fbpx

อะไรบ้างที่ ‘จีดีพี’ วัดไม่ได้?

จีดีพี (GDP) หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product) ถือกำเนิดขึ้นเมื่อราว 100 ปีก่อน นับเป็นนวัตกรรมในสมัยที่รถโฟล์คสวาเกน (Volkswagen) เป็นยานยนต์ยอดนิยม และเทคโนโลยีการถ่ายภาพด้วยฟิล์มสีเป็นเรื่องน่าตื่นตาตื่นใจ แม้ว่าปัจจุบันรถเต่าและฟิล์มต่างขึ้นหิ้งเป็นวัตถุ ‘คลาสสิก’ ที่เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จัก แต่จีดีพีก็ยังเป็นตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่ทุกประเทศยังคงให้ความศรัทธาไม่เสื่อมคลาย

ย้อนกลับไปเมื่อคริสต์ทศวรรษที่ 1930s สหรัฐอเมริกาเผชิญภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression) แม้รัฐบาลต้องการเดินหน้านโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่ก็ยังขาดเครื่องมือเพื่อประกอบการตัดสินใจว่านโยบายใดใช้ได้ผลดีที่สุด วุฒิสภาสหรัฐฯ จึงได้มอบหมายให้นักเศรษฐศาสตร์หนุ่มนามไซมอน คุซเนตส์ (Simon Kuznets) คิดค้นตัวเลขเพียงหนึ่งเดียวที่จะบอกได้ว่า ‘เศรษฐกิจ’ เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

คุซเนตส์และทีมวิจัยรวบรวมข้อมูลสถิติจำนวนมหาศาล ประกอบสร้างเป็นรายงานเพื่อนำเสนอแก่สภาคองเกรสในปี 1934 โดยมีชื่อว่า ‘รายได้ประชาชาติ ปี 1929-1932’ (National Income, 1929-1932) ในรายงานฉบับดังกล่าวมีวิธีการวัดดัชนีที่คุซเนตส์ตั้งชื่อว่า ‘รายได้ประชาชาติ’ ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นตัวเลขจีดีพีในปัจจุบัน

แทบทุกประเทศบนโลกต่างตื่นเต้นกับการวัดขนาดเศรษฐกิจอย่างเป็นวิทยาศาสตร์แล้วนำมาสรุปเป็นตัวเลขตัวเดียว นวัตกรรมของคุซเนตส์ทำให้เราสามารถประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจ วัดผลงานของผู้นำแต่ละคน นโยบายของแต่ละพรรคการเมืองเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการเลือกตั้งครั้งหน้า ตัวเลขจีดีพีในปัจจุบันยังมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อตลาดทุน อันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาล และนโยบายทั้งการคลังและการเงิน

คุซเนตส์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์เมื่อปี 1971 แต่น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่หยิบตัวเลขจีดีพีไปใช้โดยไม่ฟัง ‘คำเตือน’ ของเขา แล้วบูชาจีดีพีราวกับเป็นหมุดหมาย จึงออกแบบนโยบายทุกวิถีทางเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตแบบเกินคาด ในยุคที่ข้อมูลมีความละเอียดยิ่งขึ้น มีจำนวนมากขึ้น และความสามารถในการประมวลผลเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด อาจถึงเวลาแล้วที่เราจะพิจารณา ‘จีดีพี’ ทางเลือกที่คำนึงถึงความเหลื่อมล้ำและทรัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมโทรมลงเพื่อให้สามารถตัดสินใจอย่างครบถ้วนและรอบด้านยิ่งขึ้น

ข้อจำกัดของ ‘จีดีพี’

ลองคิดเล่นๆ ดูนะครับ ว่าการจราจรที่ติดขัดในกรุงเทพฯ จะทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้นหรือลดลง?

