ปกป้อง จันวิทย์ เรื่อง
แล้ว โจ ไบเดน ก็ทำได้สำเร็จ!
การเลือกตั้งขั้นต้นที่เซาท์แคโรไลนา เมื่อวันเสาร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ 2020 เป็นชัยชนะครั้งแรกและครั้งใหญ่ที่สุดของไบเดนในศึกชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครตสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ผมไม่ได้หมายถึงแค่การเลือกตั้งในปีนี้เท่านั้น เพราะตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นความฝันของไบเดน วัย 77 ปี มาตั้งแต่เจ้าตัวอายุหลักสี่ (ไบเดนเป็นสมาชิกวุฒิสภารัฐเดลาแวร์มาตั้งแต่อายุ 30 ปี และได้รับเลือกตั้งอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 36 ปี ตั้งแต่ปี 1973-2009) ตลอด 32 ปีที่ผ่านมา เขาลงสนามเลือกตั้งประธานาธิบดีมาแล้ว 3 ครั้ง ในปี 1988, 2008 และ 2020
ครั้งแรก ไบเดนหนุ่มถอนตัวก่อนสนามเลือกตั้งขั้นต้นสนามแรกจะเริ่ม เพราะโดนแฉว่าไปลอกสปีชของนักการเมืองอังกฤษและเคยติด F สมัยเรียนเพราะเขียนอ้างอิงในเปเปอร์ไม่ถูกต้อง ครั้งที่สอง ขณะดำรงตำแหน่งประธานกรรมาธิการต่างประเทศ วุฒิสภา ลงแข่งสู้กับโอบามาและฮิลลารี คลินตัน แต่ก็ต้องถอนตัวไปตั้งแต่สนามแรก เพราะพ่ายยับได้คะแนนนิยมที่ไอโอวาแค่ 1% เท่านั้น ภายหลังโอบามาเลือกเขาเป็นคู่สมัครในตำแหน่งรองประธานาธิบดี และทำหน้าที่เคียงคู่โอบามาตลอด 8 ปีในทำเนียบขาว ระหว่างปี 2009-2017
สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 คล้ายว่าไบเดนจะถูกกงล้อประวัติศาสตร์บดขยี้บนถนนสู่ทำเนียบขาวเช่นเดิม เพราะสามสนามแรกที่โอไฮโอ นิวแฮมป์เชียร์ และเนวาดา ตัวเขาเข้าป้ายอันดับ 4, 5 และ 2 ตามลำดับ ขณะที่เบอร์นี แซนเดอร์ส ได้คะแนนเสียงสูงสุดในทุกสนาม ดังนั้น เดิมพันของไบเดนที่เซาท์แคโรไลนาคือต้องชนะเท่านั้น ชนะอย่างเดียวไม่พอ ต้องชนะให้ขาดด้วย
แม้ว่าไบเดนเป็นตัวเต็งในสนามนี้มาตลอด แต่ช่วงก่อนเลือกตั้ง ใจคอของเขาก็ต้องตุ๊มๆ ต้อมๆ เพราะผลโพลชี้ว่าคะแนนนิยมของแซนเดอร์สตีตื้นขึ้นมา จนอยู่ในระดับ 29% ต่อ 20% ทั้งที่เมื่อกลางปีที่แล้ว ไบเดนเคยนำแซนเดอร์สขาดลอย ที่ระดับ 40% ต่อ 15% ด้วยซ้ำไป
สุดท้าย เมื่อวันเลือกตั้งมาถึง ไบเดนก็สามารถกวาดคะแนนไปถึง 48% ทิ้งห่างแซนเดอร์สที่ได้ 20% ชนะขาดลอยถึงเกือบ 30% แถมยังชนะในทุกเคาน์ตีอีกด้วย ส่วนผู้ท้าชิงตัวเต็งคนอื่นๆ ล้วนได้สัดส่วนคะแนนเสียงต่ำสิบ เรียกว่า พลังของคนผิวดำในเซาท์แคโรไลนา (ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งกว่า 56% เป็นแอฟริกันอเมริกัน) จูงมือพาไบเดนกลับมาเดินแถวหน้าบนถนนสู่ทำเนียบขาวอีกครั้ง
