fbpx

สงครามค้ายาเสพติด สู่ปัญหาความรุนแรงในเม็กซิโก

ในอดีต เมื่อเรานึกถึงความรุนแรงอันเกิดมาจากสงครามค้ายาเสพติดในลาตินอเมริกา เราจะนึกถึงประเทศโคลอมเบียที่มี Pablo Escobar เป็นพ่อค้ายาเสพติดที่ร่ำรวยติดระดับโลกและได้ทำการต่อสู้กับรัฐบาลโคลอมเบียอย่างรุนแรงในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1990 แต่ในปัจจุบัน กลุ่มพ่อค้ายาเสพติดในโคลอมเบียได้แตกตัวเป็นกลุ่มเล็กๆ ไม่ได้ตอบโต้รัฐบาลโคลอมเบียอย่างรุนแรงเหมือนในอดีต โดยความรุนแรงอันเกิดมาจากสงครามค้ายาเสพติดได้เปลี่ยนหมุดหมายมาที่เม็กซิโกแทน

ความรุนแรงอันเกิดมาจากสงครามค้ายาเสพติดเริ่มต้นเมื่อรัฐบาลเม็กซิโกจับกุม Miguel Ángel Félix Gallardo ในปี 1989 โดย Miguel นั้นเป็นผู้นำและผู้ก่อตั้งกลุ่ม Guadalajara Cartel ซึ่งเป็นกลุ่มค้ายาเสพติดกลุ่มแรกในเม็กซิโก และยังมีความเกี่ยวเนื่องกับแก๊งค้ายาเสพติดอื่นๆ ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็น Sinaloa Cartel, Juarez Cartel, Tijuana Cartel และ Sonora Cartel การดำเนินการจับกุมหัวหน้าแก๊งค้ายาเสพติดในเม็กซิโกได้นำไปสู่ความรุนแรงอย่างมาก เพราะมีการต่อต้านอย่างรุนแรงจากแก๊งค้ายาเสพติดเหล่านั้น

ถึงแม้ว่าแก๊งค้ายาเสพติดในเม็กซิโกจะมีมานานหลายทศวรรษแล้วก็ตาม แต่แก๊งเหล่านี้เพิ่งจะมีบทบาทสำคัญหลังจากการเสื่อมถอยในอำนาจของแก๊ง Cali และแก๊ง Medellín ในโคลอมเบีย ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1990 ซึ่งส่งผลให้แก๊งค้ายาเสพติดในเม็กซิโกขึ้นมาครองอำนาจแทน ถึงขั้นที่ว่าในปี 2007 พบว่าโคเคนถึงราวร้อยละ 90 ที่เข้าสู่สหรัฐอเมริกา มาจากเม็กซิโก และมีการประมาณการว่าผลประโยชน์จากการค้ายาเสพติดนั้นอยู่ถึงระหว่าง 13.6-49.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในแต่ละปี

ช่วงเวลาที่ผ่านมาได้เกิดหลายความพยายามที่จะแก้ปัญหาการค้ายาเสพติดในเม็กซิโก โดยนับตั้งแต่ปี 1982 มีการแก้ไขกฎหมายไม่น้อยกว่า 5 ครั้ง เพื่อแก้ปัญหาคอร์รัปชันและลดความรุนแรงจากปัญหาการค้ายาเสพติด ขณะที่รัฐสภาของสหรัฐอเมริกาก็ผ่านกฎหมายในเดือนมิถุนายน 2008 เพื่อให้เงินช่วยเหลือสนับสนุนการปราบปรามการค้ายาเสพติดในเม็กซิโกเป็นมูลค่ากว่า 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายใต้โครงการ Mérida Initiative รวมถึงให้คำแนะนำทางเทคนิคในการสร้างความเข้มแข็งทางการทหารและระบบยุติธรรมของเม็กซิโก แต่ดูเหมือนว่าปัญหาก็ยังคงไม่ลดละ

ปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ส่งผลให้เม็กซิโกกลายเป็นแหล่งค้ายาเสพติดสำคัญ คือภูมิศาสตร์ของประเทศที่มีพรมแดนติดกับสหรัฐอเมริกา อันทำให้เม็กซิโกเป็นทางผ่านการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศผู้ผลิตในลาตินอเมริกากับสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้บริโภครายใหญ่ที่สุด โดยในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ราวๆ ทศวรรษที่ 1960 เริ่มมีการลำเลียงยาเสพติดผ่านเม็กซิโกไปยังสหรัฐอเมริกากันอย่างเป็นขบวนการ ขณะเดียวกันในช่วงระหว่างทศวรรษที่ 1960 และ 1970 เม็กซิโกเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการ Operation Intercept และ Operation Condor ซึ่งมีเป้าหมายในการทำสงครามต่อต้านการปลูกฝิ่นและกัญชาโดยเฉพาะในรัฐ Sinaloa ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเม็กซิโก โดยผู้นำในปฏิบัติการดังกล่าวของเม็กซิโกได้แก่นายพล José Hernández Toledo ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่มีความสามารถในการปราบปรามการเพาะปลูกฝิ่นในพื้นที่ดังกล่าว และยังใช้ความรุนแรงเพื่อทรมานคนในพื้นที่เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นยอมร่วมมือกับกองทัพ

ในช่วงระหว่างทศวรรษที่ 1970 และต้นทศวรรษที่ 1980 พ่อค้ายาเสพติดชาวโคลอมเบีย Pablo Escobar เป็นผู้นำในการส่งออกโคเคนและได้แสวงหาความร่วมมือกับแก๊งต่างๆ เพื่อสร้างเครือข่ายค้ายาเสพติดทั่วโลก โดย Medellín Cartel ของ Pablo Escobar และ Cali Cartel จะทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตโคเคนแล้วส่งต่อให้ Miguel Ángel Félix Gallardo หัวหน้ากลุ่ม Guadalajara Cartel เป็นคนกระจายยาเสพติดเข้าไปยังสหรัฐอเมริกา

การกระจายยาเสพติดทางบกสู่สหรัฐอเมริกาโดยผ่านเม็กซิโกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อรัฐบาลสหรัฐอเมริกาสามารถสกัดกั้นการขนส่งยาเสพติดทางอากาศและทางน้ำที่ผ่านทะเลแคริบเบียนได้ ทำให้แก๊งผู้ผลิตชาวโคลอมเบียร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดกับแก๊งกระจายยาเสพติดในเม็กซิโกเพื่อลักลอบนำเข้าโคเคนจากโคลอมเบียผ่านเม็กซิโกไปสู่จุดหมายปลายทางในสหรัฐอเมริกา โดยขบวนการดังกล่าวเป็นไปอย่างราบรื่น เนื่องจากแก๊งค้ายาเสพติดในเม็กซิโกมีประสบการณ์ในการค้าฝิ่นและกัญชามาก่อน ทำให้มีความชำนาญในการที่จะลักลอบนำโคเคนเข้าสู่สหรัฐอเมริกา โดยในระยะแรก แก๊งค้ายาในเม็กซิโกได้รับค่าจ้างเป็นเงินสด ก่อนที่ต่อมา นับตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1980 เป็นต้นมา แก๊งค้ายาในเม็กซิโกได้รับส่วนแบ่งเป็นโคเคนแทน ในอัตราระหว่างร้อยละ 35-50 ของปริมาณโคเคนแต่ครั้ง ด้วยเหตุนี้เอง แก๊งค้ายาเสพติดในเม็กซิโกจึงไม่ได้มีเพียงหน้าที่ในการเป็นผู้กระจายโคเคนของแก๊งค้ายาในโคลอมเบียเข้าสู่ตลาดสหรัฐอเมริกา แต่ยังจำหน่ายโคเคนที่ได้รับเป็นส่วนแบ่งมาจากพ่อค้าโคลอมเบียในตลาดสหรัฐอเมริกาอีกด้วย และในช่วงไม่กีปีที่ผ่านมา แก๊ง Sinaloa Cartel และแก๊ง Gulf Cartel ก็ยังเป็นผู้ที่กระจายโคเคนของโคลอมเบียไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกอีกด้วย