คนจำนวนไม่น้อยย่อมมองว่า ‘ลดลง’ อย่างแน่นอน เพราะเราต้องเสียเวลาบนท้องถนนวันละหลายชั่วโมง แทนที่จะเข้าไปทำงานเพื่อสร้าง ‘ผลผลิต’ ยังไม่นับถึงความเหนื่อยล้าจากการเดินทางที่อาจทำให้ผลิตภาพลดลงอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การจราจรที่ติดขัดอาจทำให้จีดีพี ‘เพิ่มขึ้น’ ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการเผาผลาญน้ำมันบนท้องถนน มลภาวะจากท่อไอเสียที่ทำให้คนในเมืองกรุงป่วยไข้และต้องใช้บริการรักษาพยาบาล ยังไม่นับการเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนที่ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมจะกลายเป็น ‘รายได้’ ที่ช่วยสร้างงานสร้างอาชีพ

พอจะเห็นข้อจำกัดของจีดีพีไหมครับ ความจริงแล้วจีดีพีจะวัดเพียงการบริโภค การลงทุน ค่าใช้จ่ายของรัฐบาล บวกกับการมูลค่าสินค้าส่งออก แล้วหักลบด้วยมูลค่าการนำเข้า โดยไม่ได้คำนึงถึง ‘ความเป็นอยู่ที่ดี’ ในสมการ

การใช้จีดีพีเป็นเข็มทิศนำทางจึงเปิดทางสู่นโยบายที่แปลกแปร่ง ไม่ว่าจะเป็นการเร่งให้ผู้คนจับจ่ายใช้สอย ขุดทำลายทรัพยากรธรรมชาติเพื่อเปลี่ยน ‘คุณค่า’ เป็น ‘มูลค่าทางเศรษฐกิจ’ ส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยมองข้ามการอนุรักษ์ แม้กิจกรรมเหล่านี้จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นทันตาในระยะสั้น แต่ก็ไม่ต่างจากการทำร้ายลูกหลานโดยไม่หลงเหลือทรัพยากรไว้สำหรับอนาคต

แม้การเป็น ‘เลขตัวเดียว’ ของจีดีพีจะเป็นลักษณะเด่น แต่ก็เป็นข้อด้อยสำคัญเช่นเดียวกัน แม้แต่คุซเนตส์เองก็ยังแสดงความกังวลว่าตัวชี้วัดขนาดเศรษฐกิจเพียงหนึ่งเดียวอาจบดบังความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจ เขาเคยเขียนเอาไว้ว่า “เราไม่อาจวัดสวัสดิการทางเศรษฐกิจได้อย่างแน่ชัด ตราบใดที่เราไม่ทราบการกระจายตัวของรายได้ในระดับบุคคล”

นี่คือสองโจทย์สำคัญว่าด้วย ‘ความเหลื่อมล้ำ’ และ ‘ทรัพยากรธรรมชาติ’ ที่จีดีพีในปัจจุบันยังวัดไม่ได้

ปรับ ‘จีดีพี’ ให้สะท้อนความเหลื่อมล้ำ

รัฐบาลปลื้ม! จีดีพีไทยขยายตัวเกินเป้า แตะ 3 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสที่ผ่านมา”[i]

หากเราอ่านพาดหัวข่าวเช่นนี้ อาจเข้าใจว่าประชาชนทุกคนไม่ว่ายากดีมีจนจะร่ำรวยขึ้น 3 เปอร์เซ็นต์ นี่คือภาพลวงตาของจีดีพี เพราะความจริงแล้วการเพิ่มขึ้น 3 เปอร์เซ็นต์นั้นเป็นค่าเฉลี่ยที่ไม่คำนึงถึงการกระจายตัว

ผู้เขียนจึงขอยกตัวอย่างเล่นๆ โดยแบ่งประชาชนออกเป็น 3 กลุ่มคือกลุ่มที่ร่ำรวยที่สุด 10 เปอร์เซ็นต์แรก ชนชั้นกลาง 40 เปอร์เซ็นต์ต่อมา และกลุ่มที่ยากจนที่สุด 50 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ ตัวเลขจีดีพีที่เติบโต 3 เปอร์เซ็นต์ อาจเป็นเช่นกรณีที่ 1 ซึ่งทุกคนได้รับส่วนแบ่งเท่ากัน กรณีที่ 2 ซึ่งการเติบโตกระจุกอยู่ที่คนที่ร่ำรวยที่สุด 10 เปอร์เซ็นต์แรก และกรณีที่ 3 ซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มคนที่ยากจนกว่าค่าเฉลี่ย