โมเมนตัมจากชัยชนะในสามสนามแรกของลุงเบอร์นีก็ไม่สามารถเอาชนะความรักของพี่น้องผิวดำต่อไบเดนได้ ไบเดนได้คะแนนเสียงจากกลุ่มคนผิวดำถึง 64% ขณะที่แซนเดอร์สได้เพียง 15% เท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงคู่แข่งสายกลางของไบเดนอย่างพีท บูติจัจ ที่ได้แค่ 3% สอบตกอย่างสิ้นเชิงเบื้องหน้าผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งผิวสี
“ถ้าชาวเดโมแครตต้องการตัวแทนที่เป็นคนเดโมแครต — เดโมแครตตลอดชีวิต! เดโมแครตที่ภาคภูมิ! เดโมแครตแบบ ‘โอบามา-ไบเดน’! — มาร่วมสนับสนุนพวกเรา”
ไบเดนกล่าวปราศรัยบนเวทีประกาศชัยชนะ โดยมิวายแอบเนียนใช้ชื่อโอบามาหาเสียง
และท้าทายแซนเดอร์สว่า “เรามีโอกาสทั้ง ‘ชนะถล่มทลาย’ หรือ ‘แพ้ถล่มทลาย’ จะเลือกทางไหน”
แน่นอนว่า หนทาง ‘ชนะถล่มทลาย’ หมายถึง ให้เลือกไบเดนเป็นตัวแทนพรรค ไม่ใช่แซนเดอร์ส เพราะตัวเขาคือ ‘ทางเลือกหลัก’ ของเดโมแครตในการต่อสู้กับทรัมป์สำหรับคนที่ไม่เอาแซนเดอร์ส ลืมพีท บูติจัจ เอมี โคลบูชาร์ หรือไมเคิล บลูมเบิร์ก ไปได้แล้ว
ชัยชนะที่เซาท์แคโรไลนาของไบเดนคงจะทำให้ชนชั้นนำในพรรคเดโมแครตสบายใจขึ้นมาก และเสียงสนับสนุนของแกนนำพรรคสายกลางคงหลั่งไหลมาที่ไบเดนมากขึ้น เพราะส่วนใหญ่ต้องการสกัดแซนเดอร์สที่ไม่ใช่เดโมแครตพันธุ์แท้ และถูกมองว่ามีแนวคิดสุดโต่งซ้ายจัดเกินไป จนไม่น่าจะดึงดูดผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั่วประเทศ และไม่น่าจะเชื่อมร้อยฐานเสียงทั้งหมดของพรรคเดโมแครตได้ ก่อนการเลือกตั้งไม่กี่วัน เจมส์ ไคลเบิร์น ส.ส.เซาท์แคโรไลนา นักการเมืองผิวดำที่ถือว่าทรงอิทธิพลทางการเมืองสูงสุด แกนนำพรรคเดโมแครตเบอร์สามในสภาผู้แทนราษฎร ออกมาประกาศให้การสนับสนุนไบเดนอย่างเป็นทางการ และคาดว่าจะมีชนชั้นนำในพรรคเดโมแครตเปิดตัวออกมาสนับสนุนไบเดนมากขึ้นเพื่อ “หยุดเบอร์นี”
ถึงวันนี้ พรรคเดโมแครตเดินหน้าเข้าสู่ “วันมหาอังคาร” หรือ Super Tuesday ด้วยศึกยกต่อไประหว่างไบเดนกับแซนเดอร์ส แต่รอบนี้มีไวลด์การ์ดเพิ่มมาอีกหนึ่ง นั่นคือ อภิมหาเศรษฐี ไมเคิล บลูมเบิร์ก อดีตนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก ซึ่งเคยสังกัดทั้งพรรคเดโมแครต รีพับลิกัน และเป็นนักการเมืองอิสระ
