“…ผู้หญิงแบกท้องฟ้าไว้อีกครึ่งหนึ่ง…”[1]
– บทบรรณาธิการ ‘ประชาชนรายวัน’ (人民日报), 10 กรกฎาคม ค.ศ.1964
วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา คือวาระครบรอบ 100 ปีแห่งการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในปี ค.ศ.1921 ที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนก่อกำเนิดขึ้นเป็นห้วงเวลาแห่งการแสวงหาของปัญญาชนและคนหนุ่มสาวร่วมสมัย ความเสื่อมถอยของสังคมจีนได้ปรากฎขึ้นต่อหน้าต่อตาของพวกเขา ไม่มีห้วงเวลาใดในประวัติศาสตร์ที่คนหนุ่มสาวจะสำนึกถึง ‘ความเป็นจีน’ แต่ก็พยายามสลัดทิ้ง ‘ความเป็นจีน’ ได้มากเท่าห้วงเวลานั้นอีกแล้ว เมื่อ ‘ความเป็นจีน’ ตามค่านิยมแบบขงจื่อที่ขับเคลื่อนสังคมจีนมานานนับพันๆ ปีไม่สามารถทำให้จีนหลุดพ้นจากความเสื่อมถอยได้อีกต่อไป ปัญญาชนและคนหนุ่มสาวจึงจำเป็นต้องแสวงหา ‘ความเป็นจีน’ แบบใหม่จากที่อื่น – ลัทธิคอมมิวนิสม์ก็เป็นหนึ่งในอุดมการณ์ที่หยิบยื่นคำตอบให้กับพวกเขาในขณะนั้น
ปี ค.ศ.1921 แม้จักรวรรดิชิงจะล่มสลายลงไปแล้ว แต่จีนก็เป็นสาธารณรัฐเพียงแค่ในนามเท่านั้น[2] พวกขุนศึกผลัดเปลี่ยนกันครองอำนาจ เพียง 4 ปีให้หลัง ผู้นำขบวนการสาธารณรัฐอย่างซุน ยัตเซ็นก็เสียชีวิตไปพร้อมกับคำมั่นสัญญาที่ยังไม่บรรลุผล จีนยังไม่เป็นประชาธิปไตยและกรรมสิทธิ์ที่ดินก็ยังไม่ได้รับการปฏิรูป ผู้หญิงจีนยังต้องมัดเท้าและถูกบังคับให้แต่งงานแบบคลุมถุงชน
แม้เจียง ไคเช็กที่ขึ้นมากุมอำนาจในพรรคกั๋วหมินต่างแทนซุน ยัตเซ็นจะสามารถทำยุทธการณ์ปราบขุนศึกภาคเหนือได้จนสำเร็จในปี ค.ศ.1927 แต่สภาพสังคมก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ในทางตรงกันข้าม เจียง ไคเช็กยังได้ใช้โอกาสนี้กวาดล้างอิทธิพลของฝ่ายซ้ายในเมืองจนพวกคอมมิวนิสต์ต้องถอยร่นไปอยู่ในเขตป่าเขา
ยุทธการณ์กวาดล้างพวกคอมมิวนิสต์ดำเนินอยู่เป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งกองทัพรัฐบาลกั๋วหมินต่างสามารถปิดล้อมฐานที่มั่นในภาคใต้ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีประชากรราว 3 ล้านคนได้สำเร็จ แต่นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของยุทธการฝ่าวงล้อมและการถอยร่นทางยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญของกองทัพแดงที่เรียกว่า ‘การเดินทัพทางไกล’ (The Long March)
การเดินทัพทางไกลเริ่มต้นขึ้นในเดือนตุลาคมปี ค.ศ.1934 เมื่อกองทัพส่วนหน้าที่ประกอบด้วยชายฉกรรจ์ 85,000 คนและกองหลังอีกราว 6 พันคนที่มีเด็ก คนชรา และผู้หญิงอีก 30 คน ต้องเดินทัพฝ่าการปิดล้อมของกองทัพรัฐบาลออกไป – ในการเดินทัพที่กินระยะทางประมาณ 10,000 กิโลเมตร และใช้เวลาทั้งหมด 2 ปี (ค.ศ.1934 – 1936) มีคนเพียงแค่ 1 ใน 5 เท่านั้นที่ร่วมการเดินทัพทางไกลได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