 ร่ำรวยที่สุด 10%ชนชั้นกลาง 40%ยากจนที่สุด 50%การขยายตัวของจีดีพี
กรณีที่ 13.00%3.00%3.00%3.00%
กรณีที่ 220.00%2.00%0.40%3.00%
กรณีที่ 30.00%1.26%5.00%3.00%

แน่นอนครับว่าข้อมูลในลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มักจะเป็นข้อมูลซึ่งเผยแพร่ตามหลังจีดีพีอย่างน้อยหนึ่งปี กว่าจะได้เห็นตัวเลขเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายจึงช้าเกินกาล นี่คือเหตุผลที่กาเบรียล ซุคมัน (Gabriel Zucman) จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ คิดค้นหาวิธีการใหม่เพื่อคำนวณความเหลื่อมล้ำแบบทันเวลา โดยแสดงให้เห็นว่าคนแต่ละชนชั้นได้รับประโยชน์มากน้อยเพียงใดจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยปัจจุบันสถิติดังกล่าวเผยแพร่อยู่ทางเว็บไซต์ Realtime Inequality

กราฟแสดงการเปลี่ยนแปลงของรายได้โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ร่ำรวยที่สุด 10 เปอร์เซ็นต์แรก (สีแดง) ชนชั้นกลาง 40 เปอร์เซ็นต์ (สีน้ำเงิน) และกลุ่มที่ยากจนที่สุด 50 เปอร์เซ็นต์ (สีเขียว) และค่าเฉลี่ย (สีขาว) จะเห็นว่ากลุ่มผู้มีรายได้สูงจะมีอัตราการเติบโตของรายได้สูงกว่ากลุ่มผู้มีรายได้น้อยเกือบ 5 เท่าตัว
ภาพจาก Realtime Inequality

สถิติดังกล่าวนับว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง ซุคมันและทีมวิจัยมองย้อนกลับไปช่วงวิกฤตซับไพรม์เมื่อปี 2007 ซึ่งใช้เวลาร่วม 4 ปีเต็มก่อนที่จีดีพีจะฟื้นตัวกลับมาเท่าเดิม อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาตามช่วงชั้นรายได้จะพบว่ากลุ่มคนที่ยากจนที่สุด 50 เปอร์เซ็นต์ของประชากรกลับต้องใช้เวลากว่า 10 ปีกว่าที่รายได้จะฟื้นตัวกลับไปเท่าช่วงก่อนวิกฤต

หากเทียบกับวิกฤตโควิด-19 และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ พวกเขาพบว่ากลุ่มคนที่ยากจนที่สุด 50 เปอร์เซ็นต์ใช้เวลาราว 20 เดือนเพื่อให้กลับมามีรายได้เท่ากับช่วงก่อนเกิดวิกฤต แม้จะนับเป็นช่วงสั้นๆ หากเทียบกับวิกฤติซับไพรม์ แต่ระยะเวลาดังกล่าวก็มากกว่ากลุ่มคนที่ร่ำรวย 50 เปอร์เซ็นต์แรกที่รายได้ฟื้นตัวกลับมาภายในระยะเวลาเพียง 10 เดือนเท่านั้น

สองตัวอย่างนี้ฉายให้เห็นภาพอย่างชัดเจนว่าการมองตัวเลขจีดีพีเพียงลำพังอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและการตัดสินใจเชิงนโยบายที่ผิดพลาด เนื่องจากการเติบโตของรายได้ประชาชนในแต่ละฐานะทางสังคมนั้นไม่เท่ากัน การตัดสินใจหยุดนโยบายช่วยเหลือที่เร็วเกินไปเพราะเชื่อเลขจีดีพีจึงอาจเป็นการซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำให้เลวร้ายลงกว่าเดิม

ปรับ ‘จีดีพี’ ให้คำนึงถึงทรัพยากรธรรมชาติ

หากใครคุ้นเคยกับแวดวงธุรกิจย่อมทราบดีว่าทุกบริษัทจะต้องจัดทำงบกำไรขาดทุนและงบแสดงฐานะการเงินหรืองบดุลเพื่อให้เห็น ‘สุขภาพ’ ของธุรกิจอย่างรอบด้าน แต่ทราบไหมครับว่าตัวชี้วัดที่ทุกรัฐบาลต่างศรัทธาอย่างจีดีพีถือเป็นเพียง ‘ผลผลิต’ หรือก็คือรายได้ของประเทศโดยมองข้าม ‘ทุน’ ไม่ว่าจะเป็นทุนมนุษย์หรือทุนธรรมชาติ

