fbpx
ถอดบทเรียนต่างประเทศ ไขสูตรสำเร็จปั้น 'อาชีวศึกษา' สู่กระดูกสันหลังสร้างชาติ

ถอดบทเรียนต่างประเทศ ไขสูตรสำเร็จปั้น ‘อาชีวศึกษา’ สู่กระดูกสันหลังสร้างชาติ

ย้อนไปช่วงกลางศตวรรษที่ 20 เยอรมนีเพิ่งผ่านพ้นความชอกช้ำจากความพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง ขณะเดียวกันในฝั่งเอเชีย เกาหลีใต้ยังคงเป็นหนึ่งในประเทศยากจนที่สุดของโลก หลังเพิ่งผ่านไฟสงครามเกาหลี ส่วนเกาะเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ หลังเจ้าอาณานิคมอังกฤษถอนตัวออกไป ก็ไร้ที่พึ่ง ขณะที่ทรัพยากรก็แทบไม่มี จนใครๆ ก็ต่างกังวลว่าจะไปรอดด้วยปีกของตัวเองได้หรือไม่

ภายใต้ความบีบคั้น ทั้งสามชาติไม่ได้ยอมแพ้ต่อโชคชะตา แต่พยายามดิ้นรนหาทางรอด โดยต่างคิดตรงกันว่าหนทางหนึ่งที่จะพาประเทศหลุดพ้นความยากลำบากได้ คือการยกระดับเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศให้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น และการจะทำอย่างนั้นได้ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ ‘ทรัพยากรมนุษย์’ ของประเทศต้องมีความรู้และทักษะที่ส่งเสริมกับทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมของชาติ ดังนั้น การศึกษาและการพัฒนาคนจึงกลายเป็นโจทย์ตั้งต้นสำคัญของประเทศเหล่านี้

ท่ามกลางโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่การพึ่งพาอุตสาหกรรมที่ใช้ทุนและเทคโนโลยีอย่างเข้มข้นในตอนนั้น ทั้งสามประเทศตระหนักดีว่า การมีแรงงานที่มีทักษะฝีมือทางอุตสาหกรรมขั้นสูงเป็นเรื่องสำคัญ ยุทธศาสตร์การพัฒนาการศึกษาชาติจึงไม่ได้เน้นแต่เพียงการเรียนสายสามัญ แต่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการศึกษาสายอาชีพ

ขณะที่หลายๆ ประเทศมองข้ามการศึกษาสายอาชีพ ด้วยค่านิยมทางสังคมที่มักมองการเรียนอาชีวะว่าไม่มีศักดิ์ศรีเทียบเท่าการเรียนสายสามัญ หรือเป็นเพียงแค่แหล่งรองรับนักเรียนนักศึกษาระดับหางแถวที่ไปไม่รอดกับการศึกษาทั่วไปเท่านั้น แต่ทั้งเยอรมนี เกาหลีใต้ และสิงคโปร์เลือกผลักดันอาชีวศึกษาขึ้นเป็น ‘กระดูกสันหลัง’ แห่งการพัฒนาประเทศ จนทุกวันนี้ทั้งสามประเทศสามารถผงาดขึ้นมายืนแนวหน้าของเศรษฐกิจโลกได้ ก็ด้วยทรัพยากรคุณภาพจำนวนมากที่เป็นผลผลิตจากสถาบันอาชีวศึกษา

ทุกวันนี้ การเรียนอาชีวศึกษาเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางทั้งในเยอรมนี เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ อีกทั้งยังมีคุณภาพที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก สามารถดึงดูดนักเรียนนักศึกษาต่างชาติให้เข้าไปเรียนได้มากมาย และยังได้รับยกย่องเป็นโมเดลของการพัฒนาอาชีวศึกษาในหลายประเทศ

เส้นทางของการศึกษาสายอาชีพของบรรดาประเทศที่ประสบความสำเร็จอาจมีรายละเอียดยิบย่อยที่แตกต่างกัน แต่เมื่อขยับมามองภาพใหญ่ขึ้นแล้ว จะเห็นว่าแต่ละประเทศล้วนมีสูตรสำเร็จหลายอย่างคล้ายกัน เราขอพาไปไขบทเรียน ถอดสูตรสำเร็จของประเทศเหล่านี้ในการพัฒนาการศึกษาสายอาชีพ จากที่ถูกมองข้ามมาตลอดจนก้าวขึ้นมาเป็นกลจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของประเทศ โดยดูตัวอย่างจากประเทศเยอรมนี เกาหลีใต้ และสิงคโปร์