ในประวัติศาสตร์ฉบับทางการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน การเดินทัพทางไกลถือเป็นจุดหักเหสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้ความเพลี่ยงพล้ำของพวกเขาแปรเปลี่ยนเป็นชัยชนะในอีก 13 ปีต่อมา และดังที่เหมา เจ๋อตงเขียนบทกวี “เดินทัพทางไกล” เอาไว้ว่า “…กองทัพแดงมิได้พรั่นหวาดหวั่นไหว มุ่งเดินทัพทางไกลสุดแสนเข็ญ หมื่นแม่น้ำพันภูดูยากเย็น ใช่จักเป็นอุปสรรคจนหนักใจ…”[3] การเดินทัพทางไกลกลายเป็นตำนานแห่งความเสียสละ แห่งความไม่ย่อท้อเพื่อบรรลุซึ่งอุดมคติที่ไม่มีความท้าทายใดสามารถเทียบเท่า แต่ในมุมหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยวีรกรรมอันอาจหาญของผู้พลีชีวิตให้กับการปฏิวัติ ยังมีเรื่องราวของผู้หญิง 30 คนที่เริ่มต้นออกเดินทัพทางไกล พวกเธอไม่เพียงต้องฝ่าฟันอุปสรรคอันเลวร้ายเช่นเดียวกับทหารแห่งกองทัพแดงคนอื่นๆ แต่พวกเธอยังต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานับประการในฐานะที่เป็นผู้หญิง
ผู้เขียนกำลังกล่าวถึงหนังสือเรื่อง ‘Women of the Long March’ (สตรีแห่งการเดินทัพทางไกล) ของ Lily Xiao Hong Lee ที่บอกเล่าชีวิตของผู้หญิงทั้ง 30 คน เรื่องราวของพวกเธอเต็มไปด้วยอุดมคติ ความใฝ่ฝัน เลือดเนื้อ และน้ำตา – ผู้หญิงทั้ง 30 คนมาจากพื้นเพที่ต่างกัน หลายคนมาจากครอบครัวชาวนาที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ และต้องถูกขายเป็นเจ้าสาวเพื่อประทังชีวิต (ด้วยความหวังว่าพวกเธออาจจะมีชีวิตที่ดีกว่า) บางคนมาจากครอบครัวคหบดีหรือปัญญาชน แต่พวกเธอล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือความใฝ่ฝันถึงสังคมที่ดีกว่า[4]
หนังสือ ‘Women of the Long March’ ไม่เพียงแค่ติดตามชีวิตของผู้หญิงเหล่านี้ในช่วงการเดินทัพทางไกลเท่านั้น แต่ยังได้บอกเล่าเรื่องราวของพวกเธอตั้งแต่เริ่มออกเดินทัพทางไกลจนถึงเวลาที่หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1999 หนังสือเล่มนี้จึงนับได้ว่าเป็นการศึกษาชะตากรรมของผู้หญิงแห่งการเดินทัพทางไกลที่สมบูรณ์ที่สุดก็ว่าได้ ‘Women of the Long March’ ทำให้เราได้เห็นว่า การต่อสู้ของพวกเธอไม่ได้จบลงเมื่อการเดินทัพทางไกลสิ้นสุด มีหลายคนที่เสียชีวิตในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม และมีบางคนที่ชะตากรรมทำให้เธอต้องพลัดพรากทั้งจากครอบครัวและจากสถานะอันคู่ควรในฐานะนักปฏิวัติรุ่นบุกเบิก
ในจำนวนผู้หญิงทั้ง 30 คนนี้ ครึ่งหนึ่งเป็นภรรยาของสมาชิกพรรคระดับนำ เช่น เหอ จื่อเจิน (ภรรยาของเหมา เจ๋อตง) เติ้ง หยิ่งเชา (ภรรยาของโจว เอินไหล) และคัง เค่อชิง (ภรรยาของจู เต๋อ) และมีอยู่ 11 คนที่ผู้เขียนหนังสือนิยามว่าเป็น ‘คนที่ไม่มีเส้นสาย’ – ใน 11 คนนี้ มีเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่จับใจผู้เขียนเป็นพิเศษ เธอชื่อว่า ‘หวัง เฉวียนย่วน’ (王泉媛)