หากเราใช้ ‘รายได้’ เป็นตัวชี้วัดเพียงหนึ่งเดียวเพื่อออกแบบนโยบาย สุดท้ายเหล่านักการเมืองย่อมมีแรงจูงใจที่จะถลุง ‘ทุน’ เพื่อแปลงเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจในระยะสั้นโดยไม่สนใจผลกระทบในระยะยาว

นี่คือสาเหตุที่เหล่านักเศรษฐศาสตร์ต่างเสนอให้มีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนตัวชี้วัดให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ‘ดัชนีวัดความก้าวหน้าที่แท้จริง’ (Genuine Progress Indicator หรือ GPI) ที่จะใช้จีดีพีเป็นตัวตั้งแล้วนำมาหักกลบลบกับความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ ต้นทุนของอาชญากรรม ค่าใช้จ่ายของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ราคาของมลพิษทางอากาศ น้ำ และเสียง และต้นทุนของสถาบันครอบครัวที่เสื่อมสลาย เป็นต้น

การศึกษาพบว่าแม้จีดีพีจะเพิ่มขึ้นถึงสามเท่าตัวนับตั้งแต่ปี 1950 แต่ความเป็นอยู่ที่ดีตามดัชนีชี้วัดจีพีไอกลับเริ่มปรับตัวลดลงในปี 1978 สะท้อนให้เห็นว่าจีดีพีอาจเป็นตัวชี้วัดที่ไม่ได้บ่งชี้คุณภาพชีวิตของประชาชน (คำนวณจีดีพีและจีพีไอจาก 17 ประเทศทั่วโลก)

ภาพจาก Beyond GDP: Measuring and achieving global genuine progress

องค์การสหประชาชาติเองก็เดินหน้าตั้งคณะทำงานเพื่อไปให้ไกลกว่าจีดีพี โดยต้องการให้มีการคำนวณรวมเอาทุนธรรมชาติ ทั้งป่าไม้ พื้นที่ชุมน้ำ และระบบนิเวศอื่นๆ เข้ามาพิจารณาด้วย เกิดเป็นกรอบคิดที่ชื่อว่าระบบบัญชีเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม (System of Environmental-Economic Accounting – SEEA) ที่อยู่ในระหว่างเดินหน้าพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเดือนที่ผ่านมา ทำเนียบขาวภายใต้การนำของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้เปิดเผยโครงการริเริ่มด้านสิ่งแวดล้อมที่ครอบคลุมระยะเวลาถึง 15 ปี โดยหนึ่งในนั้นคือการพัฒนาบัญชีทุนธรรมชาติเพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลงของความมั่งคั่งด้านสิ่งแวดล้อมในสหรัฐอเมริกาโดยคำนวณกลับเป็นเชิงปริมาณ ดัชนีดังกล่าวจะติดตามการเปลี่ยนแปลงของทรัพยากรภายในประเทศเช่นเดียวกับจีดีพีโดยคาดว่าจะเผยแพร่ครั้งแรกในปีหน้า และภายในอีก 15 ปี ดัชนีชี้วัดนี้จะเป็นสถิติหลักเพื่อประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบาย เพื่อให้สามารถพิจารณาแลกได้แลกเสียระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่วัดด้วยจีดีพี และราคาที่ต้องจ่ายในแง่ความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม

ความโหดหินที่สุดในการจัดทำดัชนีดังกล่าวคือการ ‘ตีราคา’ ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งจวบจนปัจจุบันยังไม่มีมาตรฐานที่ทั่วโลกยอมรับ อีกทั้งมูลค่าที่ประเมินได้นั้นก็แตกต่างกันไปราวฟ้ากับเหวขึ้นอยู่กับวิธีการและมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ผู้ทำการประเมิน