อย่าหยุดพัฒนา ปั้นทรัพยากรคนให้ตรงเทรนด์เศรษฐกิจ

เมื่อประเทศเหล่านี้มีแผนมุ่งเดินหน้ายุทธศาสตร์เศรษฐกิจอุตสาหกรรมของชาติ การพัฒนาระบบการศึกษาสายอาชีพย่อมดำเนินมาคู่กันเสมอ หากแต่เป็นที่รู้ประจักษ์กันดีว่ากระแสเศรษฐกิจโลกไม่เคยหยุดนิ่ง แต่หมุนเวียนเปลี่ยนไปตลอดเวลา ยุทธศาสตร์การพัฒนาคนภายใต้ระบบอาชีวศึกษาจึงไม่สามารถแช่แข็งได้ แต่จำเป็นต้องปฏิรูปปรับเปลี่ยนให้สอดรับคลอคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์เศรษฐกิจอุตสาหกรรมโลกอย่างไม่หยุดนิ่ง

ในประเทศเกาหลีใต้ แผนการพัฒนาการเรียนการสอบระบบอาชีวศึกษาเริ่มมีขึ้นอย่างเป็นรูปเป็นร่างตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1950s จนถึง 1960s ซึ่งตอนนั้นยังให้ความสำคัญกับการศึกษาในภาคอุตสาหกรรมเบา เกษตรกรรม และประมง แผนพัฒนาแต่ละฉบับมีอายุ 5 ปีก่อนที่จะทบทวนสู่การใช้แผนฉบับใหม่

ถัดมาในช่วงทศวรรษ 1970s เกาหลีใต้ก็ปรับเปลี่ยนไปเน้นการศึกษาในภาคอุตสาหกรรมหนัก โดยเริ่มนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าสู่การเรียนการสอนอย่างเข้มข้นขึ้น ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติที่กำลังผลักดันอุตสาหกรรมประเภทเหล็ก การต่อเรือ ผลิตภัณฑ์เคมี และเครื่องจักร ตามเทรนด์โลกในตอนนั้น และมีการปรับเปลี่ยนใหญ่อีกประการหนึ่งคือการผลักดันให้อุตสาหกรรมในประเทศยื่นมือเข้ามามีส่วนร่วมในระบบการเรียนการสอนมากขึ้น ทำให้นักเรียนนักศึกษาในระบบสายอาชีพได้เรียนรู้อย่างเข้มข้นขึ้นผ่านการสัมผัสประสบการณ์ในอุตสาหกรรมจริง ผ่านมาถึงทศวรรษ 1980s เมื่อยุทธศาสตร์เศรษฐกิจขยับออกจากอุตสาหกรรมที่พึ่งพาแรงงานและทุนอย่างเข้มข้นไปสู่การพึ่งพาเทคโนโลยี สถาบันอาชีวศึกษาก็ต้องขยับตามไปสู่การเรียนการสอนในภาคอุตสาหกรรมไฮเทค รวมทั้งยังติดปีกให้นักเรียนนักศึกษามีความรู้รอบด้านมากขึ้น มีทักษะพื้นฐานในการปรับตัวได้อย่างว่องไวต่อการเปลี่ยนแปลงของกระแสเทคโนโลยีและเศรษฐกิจโลกในแต่ละช่วงเวลา และปัจจุบันนี้อาชีวศึกษาเกาหลีใต้ก็กำลังมุ่งหน้าพัฒนาตามเส้นทางเศรษฐกิจ 4.0 และเศรษฐกิจหลังโควิด