หวัง เฉวียนย่วน เกิดในตระกูลชาวนายากจนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ของมณฑลเจียงซีในปี ค.ศ.1913 เธออาจจะโชคดีกว่าลูกสาวชาวนาคนอื่นเล็กน้อยตรงที่ไม่ได้ถูกขายเป็นเจ้าสาวตั้งแต่ยังเด็ก ถึงกระนั้นก็ยังหนีไม่พ้นจากการถูกจับคลุมถุงชนเมื่อมีอายุได้ 17 ปี แต่ในปีเดียวกันนั้นเอง เธอก็ได้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์
หวัง เฉวียนย่วนเข้าร่วมกองทัพแดงในเวลาที่มณฑลเจียงซีกำลังลุกไหม้ไปด้วยไฟปฏิวัติ สภาพภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยภูเขาทำให้ผลผลิตทางการเกษตรได้มาอย่างยากลำบาก จู เต๋อ ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนเล่าว่าพวกเจ้าที่ดินในเจียงซีเรียกเก็บผลผลิตจากชาวนามากถึงร้อยละ 70 เมื่อกองทัพแดงมาถึงเจียงซี พวกเขายึดทรัพย์ของเจ้าที่ดินแล้วเอามาแจกจ่าย จัดสรรที่ดินให้ชาวนาเสียใหม่ ด้วยเหตุนี้เอง ประชาชนจำนวนมากจึงเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์
การทุ่มเทชีวิตให้กับการปฏิวัติทำให้สามีของหวัง เฉวียนย่วนพยายามขัดขวาง เขาไม่ได้สนใจเรื่องการเมืองอะไร เพียงแต่กลัวว่าเธอจะละทิ้งงานบ้านงานเรือน ‘หน้าที่’ สำคัญที่สุดของผู้หญิง – หวัง เฉวียนย่วนตัดสินใจทิ้งสามีและเลือกงานปฏิวัติ
ภายในเวลาเพียง 3 ปีนับจากนั้น หวัง เฉวียนย่วนได้เป็นผู้แทนระดับชาติของสภาสตรีแห่งพรรคคอมมิวนิสต์ และได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยทางการเมืองของรุ่ยจิน เมืองหลวงของเขตปลดแอกที่ตั้งอยู่ในฐานที่มั่นทางตอนใต้ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่เมื่อเดือนตุลาคมของปี ค.ศ.1943 มาถึง เธอก็ได้รับคำสั่งให้อพยพออกจากรุ่ยจินพร้อมกับสมาชิกกองทัพแดงอีกราว 9 หมื่นนาย – นี่คือจุดเริ่มต้นการเดินทัพทางไกลของเธอ[5]
แม้ว่าการเดินทัพทางไกลของกองทัพแดงจะใช้เวลาราว 2 ปีนับตั้งแต่พวกเขาเริ่มออกเดินทางจากฐานที่มั่นในภาคใต้สู่ฐานที่มั่นทางภาคเหนือในมณฑลซานซี แต่หนังสือ ‘Women of the Long March’ บอกให้เราได้ทราบว่า ‘การเดินทัพทางไกล’ ของหวัง เฉวียนย่วนนั้นใช้เวลามากถึง 51 ปี
เปล่า – เธอไม่ได้พลัดหลงระหว่างทางหรือสูญหายไปในห้วงเวลาอื่นตลอดระยะเวลา 51 ปีนั้น แต่ชะตากรรมทำให้ชีวิตอันผกผันของเธอต้องพลัดพรากทั้งจากสามี จากกองทัพแดง และจากการปฏิวัติ – หวัง เฉวียนย่วนต้องใช้เวลาถึง 51 ปีในการทวงคืนฐานะอันชอบธรรมของเธอ
ไม่ต่างจากเส้นทางการเดินทัพอันซับซ้อนและวกวนเพื่อหลีกหนีการไล่ล่าของกองทัพรัฐบาลกั๋วหมินต่าง ชีวิตของหวัง เฉวียนย่วนที่ติดตามกองทัพแดงก็ผกผันไม่แพ้กัน ในช่วงเวลา 1 ปีแรกของการเดินทัพทางไกล เธอได้เผชิญหน้ากับการฝ่าแนวปิดล้อมสุดท้ายของรัฐบาลที่ทำให้กองทัพแดงเหลือทหารเพียงหมื่นกว่านาย เธอได้แต่งงานใหม่กับสมาชิกพรรคระดับสูงคนหนึ่งและมีโอกาส ‘ร่วมหอ’ กับเขาเพียงคืนเดียว เธอต้องปีนภูเขาหิมะสูง 4 พันเมตรในเวลาที่อ่อนเพลียจากประจำเดือน การใช้ร่างกายอย่างหฤโหดในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นทำให้เธอเป็นหมันและมีปัญหาสุขภาพไปตลอดชีวิต[6]