แรกเริ่มเดิมที ศาสตร์ดังกล่าวใช้วิธีอิงจากราคาตลาด เช่น หากจะประเมินมูลค่าผืนป่าก็จะเป็นการประมาณการว่าถ้าตัดต้นไม้ทั้งหมดแล้วนำไปขายจะได้เงินมาเท่าไหร่ ก่อนจะพัฒนามาเป็นความยินดีจะจ่ายของประชาชน โดยทำแบบสำรวจความคิดเห็นว่าเรายอมควักกระเป๋าเท่าไหร่เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติแต่ละประเภท ส่วนวิธีการล่าสุดซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางคือการพิจารณา ‘นิเวศบริการ’ (ecosystem services) โดยมองระบบนิเวศแต่ละประเภทเป็นทุนทรัพย์ที่ผลิตสินค้าและบริการให้แก่มนุษย์ในแต่ละปี เช่น พื้นที่ป่าชายเลนจะช่วยป้องกันชายฝั่งและเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ แมลงผสมเกสรช่วยในการผลิตอาหาร และคุณภาพอากาศที่ดีจะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เป็นต้น

แม้ว่าวิธีการดังกล่าวจะค่อนข้างเป็นวิทยาศาสตร์ แต่การตีมูลค่าบริการกลับมาเป็นตัวเงินก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะไม่ว่าจะตีมูลค่าออกมาเป็นเท่าใดก็ย่อมมีคนที่มองว่าตัวเลขดังกล่าวสูงเกินไปหรือต่ำเกินควรอยู่ดี

เพื่อตัดปัญหาการถกเถียงเรื่อง ‘มูลค่าทางการเงิน’ ซึ่งยากที่จะหาข้อสรุปที่ตรงใจทุกฝ่าย นักวิชาการจำนวนไม่น้อยจึงเสนอให้มองการพัฒนาเป็น ‘หน้าปัด’ (dashboard) โดยพิจารณาหลากหลายตัวชี้วัดสำคัญเพื่อประกอบการตัดสินใจ แทนที่จะต้องหวังพึ่งตัวชี้วัดซึ่งเป็นตัวเลขเพียงหนึ่งเดียว

ท่ามกลางวิกฤตภูมิอากาศและปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ทบทวี ถึงแม้เราจะยังไม่มีดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางเท่ากับจีดีพี อย่างน้อยเราก็ควรตระหนักว่าจีดีพีไม่ได้บ่งบอกถึงความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน หากเราเห็นการเติบโตของจีดีพีก็อย่าเพิ่งรีบดีอกดีใจ เพราะการเติบโตดังกล่าวอาจกระจุกอยู่ในหมู่มหาเศรษฐี หรือแลกมากับทรัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมโทรมลงก็เป็นได้


เอกสารประกอบการเขียน

Real-Time Inequality

Beyond GDP: here’s a better way to measure people’s prosperity

The Biden administration aims to quantify the costs of ecological decay

A New National Strategy to Reflect Natural Assets on America’s Balance Sheet

Dasgupta Review: Nature’s value must be at the heart of economics


[i] พาดหัวข่าวสมมตินะครับ เพราะไตรมาส 2 ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยโตราว 2.5% เท่านั้น

MOST READ

Economy

12 Dec 2018

‘รวยกระจุก จนกระจาย’ ระดับสาหัส: ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจไทยในศตวรรษที่ 21

ธนสักก์ เจนมานะ ใช้ข้อมูลและระเบียบวิธีวิจัยใหม่ล่าสุดสำรวจสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำไทยที่ ‘สาหัส’ เป็นอันดับต้นๆ ของโลก

ธนสักก์ เจนมานะ

12 Dec 2018

Economy

15 Mar 2018

การท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจไทย

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ตั้งคำถาม ใครได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวบูม และเราจะบริหารจัดการผลประโยชน์และสร้างความยั่งยืนให้กับรายได้จากการท่องเที่ยวได้อย่างไร

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย

15 Mar 2018

Economy

19 Mar 2018

ทางออกอยู่ที่ทุนนิยม

ในยามหัวเลี้ยวหัวต่อของบ้านเมือง ผู้คนสิ้นหวังกับปัจจุบัน หวาดหวั่นต่ออนาคต และสั่นคลอนกับอดีตของตนเอง
วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร เสนอทุนนิยมให้เป็น ‘grand strategy’ ใหม่ของประเทศไทย

วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร

19 Mar 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save