บลูมเบิร์กมุ่งเป้าการหาเสียงมาที่ Super Tuesday เป็นหลัก โดยใช้เงินส่วนตัวหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐยิงโฆษณาตามสื่อต่างๆ ไปทั่วทั้ง 14 รัฐที่มีการเลือกตั้ง โดยเฉพาะสนามใหญ่อย่างแคลิฟอร์เนียและเท็กซัส
ความน่าสนใจคือ ‘เงิน’ จะ ‘ซื้อ’ คะแนนนิยมให้บลูมเบิร์กได้มากน้อยแค่ไหน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา บลูมเบิร์กใช้เงินตัวเอง (ว่ากันว่าประมาณ 1.5-3 ล้านเหรียญสหรัฐ) ซื้อเวลาของสถานีโทรทัศน์ CBS และ NBC ยาว 3 นาที เพื่อคุยกับคนอเมริกันก่อน Super Tuesday อย่างที่ผู้สมัครคนอื่นทำไม่ได้ แต่ถ้าดูจากผลเลือกตั้งของผู้สมัครอีกคนหนึ่งคือ ทอม สเตเยอร์ มหาเศรษฐีเจ้าของเฮดจ์ฟันด์ ซึ่งทุ่มทุนลงเงินร่วม 200 ล้านเหรียญสหรัฐในศึกเลือกตั้งขั้นต้น ก็จะเห็นว่าเงินไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาด เพราะสเตเยอร์ต้องถอนตัวไปอย่างชอกช้ำหลังการเลือกตั้งที่เซาท์แคโรไลนาโดยไม่ได้คะแนน delegates สักคนเดียว วันอังคารนี้เราก็จะได้รู้กันว่ายุทธศาสตร์ของบลูมเบิร์กจะสำเร็จแค่ไหน
การลงแข่งของบลูมเบิร์กเป็นหนามตำใจไบเดน เพราะแย่งชิงคะแนนเสียงในกลุ่มสายกลางเช่นเดียวกับเขา รวมถึงเมเยอร์พีทและโคลบูชาร์ด้วย โอกาสของแซนเดอร์สจึงเปิดกว้าง เพราะคู่แข่งอีก 4 คนแย่งคะแนนเสียงกันเอง (ตอนนี้เริ่มมีข่าวว่าพีท บูติจัจ อาจจะถอนตัวเร็วๆ นี้) ส่วนตัวแซนเดอร์สเองแย่งเสียงกับอลิซาเบธ วอร์เรน เป็นหลัก ซึ่งในสนามที่ผ่านมา ลุงเบอร์นีชนะขาด
พรรคเดโมแครตในวันนี้จึงแตกออกเป็นสองขั้ว คือ ขั้วกลางและขั้วซ้าย ซึ่งน่าจะมีไบเดนกับแซนเดอร์สเป็นตัวแทนของแต่ละขั้ว สงครามภายในพรรคเดโมแครตคงยังไม่จบลงใน Super Tuesday เผลอๆ อาจจะต้องลากยาวไปจนถึงที่ประชุมใหญ่ระดับชาติของพรรคเดโมแครตที่วิสคอนซินในเดือนกรกฎาคมก็เป็นได้
“พรรคเดโมแครตต้องการชาวเดโมแครตเป็นตัวแทนพรรค ไม่ใช่พวกสังคมนิยม ไม่ใช่อดีตรีพับลิกัน ต้องเดโมแครต”
โจ ไบเดน ตอกย้ำเลือดเดโมแครตของตัวเองในรายการสัมภาษณ์ของ Fox News ก่อน Super Tuesday เขาแบรนด์แซนเดอร์สเป็น “สังคมนิยม” แบบที่พวกรีพับลิกันชอบทำ และยังแซะบลูมเบิร์กที่ย้ายพรรคไปมา
Super Tuesday ครั้งนี้จึงร้อนแรงไม่แพ้ทุกครั้ง
คงต้องจับตากันต่อว่า ขั้วไหนในเดโมแครตจะได้เป็นตัวแทนพรรคไป “หยุดทรัมป์” แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น ละสายตาไม่ได้เช่นกันว่า ยุทธการ “หยุดเบอร์นี” ของคนในพรรคจะส่งผลอย่างไรต่อเดโมแครตเอง.