หลังการข้ามภูเขาหิมะคือการบรรจบกันของกองทัพแดง 2 สายที่นำโดยโจว เอินไหลและเหมา เจ๋อตงจากฐานที่มั่นในเจียงซี และสายที่นำโดยจาง กั๋วเทาจากฐานที่มั่นในมณฑลหูหนาน การบรรจบกันทำให้กองทัพแดงอยู่ในบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองชั่วคราว แต่หวัง เฉวียนย่วนต้องพลัดพรากกับสามีของเธออีกครั้งเมื่อความไม่ลงรอยเรื่องทิศทางการต่อสู้ทำให้เหมา เจ๋อตงและจาง กั๋วเทาตัดสินใจแยกเดินทัพกัน หวัง เฉวียนย่วนต้องเดินทัพไปกับจาง กั๋วเทา ส่วนสามีของเธอต้องเดินทัพไปกับเหมา เจ๋อตง – นี่เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่หวัง เฉวียนย่วนจะได้พบกับสามีของเธออีกครั้งในเวลา 46 ปีต่อมา ในเวลานั้นเธอจะเป็นเพียงหญิงชาวนาจากชนบทคนหนึ่ง ส่วนเขาคืออดีตรัฐมนตรีกระทรวงการสื่อสารและอดีตผู้ว่าการมณฑลหูหนาน
หลังจากการแยกทัพ เหมา เจ๋อตงเดินทัพขึ้นเหนือโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ฐานที่มั่นในมณฑลซานซี ส่วนจาง กั๋วเทาเลือกเดินทัพลงใต้และทำให้พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับกองทัพของรัฐบาลกั๋วหมินต่างอีกครั้ง ความสูญเสียชีวิตนับหมื่นทำให้จาง กั๋วเทายอมถอยร่นสู่ทิเบตหวังใช้ฤดูหนาวอันโหดร้ายเป็นปราการจากการไล่ล่าของกองทัพรัฐบาล แต่นี่หมายความว่ากองทัพแดงของจาง กั๋วเทาต้องข้ามภูเขาหิมะอีกครั้ง เป็นเวลาหลายเดือนในทิเบตกว่าที่จาง กั๋วเทาจะยอมรับคำสั่งของพรรคที่ให้เดินทัพสู่มณฑลซานซี แต่การเลือกเส้นทางเดินทัพตัดผ่านดินแดนกานซู่ซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มขุนศึกมุสลิมแซ่หม่าที่สวามิภักดิ์กับรัฐบาลกั๋วหมินต่างได้พิสูจน์ว่าเป็นหายนะ
กองทัพของขุนศึกมุสลิมที่มีความเชี่ยวชาญด้านการรบบนหลังม้าทำให้กองทัพของจาง กั๋วเทาพ่ายแพ้แตกกระเจิง ผู้หญิงกว่าครึ่งหนึ่งถูกสังหาร บางส่วนที่รอดไปได้ต้องแยกกันเดินเป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อไปสมทบกับกองทัพแดงที่ฐานที่มั่นในมณฑลซานซี ผู้หญิงอีกราวร้อยกว่าคนที่ถูกจับเป็นเชลย บ้างถูกทรมานเค้นความลับ บ้างถูกข่มขืนซ้ำแล้วซ้ำอีกและบังคับให้เป็นภรรยาน้อยของทหารในกองทัพของขุนศึกมุสลิมแซ่หม่า หวัง เฉวียนย่วนเป็นหนึ่งในผู้หญิงกลุ่มนี้ แม้เธอจะยอมรับชะตากรรมเฉพาะหน้า แต่หวัง เฉวียนย่วนยังเฝ้ารอโอกาสหลบหนีเพื่อไปร่วมกับกองทัพแดงอีกครั้ง[7] เธอรอคอยโอกาสนี้อยู่ถึง 2 ปี