แก๊งค้ายาเสพติดต่างๆ ในเม็กซิโกมีการแก่งแย่งอำนาจชิงความเป็นผู้นำกันอยู่เสมอ เมื่อหัวหน้าแก๊งตายหรือถูกเจ้าหน้าที่รัฐจับกุม ก็มักนำไปสู่สงครามระหว่างลูกน้องในแก๊งเพื่อแย่งชิงกันขึ้นมาเป็นหัวหน้าคนใหม่ ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้แก๊งอื่นเข้ามาโจมตีได้โดยง่ายในช่วงการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว นอกจากนี้กฎหมายที่ออกมาโดยรัฐบาลกลางเม็กซิโกบางฉบับก็ส่งผลให้บางแก๊งต้องสูญเสียประโยชน์ จนต้องมีการส่งส่วยให้กับนักการเมืองระดับชาติเพื่อให้ออกกฎหมายเป็นประโยชน์ต่อแก๊งของตัวเอง หรือไม่ก็แอบส่งข้อมูลของฝ่ายตรงกันข้ามให้กับรัฐบาลกลางของเม็กซิโก รวมทั้งหน่วยปรามปรามยาเสพติดของสหรัฐอเมริกา

ในช่วงระหว่างที่พรรคปฏิวัติสถาบัน (The Institutional Revolutionary Party: PRI) ครองอำนาจในเม็กซิโกกว่า 70 ปี จนถึงปี 2000 บรรดาแก๊งค้ายาเสพติดได้ขยายอิทธิพลและแทรกแซงอำนาจทางการเมืองผ่านช่องทางต่างๆ ขณะที่นโยบายของรัฐบาลกลางมุ่งเน้นการกำจัดการปลูกฝิ่นและกัญชาในพื้นที่ชนบท โดยปราศจากการดำเนินงานอย่างจริงจังในการปราบปรามกองกำลังค้ายาเสพติดในเขตเมืองหลวง จนกระทั่งการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2000 ที่พรรค National Action Party (PAN) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวา ชูประเด็นเรื่องการปรามปรามกลุ่มพ่อค้ายาเสพติดเป็นนโยนายหลักในการหาเสียง และได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดี

Vicente Fox จากพรรค PAN ถือเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ไม่ได้มาจากพรรค PRI นับตั้งแต่สิ้นสุดการปฏิวัติเม็กซิโกในปี 1930 ในช่วงระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของเขา 6 ปีนั้นค่อนข้างสงบ อัตราการฆาตกรรมไม่แตกต่างจากรัฐบาลก่อนหน้านั้นสักเท่าไหร่นัก โดยมีอัตราที่ลดลงในระหว่างปี 2000-2007 ทำให้ประชาชนมีความคาดหวังที่ดีหลังจาก 70 ปีที่อยู่ภายใต้การปกครองของพรรค PRI นอกจากนี้ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว สื่อยังไม่ได้ให้ความสำคัญในการรายงานข่าวที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงจากปัญหายาเสพติดเท่าใดนัก แม้ว่าจะมีการต่อสู้กันระหว่างแก๊ง Sinaloa Cartel กับแก๊ง Gulf Cartel ก็ตาม ซึ่งมีการประมาณการว่าในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2005 มีคนตายประมาณ 110 คนที่เป็นผลมาจากการสู้รบของสองแก๊งดังกล่าว

ต่อมาในวันที่ 11 ธันวาคม 2006 ประธานาธิบดี Felipe Calderón แห่งพรรค PAN ซึ่งเพิ่งได้รับการเลือกตั้งได้ประกาศสงครามต่อต้านการค้ายาเสพติดอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก โดยส่งนายทหารกว่า 6,500 คน ไปยังรัฐ Michoacán เพื่อทำการปราบแก๊งค้ายาเสพติด ถือเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามต่อต้านการค้ายาเสพติดของรัฐบาลเม็กซิโกที่สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ประธานาธิบดี Calderón ได้เพิ่มขนาดของกองกำลังป้องกันและปราบปรามการค้ายาเสพติดไปเรื่อยๆ จนในปี 2008 มีเจ้าหน้าที่ทั้งสิ้น 45,000 คน ในช่วงแรกรัฐบาลประสบความสำเร็จในการปราบปรามกลุ่มพ่อค้ายาเสพติด ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจำกัดอยู่เฉพาะเมืองที่เป็นพรมแดนระหว่างเม็กซิโกและสหรัฐอเมริกา เช่นเมือง Ciudad Juárez, Tijuana และ Matamoros

