน่าจะลองมองออกไปนอกบ้าน ดูว่าสังคมอื่นๆ เขามองเรื่องนี้กันอย่างไร พรมแดนการถกเถียงของเรื่องนี้ขยับไปอยู่ตรงไหนแล้ว
ยอห์น-เวอร์เนอร์ มุลเลอร์ (Jan-Werner Müller) นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน เขียนหนังสือฉบับกะทัดรัดที่อ่านสนุกและเข้าใจไม่ยาก ตั้งชื่อตรงไปตรงมาว่า What is Populism? (ประชานิยมคืออะไร?) เพื่อตอบคำถามเหล่านี้อย่างทันสมัย โดยเฉพาะในยุคที่นักการเมืองซึ่งถูกเรียกว่า “นักการเมืองประชานิยม” อย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนล่าสุดของสหรัฐอเมริกา กำลังดูจะได้รับความนิยมมากขึ้นทั่วโลก ท่ามกลางความสับสนว่า “ประชานิยม” คืออะไร? ประชานิยมฝ่ายขวาแตกต่างจากประชานิยมฝ่ายซ้ายอย่างไร? ตกลง “นักการเมืองประชานิยม” (populist politician) มีอยู่จริงหรือไม่ มีลักษณะอย่างไร ทำให้รัฐบาลใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้น หรือว่าแท้จริงแล้วเป็นอันตรายต่อประชาธิปไตย? จริงๆ แล้ว “ประชาชน” หรือ “พลังเงียบ” คือใครกันแน่ และใครควรมีสิทธิพูดแทนประชาชนบ้าง?
ใน What is Populism? มุลเลอร์พยายามตอบคำถามทุกข้อข้างต้นพร้อมด้วยตัวอย่างมากมาย โดยขมวดข้อเสนอของเขาตั้งแต่เนิ่นๆ ว่า หัวใจของประชานิยมคือการปฏิเสธพหุนิยม (pluralism) เพราะนักการเมืองประชานิยมจะอ้างเสมอว่า พวกเขาและมีแต่พวกเขาเท่านั้นที่เป็นตัวแทนของประชาชน และรู้ดีว่าแท้จริงแล้วประชาชนต้องการอะไร
ด้วยเหตุนี้ นักการเมืองประชานิยมจึงสามารถปกครองบนฐานข้ออ้างที่ว่า ความชอบธรรมของพวกเขามาจากการเป็น “ตัวแทนเชิงศีลธรรม” ของประชาชนทั้งประเทศ และถ้าหากมีอำนาจมากถึงจุดหนึ่ง พวกเขาก็จะสร้างรัฐแบบเผด็จการ กีดกันใครก็ตามที่มองว่าไม่ใช่ส่วนหนึ่งของ “ประชาชน” ที่ถูกต้องออกไป
มุลเลอร์เปิดหนังสือเล่มนี้ด้วยฉายภาพให้เห็นว่า คำว่า “ประชานิยม” นั้นเต็มไปด้วย “ความอลหม่านทางความคิด” ขนาดไหน เขาบอกว่าแนวคิดนี้ถูกใช้อย่างพร่ำเพรื่อโดยคนจำนวนมาก ดังนั้น ก่อนที่เราจะสามารถถกกันเรื่องนี้ได้อย่างมีประโยชน์ เราก็จะต้องมองเห็นและขจัดนิยามต่างๆ ของ “ประชานิยม” ที่มุลเลอร์เรียกว่า เป็น “นิยามแบบทางตัน” เสียก่อน ยกตัวอย่างเช่นนิยามต่อไปนี้
- ประชานิยม หมายถึง นโยบายโง่หรือนโยบายพื้นๆ (มุมมองแบบอัตวิสัย เถียงกันได้ไม่รู้จบว่านโยบายไหน “โง่” หรือ “พื้นๆ” บ้าง)
- ประชานิยม หมายถึง ความต้องการของพลเมืองเฉพาะกลุ่ม (อย่างเช่นผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งที่เรียนไม่จบปริญญาตรี และในสายตาของคนบางกลุ่มมองว่าพวกเขา “โง่” ดังนั้นจึงมองว่าอะไรก็ตามที่พวกเขาต้องการย่อมเป็น “ประชานิยม” ในความหมาย “นโยบายโง่ๆ”)