หวัง เฉวียนย่วนในวัยชราจดจำวันนั้นได้เป็นอย่างดี คืนวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ.1939 เธอหลบหนีออกจากบ้านขุนศึกแซ่หม่า เมื่อ ‘สามี’ ของเธอถูกส่งไปประจำการต่างเมือง สิ่งแรกที่หวัง เฉวียนย่วนทำ คือการเดินทางไปยังสำนักงานลับของพรรคคอมมิวนิสต์ในเมืองที่ใกล้ที่สุด แต่แล้วโอกาสที่เธอรอคอยมาอย่างยาวนานกลับกลายเป็นการถูกปฏิเสธจากคนใน ‘ครอบครัว’ ของเธอเอง พรรคคอมมิวนิสต์ปฏิเสธที่จะรับเธอเข้าร่วมกับกองทัพแดงอีกครั้ง และความเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ของเธอขาดลงตั้งแต่เมื่อ 1 ปีก่อน มติของคณะกรรมการกลางฯ ถือว่าบุคคลซึ่งไม่สามารถกลับเข้าร่วมกับกองทัพแดงในมณฑลซานซีภายในเวลา 2 ปีนับตั้งแต่เข้าร่วมกับกองทัพของจาง กั๋วเทา เป็นคนทรยศ
หากนับตั้งแต่วันที่หวัง เฉวียนย่วนเข้าสังกัดกองทัพของจาง กั๋วเทา จนกลายเป็นเชลยในบ้านของขุนศึกมุสลิมแซ่หม่าก็กินเวลา 3 ปีกว่าแล้ว คำอธิบายของเธอเรื่องการถูกจับเป็นเชลยไม่เป็นผล กองทัพแดงและพรรคคอมมิวนิสต์เลือกหันหลังให้กับเธอ
นี่คือจุดเริ่มต้นของ ‘การเดินทัพทางไกล’ อีกครั้งของหวัง เฉวียนย่วน การเดินทัพทางไกลเพื่อทวงคืนสถานะอันชอบธรรม
ในอีก 10 ปีถัดมา พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะเป็นฝ่ายได้ชัยชนะในสงครามกลางเมือง และในวันที่ 1 ตุลาคมของปี ค.ศ.1949 เหมา เจ๋อตงจะยืนบนพลับพลาเทียนอานเหมินประกาศสถาปนารัฐบาลกลางแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน อดีตผู้เข้าร่วมเดินทัพทางไกลกลายเป็นวีรชนที่ยังมีชีวิต – แต่หวัง เฉวียนย่วนอยู่ที่ไหน?
หลังจากถูกปฏิเสธจากพรรคคอมมิวนิสต์ในปี ค.ศ.1939 หวัง เฉวียนย่วนผู้ไม่มีสถานะทางกฎหมายนับตั้งแต่เธอกลายเป็น ‘โจรคอมมิวนิสต์’ ในวัย 17 ปี ก็เลือกการแต่งงานใหม่กับคนขับรถบรรทุก ทั้งสองคนเดินทางกลับบ้านเกิดของเธอที่เจียงซี ส่วนสามีตัดสินใจเข้าร่วมกับกองทัพรัฐบาลกั๋วหมินต่างเพื่อรบกับกองทัพญี่ปุ่นในตอนเหนือของพม่า หวัง เฉวียนย่วนรอคอยการกลับมาของสามี แต่เมื่อ 2 ปีผ่านไป สิ่งที่เธอได้รับรู้ก็คือสามีมีภรรยาใหม่เสียแล้ว – หวัง เฉวียนย่วนกลายเป็นม่ายอีกครั้ง
การเป็นม่ายและเป็นอดีต ‘โจรคอมมิวนิสต์’ ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียวในชนบท ที่บ้านเกิดของเธอ คนกลุ่มหนึ่งรังเกียจที่เธอเป็นคอมมิวนิสต์ และคนอีกกลุ่มหนึ่งก็รังเกียจที่เธอเป็น ‘คนทรยศ’ ต่อพรรคคอมมิวนิสต์ หวัง เฉวียนย่วนเป็นม่ายอยู่ 4 ปีก่อนที่เธอจะยอมแต่งงานใหม่กับสามีผู้เคยเป็นอดีตทหารกองทัพแดงเหมือนกัน ภูมิหลังของสามีเธอคนนี้ไม่ต่างจากเธอมากนัก เขาถูกกองทัพรัฐบาลกั๋วหมินต่างจับเป็นเชลยในการสู้รบ และเมื่อได้รับการปล่อยตัวออกมาจากคุก เขาก็เลือกที่จะหันหลังให้กับการปฏิวัติและใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ ในชนบท
ในฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ.1949 เมื่อทราบข่าวการมาถึงของกองทัพแดงในเมืองที่ไม่ไกลออกไป หวัง เฉวียนย่วนและสามีพากันเดินเท้าไปต้อนรับพวกเขาเป็นคนแรกๆ ชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์ที่เธอใฝ่ฝันอาจมาถึงแล้ว แต่หวัง เฉวียนย่วนไม่ได้ยืนอยู่ท่ามกลางเพื่อนร่วมรบของเธอในฐานะนักรบแห่งกองทัพแดงอีกต่อไป ครั้งนี้เธอเป็นเพียงผู้ชม
หลังการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน หวัง เฉวียนย่วนและสามีได้มีส่วนรวมในกิจกรรมทางการเมืองอีกครั้ง เธอรับผิดชอบการดูแลสวัสดิภาพของสตรีและเป็นหัวหอกของขบวนการปฏิรูปที่ดินในท้องถิ่น สามีของเธอได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำหมู่บ้าน แต่ก็เช่นเดียวกันกับคนจีนอีกหลายร้อยล้านคน พวกเขาต้องเผชิญกับแคมเปญทางการเมืองอันไม่รู้จบสิ้นในช่วง 20 ปีแรกของการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน จากขบวนการร้อยบุปผาบานพร้อมพรัก สู่ขบวนการกำจัดฝ่ายขวา และจากการก้าวกระโดดใหญ่สู่การปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรมของชนชั้นกรรมาชีพ – ความพยายามขอเข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์อีกครั้งของหวัง เฉวียนย่วนถูกปฏิเสธ
ในห้วงเวลานี้เองที่สามีของเธอถูกกล่าวหาว่าไม่จริงจังต่อการจัดการกับพวกเจ้าที่ดิน เขาถูกจำคุกในข้อหาคอร์รัปชัน ส่วนหวัง เฉวียนย่วนผู้เป็นภรรยาถูกรื้อฟื้นข้อหาเก่าๆ อย่างการเป็น ‘คนทรยศ’ ขึ้นมาอีกครั้ง แม้เธอจะไม่ถูกจำคุก แต่เธอก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งทางการเมืองต่างๆ และถูกส่งไปใช้แรงงานในฟาร์ม – หวัง เฉวียนย่วนตกลงปลงใจว่าเธอจะไม่ยอมรับความอยุติธรรมอย่างเงียบๆ อีกต่อไป เธอร่อนจดหมายถึงองค์กรของพรรคเพื่อประท้วงการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมที่เธอและสามีได้รับ แต่ดูเหมือนความพยายามของเธอจะได้รับคำตอบเป็นความว่างเปล่า จนกระทั่งในปี ค.ศ.1962 เมื่อหวัง เฉวียนย่วนทราบข่าวว่าคัง เค่อชิง ภรรยาของจูเต๋อ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพจีนเดินทางมามณฑลเจียงซีเพื่อรำลึกถึงความหลังก่อนการเดินทัพทางไกล หวัง เฉวียนย่วนตัดสินใจเขียนจดหมายหาคัง เค่อชิง และอดีตเพื่อนร่วมรบทั้งสองคนก็ได้พบกันอีกครั้งหลังจากเวลาผ่านไปถึง 26 ปี
คัง เค่อชิงช่วยสะสางประวัติของหวัง เฉวียนย่วนและโน้มน้าวให้พรรคฯ ยอมปล่อยตัวสามีของเธอ แต่ความช่วยเหลือของคัง เค่อชิงก็ไม่พอที่จะทำให้หวัง เฉวียนย่วนได้เป็นสมาชิกพรรคอีกครั้ง ในระเบียนประวัติของเธอยังคงมีข้อความ ‘ผู้มีภูมิหลังทางการเมืองที่ไม่ชัดเจน’ ประทับอยู่ และการปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรมของชนชั้นกรรมาชีพที่เกิดขึ้นไม่กี่ปีหลังจากนั้นก็ทำให้เธอต้องเผชิญหน้ากับการถูกโจมตีเรื่องความเป็น ‘คนทรยศ’ อีกครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งนี้ต่างออกไป เพราะคัง เค่อชิงเองก็เป็นเหยื่อของการปฏิวัติวัฒนธรรมด้วยเช่นกัน[8] แต่จะด้วยเหตุใดก็ตาม ทั้งหวัง เฉวียนย่วนและสามีก็มีชีวิตรอดจากการปฏิวัติวัฒนธรรมมาได้โดยไม่ได้รับอันตรายทางร่างกาย