แต่ต่อมา ความรุนแรงจากการปราบปรามแก๊งค้ายาเสพติดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยมีคนกว่า 15,000 คนเสียชีวิตในสงครามต่อต้านยาเสพติดครั้งนี้ นอกจากนั้นอีกกว่า 5,000 คนถูกฆาตกรรมในปี 2008 ต่อมาในปี 2009 มีมากกว่า 9,600 คน ขณะที่ในปี 2010 มีผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสงครามปราบปรามยาเสพติดกว่า 15,000 คน และมีการประมาณการว่าในช่วงระยะเวลา 6 ปีที่ประธานาธิบดี Calderón ดำรงอำนาจมีคนเสียชีวิตจากสงครามยาเสพติดไปทั้งสิ้นกว่า 50,000 คน ขณะที่บางสื่อได้ประมาณการตัวเลขผู้เสียชีวิตไว้สูงถึง 120,000 คน

ในปี 2012 เม็กซิโกได้ประธานาธิบดีคนใหม่ Enrique Peña Nieto จากพรรค PRI ซึ่งเขาประกาศว่ารัฐบาลของเขานั้นไม่สนับสนุนการที่สหรัฐอเมริกาจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับสงครามปราบปรามยาเสพติดในเม็กซิโก เขาจะทำการการปรับปรุงกองทัพเม็กซิโกให้สามารถต่อกรกับกลุ่มพ่อค้ายาเสพติดได้เอง โดยเขาจะมุ่งเน้นไปที่การจัดการหัวหน้าแก๊งและขัดขวางขบวนการเคลื่อนย้ายยาเสพติด อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะเวลาเพียงแค่ 14 เดือนที่ประธานาธิบดี Peña Nieto ดำรงตำแหน่งระหว่างเดือนธันวาคม 2012 ถึงเดือนมกราคม 2014 มีผู้เสียชีวิตจากสงครามปราบปรามยาเสพติดในเม็กซิโกถึง 23,640 คน

ในปี 2013 จำนวนของกองกำลังกึ่งทหารนอกกฎหมายฝ่ายขวาได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในทางตอนใต้ของประเทศ นำโดยเจ้าของที่ดิน ผู้เลี้ยงปศุสัตว์ และกลุ่มแรงงานภาคการเกษตรอื่นๆ ซึ่งได้ลุกขึ้นมาจับอาวุธต่อสู้กับกองกำลังค้ายาเสพติดที่ขยายอำนาจเข้ามาในพื้นที่ของพวกเขาด้วยตนเอง กลายเป็นตัวละครกลุ่มใหม่ที่เข้ามาเกี่ยวพันกับความรุนแรงในสงครามค้ายาเสพติดในเม็กซิโก

ในตอนแรกรัฐบาลของ Peña Nieto มีความใกล้ชิดและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารทางด้านความมั่นคงกับกองกำลังกึ่งทหารเหล่านี้ แต่ต่อมาเมื่อกองกำลังเหล่านี้เริ่มการกระทำที่ละเมิดกฎหมายมากขึ้น รัฐบาลของ Peña Nieto ก็เริ่มตีตัวออกห่าง นอกจากนี้รัฐบาลของ Peña Nieto ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์เมื่อเกิดเหตุการณ์ลักพาตัวและสังหารหมู่นักศึกษาชายจำนวน 43 คนที่ออกมาแสดงความเห็นต่อต้านการกระทำที่ผิดกฎหมายของภรรยานายกเทศมนตรีเมือง Iguala ในเดือนกันยายน 2014 รวมทั้งการที่ Joaquín “El Chapo” Guzmán สามารถหลบหนีออกจากคุกที่มีความมั่นคงสูงสุดของประเทศในปี 2015 นอกจากนี้ในปี 2017 รัฐบาลของ Peña Nieto ยังออกกฎหมายความมั่นคงภายในฉบับใหม่ ซึ่งถูกวิจารณ์จากหน่วยงานทางด้านสิทธิมนุษยชนว่าเป็นการเพี่มอำนาจอย่างมากให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งอาจจะนำไปความรุนแรงได้