เช่นเดียวกับสิงคโปร์ที่ยุทธศาสตร์การศึกษาสายอาชีพต้องคอยผันเปลี่ยนไปตามยุทธศาสตร์เศรษฐกิจชาติ รัฐบาลสิงคโปร์เห็นความสำคัญของการพัฒนาคนในระบบอาชีวศึกษามาตั้งแต่ช่วงก่อตั้งประเทศใหม่ๆ เพราะจำเป็นต้องผลิตแรงงานให้สอดรับการพัฒนาอุตสาหกรรม จนเกิดโรงเรียนสายอาชีพพร้อมศูนย์ฝึกอาชีพขึ้นมามากมาย ผ่านการได้รับความช่วยเหลือและความร่วมมือจากต่างประเทศ อาทิ อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น กระทั่งทศวรรษ 1970s รัฐบาลเริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมไปในทิศทางการพึ่งพาทุนและเทคโนโลยีขั้นสูงเป็นหลัก จึงเกิดการปรับปรุงหลักสูตร รวมทั้งการก่อตั้งสถาบันอาชีวศึกษาใหม่ๆ ที่เน้นอุตสาหกรรมประเภทดังกล่าว โดยจับมือกับต่างประเทศเข้มข้นขึ้นอีก ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สิงคโปร์ได้เรียนรู้โมเดลความสำเร็จของอาชีวศึกษาจากหลายๆ ประเทศ แล้วนำมาปรับใช้กับตัวเอง จนเป็นรากฐานสำคัญของระบบอาชีวศึกษาสิงคโปร์ปัจจุบัน เช่น การได้รูปแบบการเรียนการสอนด้านอาหารมาจากฝรั่งเศส และระบบการสอนแบบเรียนไปทำงานไปจากเยอรมนี

สถาบันการศึกษาสายอาชีพของสิงคโปร์ทบทวนปรับปรุงทิศทางการศึกษาเป็นประจำ อย่างสถาบันเทคนิคศึกษา (Institute of Technical Education – ITE) ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาสายอาชีพหลักของสิงคโปร์ที่ก่อตั้งเมื่อปี 1992 มีการปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์ทุกๆ 5 ปี โดยเมื่อเข้าสู่ปี 2000 ที่โลกาภิวัตน์กำลังเฟื่องฟู ITE ก็ได้วางโรดแมปผลักดันให้ ITE ก้าวขึ้นจากการเป็นสถาบันการศึกษาระดับประเทศสู่การเป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับระดับโลก ถัดมาในปี 2005 ก็วางเป้าหมายทะเยอทะยานขึ้นคือการเป็นสถาบันอาชีวศึกษาชั้นนำของโลก และในปัจจุบัน แผนพัฒนา ITE ฉบับปี 2020-2024 หลังเศรษฐกิจโลกกำลังถูกดิสรัปต์จากวิกฤตโควิด ก็มุ่งเป้าไปที่การพัฒนาให้ผู้เรียนมีความสามารถในการปรับตัว พัฒนาทักษะความสามารถของตัวเองได้อย่างยืดหยุ่น สอดรับกับโลกที่ไม่แน่นอนสูง พร้อมกับส่งเสริมทักษะทางดิจิทัลและการเรียนรู้ตลอดชีวิตอีกด้วย

ขณะที่ประเทศเยอรมนีก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษาตามเทรนด์เศรษฐกิจอย่างไม่หยุดนิ่งเหมือนกัน เยอรมนีมีการตั้งกลไกที่ประกอบไปด้วยทั้งสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย สหภาพการค้า สมาคมธุรกิจ สมาคมวิชาชีพ รวมทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลมลรัฐ ในการระดมสมองออกแบบหลักสูตรร่วมกัน การพูดคุยเจรจาระหว่างกันหลายขั้นตอน กระทั่งได้หลักสูตรที่ลงตัวต่อความต้องการของทุกภาคส่วน ทำให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ที่ตอบโจทย์ทั้งคุณภาพการศึกษา สภาวะความต้องการแรงงานในภาคเอกชน และยุทธศาสตร์การพัฒนาของรัฐ โดยการระดมสมองมีขึ้นต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงหลักสูตรให้เท่าทันสภาวะโลกที่เปลี่ยนไป นอกจากนี้ยังมีการสำรวจตลาดแรงงานอยู่ต่อเนื่อง ทั้งด้วยการทำวิจัยทางวิชาการ และการลงสำรวจภาคส่วนต่างๆ ทั้งบริษัทห้างร้าน บริษัทจัดหางาน รวมถึงแรงงาน เพื่อจะรับรู้ได้อย่างแท้จริงว่า ทักษะแรงงานที่เหมาะสมเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างในช่วงเวลานั้นๆ ก่อนนำไปสู่ข้อเสนอในการปรับหลักสูตรให้สอดรับกับเทรนด์