เมื่อการปฏิวัติวัฒนธรรมจบลงพร้อมกับการถึงแก่กรรมของเหมา เจ๋อตง หวัง เฉวียนย่วนร่อนจดหมายถึงองค์กรพรรคคอมมิวนิสต์อีกครั้ง ครั้งนี้เองที่เธอได้รับคำตอบจากสมาพันธ์สตรีสาขาท้องถิ่น พวกเขาทำตามนโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์และต้องการรื้อฟื้นสถานะให้กับผู้ที่ได้รับความไม่เป็นธรรมในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม เธอได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุมเพื่อสะสางความผิดพลาดของพรรคฯ ที่มีต่อเธอ
หวัง เฉวียนย่วนในวัย 68 ปี ต้องเดินทาง 200 กิโลเมตรจากบ้านของเธอเพื่อร่วมการประชุมครั้งนี้ ดูเหมือนคำร้องขอของเธอจะเริ่มเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น เธอได้รับการรื้อฟื้นสถานะทหารผ่านศึกของกองทัพแดงหลังจากประชุมครั้งนี้ และในปีเดียวกัน เธอก็ได้เดินทางไปกรุงปักกิ่งเพื่อเข้าร่วมการประชุมสมาพันธ์สตรี หวัง เฉวียนย่วนเดินทางด้วยรถไฟธรรมดาและใช้เวลาเดินทางหลายวัน ครั้งนี้เธอยืนยันความต้องการที่จะรื้อฟื้นสถานะความเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์อีกครั้ง
ในการประชุมครั้งนี้ เธอได้พบกับสตรีแห่งการเดินทัพทางไกลคนอื่นๆ และที่สำคัญที่สุดก็คือสามีคนที่ 2 ของเธอ ผู้ที่บัดนี้เป็นอดีตผู้ว่าการมณฑลและอดีตรัฐมนตรี หลังจากทั้งสองคนมีโอกาสสอบถามถึงช่วงเวลาชีวิตที่หายไป เขาสัญญากับหวัง เฉวียนย่วนว่าจะช่วยเธอทุกอย่างสุดความสามารถ เธอนำรองเท้าผ้าที่เย็บด้วยตัวเองมาฝาก พวกเขาได้ถ่ายรูปคู่กันเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิต
หลังจากการประชุม สถานะคนทรยศถูกลบออกจากระเบียนประวัติของหวัง เฉวียนย่วน อดีตเพื่อนร่วมเดินทัพทางไกลและสามีคนที่ 2 ของเธอต่างช่วยกันส่งจดหมายถึงองค์กรพรรคทั้งส่วนกลางและท้องถิ่นเพื่อยืนยันความประพฤติและคุณงามความดีของเธอตลอด 10 ปีที่เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ รวมทั้งความเสียสละของเธอระหว่างการเดินทัพทางไกลจนต้องกลายเป็นเชลยของขุนศึกแซ่หม่า
ชีวิตของหวัง เฉวียนย่วนในระหว่างการสู้รบกับกองทัพของขุนศึกแซ่หม่ากลายมาเป็นภาพยนตร์ในชื่อ ‘เสียงกู่จากภูเขาฉีเหลียน’ ในปี ค.ศ.1984 และผู้คนเริ่มรู้จักเธอในฐานะวีรสตรีแห่งการปฏิวัติ
ในปี ค.ศ.1985 หวัง เฉวียนย่วนได้รับการรื้อฟื้นสถานะสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์โดยสมบูรณ์ เธอไม่ใช่และไม่เคยเป็นคนทรยศ เธอเป็นสตรีแห่งการเดินทัพทางไกลอย่างเต็มภาคภูมิ
ในการสัมภาษณ์เมื่อปี ค.ศ.1990 เมื่อเธอถูกถามว่าเสียใจหรือไม่ที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการเดินทัพทางไกลจนถึงปลายทาง หวัง เฉวียนย่วนตอบว่า “…ไม่ ฉันไม่เสียใจ การเข้าร่วมกับกองทัพแดงและการได้เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทัพทางไกลคือเกียรติยศสูงสุดในชีวิตของฉัน…”
วันที่ 5 เมษายน ค.ศ.2009 หวัง เฉวียนย่วนจากไปอย่างสงบในวัย 96 ปี