- ประชานิยม หมายถึง สไตล์การเมืองเฉพาะทาง (มักใช้หมายถึงความเป็นลูกทุ่ง ไร้ความเป็นผู้ดี บ้านนอก เอะอะมะเทิ่ง ฯลฯ)
ในเมื่อนิยามข้างต้นทั้งหมดล้วนเป็นอัตวิสัย แถมบ่อยครั้งยังถูกใช้ในทางที่เจืออคติ (หลายชั้น) ของผู้พูด มุลเลอร์จึงบอกว่าเราใช้มันเป็นนิยามไม่ได้ เขาเสนอนิยามใหม่ของ “ประชานิยม” ดังต่อไปนี้
“ผมเสนอว่า “ประชานิยม” คือ จินตนาการถึงการเมืองในเชิงศีลธรรมอันมีลักษณะเฉพาะตัว เป็นวิธีมองโลกซึ่งยืนยันว่า (และผมจะชี้ว่ามันไม่จริงอย่างไร) ประชาชนที่มีความบริสุทธิ์ทางศีลธรรมและสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนั้น กำลังต่อกรกับกลุ่ม ‘ชนชั้นนำ’ ซึ่งถูกมองว่าเสื่อมทรามหรือด้อยกว่าในทางศีลธรรม … ฉะนั้นข้ออ้างหลักของประชานิยมก็คือลัทธิต่อต้านพหุนิยม (antipluralism) ในรูปแบบที่อ้างอิงศีลธรรม … พูดอีกอย่างก็คือ ไม่มีทางเกิดประชานิยมได้ ถ้าหากไม่มีใครสักคนอ้างว่าพูดแทนประชาชนทั้งมวลได้ … นี่คือข้ออ้างหลักของประชานิยม: มีประชาชนบางกลุ่มเท่านั้นที่เป็น ‘ประชาชน’ อย่างแท้จริง”
พูดง่ายๆ ก็คือ นักการเมืองประชานิยมในนิยามของมุลเลอร์นั้นจะ (1) อ้างว่าพูดแทน “ประชาชนตัวจริง” ในประเทศ และ (2) อ้างว่าประชาชนตัวจริงเหล่านั้นคือประชาชนทั้งหมดแล้ว คนอื่นไม่ใช่เพราะขาดความชอบธรรม หรือไม่ก็เสื่อมทรามทางศีลธรรมจนไม่ควรรับฟัง (เช่น วาทกรรม “พวกชนชั้นนำบ้าอำนาจ”)
มุลเลอร์ยกตัวอย่างมากมายหลายประเทศ จากทั้งในอดีตและปัจจุบัน มาสาธิตว่านิยามของเขาค่อนข้างครอบคลุมบริบทที่แตกต่างหลากหลาย ดังนั้นจึงน่าจะใช้การได้จริง จากนั้นเขาก็สาธยายอย่างกระชับชัดเจนว่า นักการเมืองประชานิยม (ในความหมายของเขา) มีพฤติกรรมทางการเมืองหลักๆ อะไรบ้าง ตัวอย่างที่ผู้เขียนชอบมากก็อย่างเช่น
1. นักประชานิยมอ้างว่าพวกเขาต่อต้านชนชั้นนำ แต่จริงๆ แล้วพวกเขาก็คือชนชั้นนำอีกกลุ่มหรือขั้วตรงข้ามที่อยากขึ้นมามีอำนาจ พอได้อำนาจมาแล้ว พวกเขาก็โอเคกับชนชั้นนำนั่นแหละ
2. นักประชานิยมชอบใช้เครื่องมืออย่างเช่นการลงประชามติ เครื่องมือแนวนี้ดูเหมือนจะให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพื่อบรรลุเป้าหมายของพวกเขา แต่จริงๆ แล้วไม่ได้อยากให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับการเมืองเท่าไรนักหรอกเมื่อได้อำนาจมาแล้ว หลังจากที่ขึ้นสู่อำนาจ พวกเขาจะชอบอ้างว่าตัวเอง “อยู่ข้างประชาชน” แบบลอยๆ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำต่างๆ โดยไม่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมจริงๆ
3. ผู้นำแนวประชานิยมไม่ชอบสถาบันตัวกลางแม้แต่สถาบันเดียว ในที่นี้ “สถาบันตัวกลาง” หมายถึงสถาบันต่างๆ ที่กั้นกลางระหว่างพวกเขากับประชาชน ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชน หรือพรรคการเมือง ผู้นำแนวประชานิยมชอบพูดคุยกับประชาชนตัวเป็นๆ ตรงๆ และจะจัดตั้งกระบอกเสียงอันใหญ่ของตัวเอง (ซึ่งทุกวันนี้ก็รวมช่องทางอย่างเช่นโซเชียลมีเดีย อาทิ เฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์)
4. พรรคการเมืองแบบประชานิยมปกครองแบบเผด็จการภายในพรรค มีผู้นำสูงสุดเพียงคนเดียว คนอื่นจะต้องทำตามดำริของผู้นำ ไม่อย่างนั้นก็ต้องไปหาพรรคอื่นอยู่
5. เมื่อใดที่ผู้นำแนวประชานิยมรักษาอำนาจได้อย่างมั่นคงแล้ว พวกเขาก็จะใช้การแบ่งเขา-แบ่งเราเป็นเทคนิคในการปกครองตลอดเวลา เช่น ก่นด่า “ชนชั้นนำ” ผู้ก่อการร้าย สื่อมวลชน มหาอำนาจต่างชาติที่มายุ่มย่าม และตัวละครอื่นๆ ว่าเป็นตัวการหรือสาเหตุของปัญหาต่างๆ ที่ผุดขึ้นมาระหว่างการปกครองของพวกเขา พวกเขาจะให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือกับศัตรูของประชาชนในศึกใหญ่อะไรสักอย่างที่อ้างว่าจะต้องเกิดอย่างแน่นอน ไม่วันนี้ก็วันหน้า
6. ทันทีที่ได้อำนาจ ผู้นำและพรรคการเมืองประชานิยมจะ “ยึด” รัฐมาเป็นอาณานิคมส่วนตัวอย่างแข็งกร้าวและกล้าทำอย่างเปิดเผย โดยอ้างว่าทำไปเพื่อประชาชน พวกเขาจะทำลายธรรมเนียมประชาธิปไตย ติดสินบนอย่างมโหฬารเพื่อกระชับอำนาจ แก้รัฐธรรมนูญถ้าสามารถทำได้ ปิดปากผู้วิพากษ์วิจารณ์และภาคประชาสังคม และบั่นทอนศูนย์อำนาจและศูนย์อิทธิพลอื่นๆ เท่าที่ทำได้
ในสำนวนของมุลเลอร์ ทั้งหมดนี้ –
“…นำไปสู่ตลกร้ายขั้นสุดท้าย ประชานิยมที่อยู่ในอำนาจทำให้เกิดการกีดกันและยึดครองรัฐ ซึ่งก็เป็นสิ่งเดียวกันกับที่พวกเขาอ้างว่าชนชั้นนำ (ที่พวกเขาขึ้นสู่อำนาจแทนที่)ทำเป๊ะเลย อะไรก็ตามที่พวกเขาอ้างว่า “ชนชั้นนำเก่า” หรือ “ชนชั้นนำเสื่อมศีลธรรม” ทำมานานแล้ว นักประชานิยมก็จะทำแบบเดียวกัน เพียงแต่คราวนี้ไร้ซึ่งความรู้สึกผิด และมีความชอบธรรมแบบประชาธิปไตยเข้ามารองรับ”
ในหนังสือเล่มนี้ มุลเลอร์เตือนว่าเราไม่ควรสับสนระหว่าง “ประชานิยม” กับ “การเมืองที่ไร้ความรับผิดชอบ” หรือบอกว่าประชานิยมเท่ากับความกลัวหรือความโกรธของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เขาบอกว่าการวิเคราะห์แบบนี้มักจะทำให้คนทั่วไปมองว่า “พวกชนชั้นนำเสรีนิยม” (หรือปัญญาชนหัวก้าวหน้า) ดูถูกดูแคลนคนธรรมดา
มุลเลอร์บอกว่าข้ออ้างของประชานิยมมักจะเป็นข้ออ้างเชิงศีลธรรมหรือเชิงสัญลักษณ์ ไม่ใช่อะไรที่เราจะทดสอบได้เชิงประจักษ์ นักการเมืองประชานิยมอ้างว่าพวกเขาเป็นตัวแทนพลเมืองทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยไม่ยอมรับความชอบธรรมของคนอื่นที่บอกว่าเป็นตัวแทนประชาชนเช่นกัน