นอกจากเยอรมนีแล้ว ทั้งสิงคโปร์และเกาหลีใต้ก็มีกลไกที่เปิดให้ภาคการศึกษากับภาคเอกชนออกแบบและอัปเดตหลักสูตรร่วมกันในลักษณะนี้เช่นกัน อย่างเกาหลีใต้ก็มีคณะกรรมการความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรม-สถาบันการศึกษา (Industry-School Cooperation Committee) ที่คอยทำหน้าที่นี้ ขณะที่ในสิงคโปร์ อย่างสถาบัน ITE ก็มีคณะกรรมการที่ปรึกษาทางวิชาการ (Academic Advisory Committees – AACs) ที่มีทั้งคนระดับแนวหน้าจากภาคการศึกษาและภาคเอกชนในหลายแวดวงมาร่วมพิจารณาและให้คำแนะนำการปรับปรุงหลักสูตร

เรียนไปทำงานไป พัฒนาคนด้วยประสบการณ์จริง

ไม่ว่าจะประเทศไหนก็แล้วแต่ การปฏิรูปการเรียนการสอนอาชีวศึกษาในแต่ละช่วงเวลามีจุดประสงค์หลักคือการผลิตแรงงานให้ตอบโจทย์เทรนด์ความต้องการแรงงานในตอนนั้นๆ แต่การจะผลิตทรัพยากรคนให้ตอบโจทย์อย่างแท้จริงสำหรับการศึกษาสายอาชีพ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่การเน้นไปที่การเปิดตำรา นั่งเรียนในห้องเรียน แต่คือการเปิดทางให้ผู้เรียนได้ลงมือทำ สัมผัสวิชาชีพนั้นผ่านประสบการณ์จริงให้ได้มากที่สุด

อาชีวศึกษาในประเทศเยอรมนีใช้ระบบการเรียนการสอนแบบทวิภาคี (dual system) ที่มีทั้งการเรียนภาคทฤษฎีที่โรงเรียน ควบคู่ไปกับการฝึกงานในสถานประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมแบบได้รับเงินเดือนไปด้วย โดยให้น้ำหนักไปที่การฝึกงานมากกว่า โดยทั่วไปใน 1 สัปดาห์ ผู้เรียนจะได้ใช้เวลาราว 3-4 วันไปกับการฝึกงานในสถานประกอบการที่ตนสังกัด และอีก 1-2 วันเป็นการเรียนในห้องเรียน ซึ่งผู้เรียนจะได้นำประสบการณ์จากการฝึกงานมาถ่ายทอดแบ่งปันในชั้นเรียนด้วย ระบบ dual system นับว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะทำให้สามารถผลิตผู้เรียนที่มีทักษะเป็นไปตามความต้องการของบริษัทได้จริง โดยมีความพร้อมทำงานจริงได้ทันทีที่เรียนจบ ซึ่งหลายคนก็มักทำงานต่อกับบริษัทที่ฝึกงาน หรือต่อให้ไม่ได้ทำงานกับบริษัทนั้น ก็ยังคงมีคุณสมบัติพร้อมสำหรับบริษัทอื่นๆ ได้เหมือนกัน

ความสำเร็จของโมเดล dual system ของเยอรมนีกลายเป็นต้นแบบให้กับการเรียนการสอนอาชีวศึกษาในหลายประเทศทั่วโลก อย่างเกาหลีใต้ ก็นำโมเดลของเยอรมนีไปสู่การนำร่องโรงเรียนอาชีวศึกษารูปแบบใหม่ ‘ไมซ์เตอร์’ (Meister) ตั้งแต่ปี 2008 ซึ่งเน้นให้ผู้เรียนเรียนรู้จากการทำงานจริงเป็นสำคัญควบคู่ไปกับการเรียนที่โรงเรียน รวมทั้งยังเน้นการเรียนรู้ผ่านการทำโครงงาน (Project-based Learning – PBL) เพื่อช่วยเสริมสร้าง soft skills สำคัญๆ ต่อการทำงาน ทั้งการวางแผน การทำงานเป็นทีม การแก้ปัญหา และความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนี้ Meister ยังใช้แนวคิด ‘ทำงานก่อน เรียนต่อมหาวิทยาลัยทีหลัง’ (Employment First, University Later) คือให้ผู้เรียนเริ่มทำงานในภาคอุตสาหกรรมทันทีหลังเรียนจบจากสถาบัน Meister เพื่อให้มีประสบการณ์การทำงานจนแน่น ก่อนไปเสริมสร้างความรู้เพิ่มเติมในระดับอุดมศึกษาต่อไป