บทความนี้ขออุทิศแด่การเสียสละของสตรีแห่งการเดินทัพทางไกล
เชิงอรรถ
[1] ความหมายเดิมของข้อความนี้ “妇女能顶半边天”(ผู้หญิงสามารถแบกท้องฟ้าอีกครึ่งหนึ่งได้) มีความหมายถึงความเท่าเทียมชาย-หญิงผ่านสายตาแบบคอมมิวนิสต์ นั่นคือ ผู้หญิงสามารถมีส่วนร่วมในชีวิตสาธารณะ ในที่ทำงานและในทางการเมืองได้เช่นเดียวกันกับผู้ชาย
[2] หลู่ซวิ่น (鲁迅) ผู้มีชีวิตร่วมสมัยเขียนไว้ในความเรียงเรื่อง “โชคร้าย” ของเขาว่า “…สำหรับข้าพเจ้านั้น ดูประหนึ่งว่าสาธารณรัฐจีนไม่ได้ดำรงอยู่ช้านานมาแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตนเองเป็นแค่ทาสคนหนึ่งต่อหน้าการปฏิวัตินี้ เพียงชั่วเวลาอันสั้นภายหลังการปฏิวัติ ข้าพเจ้าก็ถูกหลอกลวงและก็กลายมาเป็นทาสอีกครั้งหนึ่ง สำหรับข้าพเจ้า ดูเหมือนว่าพลเมืองหลายคนของสาธารณรัฐ ตามความจริงแล้วก็คือศัตรูของสาธารณรัฐ เลือดของผู้ที่สละชีวิตเพื่ออุดมการณ์หลายต่อหลายคนถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้ตีน แม้ว่าอาจจะโดยไม่เจตนาเลยก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องตั้งต้นกันใหม่อีก…” – (我觉得仿佛久没有所谓中华民国。我觉得革命以前,我是做奴隶;革命以后不多久,就受了奴隶的骗,变成他们的奴隶了。我觉得有许多民国国民而是民国的敌人。我觉得有许多民国国民很像住在德法等国里的犹太人,他们的意中别有一个国度。 我觉得许多烈士的血都被人们踏灭了,然而又不是故意的。我觉得什么都要从新做过。)
[3] ทวีปวร หรือ ทวีป วรดิลก แปล – เหมายังเคยอภิปรายถึงการเดินทัพทางไกลเอาไว้ว่า “… การเดินทัพทางไกลคือคำประกาศ มันบอกกับโลกว่ากองทัพแดงคือกองทัพของวีรชน…การเดินทัพทางไกลคือพลังแห่งการโฆษณาชวนเชื่อ มันประกาศต่อประชากร 200 ล้านคนใน 11 มณฑลว่าหนทางแห่งกองทัพแดง คือหนทางแห่งการปลดแอก…” – เหมาเจ๋อตง, ว่าด้วยยุทธวิธีต่อต้านจักรวรรดินิยมญี่ปุ่น (27 ธันวาคม ค.ศ.1935)
[4] ซึ่งไม่ได้หมายความถึง ‘สังคมคอมมิวนิสต์’ เสมอไป พวกเธอบางคนเมื่อแรกเข้าร่วมกองทัพแดงไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าอะไรคือคอมมิวนิสต์ พวกเธอรู้แต่ว่านี่เป็นวิธีการเดียวที่จะทำให้สามารหลุดพ้นจากความยากจนและชีวิตแต่งงานที่ไม่มีความสุขได้
[5] กองทัพแดงส่วนที่เหลือในรุ่ยจินเต็มไปด้วยทหารที่บาดเจ็บ พวกเขาต่อสู้กับกองทัพรัฐบาลเพื่อตรึงกำลังและยื้อเวลาให้กองทัพที่ฝ่าการปิดล้อมอออกไปจนกระทั่งฐานที่มั่นในรุ่ยจินแตกพ่ายในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1934 สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ระดับนำหลายคนถูกจับได้และหถูกประหารชีวิต
[6] มีคำกล่าวกันว่า หากเหนื่อยล้าก็ยังจะต้องปีนภูเขาต่อไป เพราะการหยุดพักหมายถึงความตาย
[7] เมื่อ ‘สามี’ สั่งให้เธอใส่ชุดยาวแบบผู้หญิงมุสลิม หวัง เฉวียนหยวนปฏิเสธและยืนยันว่าจะใส่แต่ชุดทหารกองทัพแดง เธอมักถูก ‘สามี’ ทำร้ายเพราะความดื้อดึงนี้
[8] ในสมัยปฏิวัติวัฒนธรรม จู เต๋อและคัง เค่อชิงถูกปลดออกจากตำแหน่งทางการเมืองและต้องกักตัวในบ้าน (house arrest)