หนังสือเล่มเล็กเล่มนี้มีข้อคิดและข้อเสนอที่น่าสนใจมากมาย ตอนหนึ่งที่ผู้เขียนชอบ คือ ตอนที่มุลเลอร์วิพากษ์แนวคิด “ประชาธิปไตยไร้เสรี” (illiberal democracy) ซึ่งถือกำเนิดในบทความปี 1997 โดย ฟารีด ซาคาเรีย (Fareed Zakaria) ตอนนั้นซาคาเรียใช้คำนี้เพื่ออธิบายระบอบการเมืองที่ “รูปแบบ” ดูเป็นประชาธิปไตย เช่น จัดการเลือกตั้ง แต่ไม่สนใจหลักนิติรัฐและพยายามบั่นทอนกลไกคานดุลและถ่วงดุลในระบอบอย่างสม่ำเสมอ พูดอีกอย่างคือ ซาคาเรียพยายามย้ำว่า มีประชาธิปไตยอย่างเดียวไม่พอ หลักเสรีนิยม (เช่น การคุ้มครองเสียงข้างน้อย และการปกป้องสิทธิพลเมือง) จะต้องได้รับการส่งเสริมด้วย
มุลเลอร์ชี้ว่า ปัญหาของคำว่า illiberal democracy คือ คำว่า “เสรีนิยม” (liberalism) ไม่ได้หมายถึงสิ่งเดียวกันสำหรับคนทุกคน ในบางสังคม เช่น ตุรกี คนจำนวนมากมองว่าคำนี้หมายถึงทุนนิยมแบบตลาดเสรีสุดขั้วที่ไร้การกำกับดูแล และเสรีภาพสุดขั้วสำหรับคนทุกคนในการใช้ชีวิต นายกรัฐมนตรี วิกเตอร์ ออร์บัน (Viktor Orbán) แห่งฮังการี ประกาศในปี 2014 ว่าเขาอยากสร้าง “รัฐไร้เสรี” (illiberal state) โดยเชื่อมั่นว่ายุโรปทั้งทวีปอีกไม่นานจะหันมายอมรับและสนับสนุนวิสัยทัศน์การเมืองแบบ “ยึดมั่นในหลักศาสนาคริสต์และชาตินิยม” แบบของเขา
ฉะนั้น มุลเลอร์จึงเสนอให้เรียกรัฐที่ผู้มีอำนาจบั่นทอนกลไกถ่วงดุลคานดุลในระบอบประชาธิปไตยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ประชาธิปไตยบกพร่อง” หรือ “ไม่เป็นประชาธิปไตย” แทน
เราจะรับมือกับนักการเมืองประชานิยมอย่างไรดี?
มุลเลอร์เสนอสิ่งที่เขาคิดว่าควรทำและทำได้ในช่วงสุดท้ายของหนังสือ เขาบอกว่าถ้าเราจะรับมือ “เราก็ควรมองข้ออ้างทางการเมืองของพวกเขาอย่างจริงจัง โดยไม่ต้องเชื่อวาทกรรม” หรือพูดอีกอย่างก็คือ นักการเมืองและสื่อมวลชนควรรับมือกับประเด็นต่างๆ ที่นักประชานิยมยกขึ้นมา แต่ท้าทายวาทกรรมหรือวิธีตีกรอบประเด็นเหล่านั้นของพวกเขา
นอกจากนั้น มุลเลอร์ยังเสนอให้เราใช้ความรอบคอบและระมัดระวังกว่าเดิมมากเวลาที่จะแปะป้ายว่าใครเป็นนักการเมืองแบบ “ประชานิยม” ยกตัวอย่างเช่น ไม่ใช่ว่าข้อวิพากษ์ชนชั้นนำทุกเรื่องทุกเวลาจะแปลว่าคนวิพากษ์เป็นประชานิยมเสมอไป แทนที่เราจะก่นด่าหรือเสียดายกับการที่นักประชานิยมไม่แยแสพหุนิยมและไม่สนใจจะสร้างชุมชนทางการเมืองที่ให้ทุกคนมีส่วนร่วม (inclusive) เราก็จะต้องหาวิธีเสนอให้โดนใจคนและดีกว่าเดิมว่า ทำไมพหุนิยมและชุมชนทางการเมืองที่มีส่วนร่วมจึง “ขาดไม่ได้” ในสมัยนี้
และแทนที่เราจะพยายามสร้างภาพของ “ประชาชน” โดยรวม มุลเลอร์ก็เสนอให้เราสร้างเสียงข้างมากบางส่วนภายในระบบการเมืองที่โอบอุ้มคนที่เคยถูกกีดกันเข้ามา โดยที่ไม่ไปเบียดบังคนที่เสียงดังอยู่แล้วให้ตกขอบไป.