สถาบันอาชีวศึกษาในสิงคโปร์ ก็ให้ความสำคัญมากกับการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริง อย่าง ITE ก็ให้น้ำหนักการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติต่อการเรียนรู้ตามทฤษฎีในสัดส่วน 70:30 ขณะเดียวกันก็มีหลักสูตรในรูปแบบการเรียนไปทำงานไป (Work-study Program) ให้เลือกเรียนเหมือนกัน โดยทุกวันนี้รัฐบาลสิงคโปร์กำลังเดินหน้าผลักดันให้มีการเรียนในรูปแบบ work-study มากขึ้นทั้งในสายวิชาชีพและสายสามัญ เพื่อเติมเต็มทักษะความรู้และประสบการณ์ของประชากรให้เข้มข้นขึ้นต้อนรับการเปลี่ยนแปลงของโลกหลังโควิด

การศึกษาสายอาชีพของทั้งเยอรมนี เกาหลีใต้ และสิงคโปร์นับว่าประสบความสำเร็จในการปั้นคนให้เป็นแรงงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ อย่างเยอรมนี พบว่าคนที่เรียนจบจากการศึกษาสายอาชีพ ได้รับการจ้างงานมากถึงร้อยละ 88 และยังเป็นปัจจัยให้เยอรมนีเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการว่างงานต่ำที่สุดในสหภาพยุโรป ขณะที่เกาหลีใต้ ก็พบว่าคนที่เรียนจบจากสถาบันการศึกษาระบบ Meister มีงานทำหลังเรียนจบสูงถึงร้อยละ 90-95 ส่วนสถาบัน ITE ของสิงคโปร์ ก็พบว่าบัณฑิตที่เรียนจบไปราวร้อยละ 80 ได้รับการจ้างงานภายในระยะเวลาเพียง 6 เดือนหลังเรียนจบ

ผนึกกำลังรัฐ สานความร่วมมือเอกชนแนบแน่น

ความสำเร็จของอาชีวศึกษาในเยอรมนี เกาหลีใต้และสิงคโปร์ ที่มีส่วนสำคัญมาจากการเปิดกว้างให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมออกแบบหลักสูตร รวมถึงการให้ความสำคัญกับการศึกษาในรูปแบบที่เน้นการเรียนรู้จากการเข้าไปทำงานกับสถานประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมต่างๆ เป็นหลัก คือสิ่งที่บ่งชี้ว่าความร่วมมือกับภาคเอกชนเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จ

ในประเทศเหล่านี้ สถาบันอาชีวศึกษามักผูกความร่วมมือกับบรรดากลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างแนบแน่น โดยมีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกันมากมาย อย่างสถาบันอาชีวศึกษาในเกาหลีใต้ ก็มีความร่วมมือกับกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่หลายกลุ่ม รวมถึงกลุ่มแชโบล (Chaebol) เช่นเดียวกับในเยอรมนีที่มีอุตสาหกรรมชั้นแนวหน้าหลายเจ้า รวมทั้งธุรกิจ SMEs เข้ามาร่วมมือกับสถาบันการศึกษา ขณะที่สิงคโปร์ซึ่งมีตลาดในประเทศขนาดเล็กก็ต้องอาศัยความร่วมมือกับกลุ่มบริษัทข้ามชาติค่อนข้างมาก

รูปแบบการเข้ามาให้ความร่วมมือของกลุ่มเอกชน ไม่ใช่เพียงการร่วมกำหนดทิศทางหลักสูตร และการเปิดรับผู้เรียนเข้าฝึกงานเท่านั้น แต่เป็นการเข้ามามีส่วนร่วมอย่างเรียกได้ว่าครบวงจร ทั้งการสนับสนุนเงินทุนและทรัพยากรสำหรับการเรียนการสอน การสนับสนุนเชิงเทคนิคความรู้ การให้คำปรึกษา ซึ่งช่วยให้สถาบันการศึกษามีเงินทุนและทรัพยากรมากขึ้นที่จะดำเนินการและพัฒนาคุณภาพการศึกษา ขณะเดียวกัน การเข้ามาของสถาบันเอกชนยังช่วยสร้างแรงจูงใจให้เยาวชนหันมามองสถาบันอาชีวศึกษามากขึ้น ไม่ว่าจะด้วยการให้การสนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนนักศึกษา และการทำสัญญารับนักเรียนที่เรียนจบเข้าทำงานตามโควตา