ปัจจุบัน เม็กซิโกอยู่ภายใต้การนำของประธานาธิบดี Andrés Manuel López Obrador จากกลุ่มการเมืองฝ่ายซ้าย MORENA ซึ่งเข้าดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2018 เขามีนโยบายยุทธศาสตร์เพื่อความสงบสุขด้วยการนิรโทษกรรมแก่ผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด อันมาจากความคาดหวังว่านโยบายดังกล่าวจะช่วยลดความรุนแรงที่เกี่ยวเนื่องกับการค้ายาเสพติดลง โดยการนิรโทษกรรมนั้นทำให้แต่เพียงเฉพาะนักค้ายาหน้าใหม่ไม่ใช่นักค้ายาระดับหัวหน้า นอกจากนี้ประธานาธิบดี Obrador ยังมองว่าความเหลื่อมล้ำในทุกมิติในสังคมเม็กซิโกเป็นพื้นฐานของปัญหาความรุนแรงที่เกิดจากการค้ายาเสพติด ต่อมาในปี 2019  ประธานาธิบดี Obrador จัดตั้ง The Mexican National Guard ซึ่งเป็นการรวมตัวของหัวกะทิของหน่วยงานความมั่นตงต่างๆ ทั้งจากตำรวจ กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพบก เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการจัดการปัญหาความรุนแรงที่เกิดจากการค้ายาเสพติด

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเปลี่ยนยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหา แต่ในช่วงสองเดือนแรกที่ประธานาธิบดี Obrador ดำรงตำแหน่ง ความรุนแรงจากการค้ายาเสพติดยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องในระดับเดียวกันกับรัฐบาลก่อนหน้านั้น ต่อมาในวันที่ 30 มกราคม 2019 ประธานาธิบดี Obrador ประกาศว่าสงครามการค้ายาเสพติดได้สิ้นสุดลงแล้ว และเขาจะมุ่งในการแก้ไขปัญหาการลักลอบขโมยน้ำมันจากท่อขนส่งน้ำมันภายในประเทศแทน โดยในแต่ละวันรัฐบาลต้องสูญเสียน้ำมันไปกว่า 70,000 บาร์เรลให้กับการลักลอบขโมยน้ำมัน

อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงที่เกิดจากสงครามการค้ายาเสพติดยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แนวทางในการหลีกเลี่ยงการปะทะทางการทหารของรัฐบาลประธานาธิบดี Obrador ขณะที่พ่อค้ายาเสพติดยังมีบทบาทและอำนาจสูง ถูกตั้งคำถามว่าเม็กซิโกกำลังเดินมาถูกทางหรือไม่ในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงอันเกิดมาจากสงครามค้ายาเสพติด

ความรุนแรงอันเกิดมาจากสงครามค้ายาเสพติดในเม็กซิโกได้ส่งผลให้เม็กซิโกติดลำดับ 1 ใน 10 ของประเทศที่มีอัตราการฆาตกรรมสูงที่สุดในโลกในปัจจุบัน อัตราฆาตกรรมที่สูงนี้นับว่ายังคงเป็นปัญหาที่สำคัญที่เม็กซิโกแก้ไม่ตก เราจึงต้องจับตามองเม็กซิโกกันต่อไปว่าท้ายที่สุดแล้ว จะลงเอยอย่างไร จะประสบความสำเร็จในการจัดการปัญหาความรุนแรงอันเกิดมาจากสงครามค้ายาเสพติด หรือกลายเป็นรัฐที่ล้มเหลวเหมือนกับที่โคลอมเบียเคยเป็นในปี 2001

MOST READ

World

1 Oct 2018

แหวกม่านวัฒนธรรม ส่องสถานภาพสตรีในสังคมอินเดีย

ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก สำรวจที่มาที่ไปของ ‘สังคมชายเป็นใหญ่’ ในอินเดีย ที่ได้รับอิทธิพลสำคัญมาจากมหากาพย์อันเลื่องชื่อ พร้อมฉายภาพปัจจุบันที่ภาวะดังกล่าวเริ่มสั่นคลอน โดยมีหมุดหมายสำคัญจากการที่ อินทิรา คานธี ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์

ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก

1 Oct 2018

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save