ไม่เพียงแต่ภาคเอกชนเท่านั้น อีกภาคส่วนที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อความก้าวหน้าของสถาบันอาชีวศึกษาในประเทศเหล่านี้ แน่นอนว่าย่อมเป็นภาครัฐ เนื่องจากรัฐบาลของประเทศเหล่านี้เห็นความสำคัญของการศึกษาสายอาชีพมาก จึงมีนโยบายที่ส่งเสริมการพัฒนาของสถาบันอาชีวศึกษามาต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้วยการให้การสนับสนุนทั้งเงินทุน ทรัพยากร รวมทั้งการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ในสถาบันการศึกษาให้ทันสมัย อย่างในประเทศเยอรมนี ภาครัฐเป็นผู้แบกรับภาระค่าใช้จ่ายกิจการภายในโรงเรียนหลายด้าน เช่น การบริหารโรงเรียน เงินเดือนครู การฝึกหัดครู การก่อสร้างปรับปรุงอาคาร และการจัดหาอุปกรณ์การเรียนการสอน

นอกจากนี้ภาครัฐยังมีบทบาทสำคัญมากในการสร้างแรงจูงใจให้คนหันมาเรียนอาชีวศึกษามากขึ้น อย่างในประเทศเกาหลีใต้ ที่รัฐบาลมีนโยบายยกเว้นค่าเล่าเรียนให้สำหรับผู้เรียนในระบบ Meister มีการเสนอมอบทุนการศึกษา รวมทั้งยังอนุญาตให้เลื่อนเข้ารับการเกณฑ์ทหารได้ถึง 4 ปีหากผู้เรียนได้รับการจ้างงานทันทีหลังเรียนจบ  

เพราะความรู้ไม่ได้สิ้นสุดแค่ใบปริญญา

เยอรมนี สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ผลิตทรัพยากรจากระบบการศึกษาสายอาชีพออกมาจำนวนมาก หากแต่สำหรับประเทศเหล่านี้ ความรับผิดชอบในการพัฒนาคนไม่ได้สิ้นสุดแค่วัยศึกษาเล่าเรียน เพราะตระหนักดีว่าท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แรงงานจำเป็นต้องพัฒนาทักษะตัวเองต่อเนื่อง เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ให้ทันโลกอย่างต่อเนื่อง แม้จะจบการศึกษาแล้วก็ตาม การส่งเสริมให้ทรัพยากรคนจากระบบอาชีวศึกษา ‘เรียนรู้ตลอดชีวิต’ จึงเป็นงานสำคัญ และยังเป็นอีกหนึ่งกุญแจความสำเร็จของการพัฒนาคนของประเทศเหล่านี้

ประเทศเยอรมนีมีโปรแกรม Continuing Vocational Education Training (CVET) สำหรับแรงงานที่เรียนจบจากการศึกษาสายอาชีพและมีประสบการณ์การทำงานมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ที่งานของตัวเองอาจถูกดิสรัปต์จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจ หรืออาจมีความต้องการส่วนตัวที่จะอัปเกรดทักษะของตัวเอง CVET ใช้รูปแบบ dual system คือแรงงานสามารถทำงานพร้อมกับเรียนไปด้วยได้ โดยระยะเวลาเรียนขึ้นอยู่กับการตกลงกันระหว่างผู้เรียน นายจ้าง และสถาบันการศึกษา ขณะที่รัฐก็มีมาตรการสร้างแรงจูงใจให้แรงงานเข้าสู่ระบบ CVET ต่อเนื่องผ่านการสนับสนุนค่าเล่าเรียนให้กับแรงงาน รวมทั้งยังมีการสนับสนุนเป็นพิเศษให้กับคนว่างงานและแรงงานทักษะต่ำด้วย

ขณะที่สิงคโปร์ก็มีโครงการ SkillsFuture Singapore (SSG) ซึ่งรัฐบาลร่วมมือสถาบันการศึกษาและบริษัทต่างๆ สร้างหลักสูตรระยะสั้นที่เกี่ยวข้องกับแวดวงสาขาอาชีพต่างๆ มากเกินกว่า 10,000 หลักสูตร สำหรับแรงงานที่ต้องการพัฒนาทักษะของตัวเอง โดยไม่ได้จำกัดอยู่แค่แรงงานที่จบจากระบบการศึกษาสายอาชีพเท่านั้นและเช่นเดียวกับเยอรมนี รัฐบาลสิงคโปร์ยังสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้าเรียนในหลักสูตร SkillsFuture โดยให้เงินเครดิตตั้งต้นกับประชาชนทุกคนเมื่ออายุครบ 25 ปี คนละ 500 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 12,500 บาท) และมีการเติมเงินเครดิตให้เป็นระยะตามโอกาส เป็นการสนับสนุนค่าเล่าเรียน โดยเฉพาะหลังเกิดวิกฤตโควิด-19 รัฐบาลสิงคโปร์ก็มีแพ็คเกจให้เงินสนับสนุนค่าเล่าเรียนมากขึ้น โดยเฉพาะการเรียนในหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะให้สอดรับโลกหลังโควิด เช่นหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับทักษะดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ อีกทั้งยังเพิ่มหลักสูตรใหม่ๆ ให้ประชาชนเลือกเรียนมากขึ้นด้วย

เกาหลีใต้ก็เป็นอีกประเทศที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะแรงงานหลังเรียนจบ โดยภาครัฐทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น ร่วมกับสภาหอการค้าและสถาบันการศึกษาสายอาชีพต่างๆ จัดตั้งศูนย์ฝึกทักษะหลายแห่งและคอร์สเรียนที่หลากหลาย รวมทั้งมีแพลตฟอร์มเรียนรู้ออนไลน์อย่าง K-MOOC (Korean Massive Open Online Course) โดยที่รัฐบาลก็สร้างแรงจูงใจผ่านการสนับสนุนค่าเล่าเรียนเหมือนเยอรมนีและสิงคโปร์ และขณะนี้ ภายใต้แผนส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตฉบับที่ 4 (2018-2022) รัฐบาลเกาหลีใต้ยังตั้งเป้าที่จะพัฒนาขยับขยายหลักสูตรทางด้านอาชีวศึกษา รับการเปลี่ยนผ่านของโลกแรงงานสู่ยุค 4.0  

ปรับความคิด พลิกมุมมองประชาชน
ไม่ให้อาชีวศึกษาเป็นแค่ทางเลือกอีกต่อไป

ประสบการณ์จากเยอรมนี สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ล้วนให้บทเรียนว่า การจะยกระดับการศึกษาสายอาชีพจนเป็นแกนหลักแห่งการขับเคลื่อนประเทศจนถึงทุกวันนี้ได้ ต้องอาศัยแรงผลักดันจากหลายด้านหลายภาคส่วนประกอบกัน ทั้งภาคการศึกษาเอง วิสัยทัศน์และการส่งเสริมจากภาครัฐ รวมทั้งการสนับสนุนจากภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม ลำพังปัจจัยทั้งหมดที่ถูกพูดถึงด้านบนก็ยังไม่เพียงพอที่จะพัฒนาอาชีวศึกษาได้ หากปราศจากอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ นั่นคือภาคประชาชนที่ต้องมีทัศนคติที่ดีต่อการศึกษาในระบบสายอาชีพ เพราะไม่เช่นนั้น ไม่ว่าจะใช้นโยบายใดหรือจะใช้กี่ภาคส่วนมาช่วยขับเคลื่อน การพัฒนาอาชีวศึกษาจะไม่มีทางเป็นไปได้เลย

การมีค่านิยมยอมรับการศึกษาสายสามัญว่าสูงส่งกว่าการศึกษาสายอาชีพเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกๆ ประเทศ ไม่เว้นแม้แต่เยอรมนี สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ การปรับเปลี่ยนทัศนคติของประชาชนให้ยอมรับการศึกษาสายอาชีพมากขึ้นจึงเป็นโจทย์ที่ท้าทายมากของทั้งประเทศเหล่านี้

สิงคโปร์จัดว่าเป็นประเทศที่รุกหนักมากในการสร้างภาพจำใหม่ให้กับการศึกษาสายอาชีพ ผ่านการทำการตลาดอย่างเข้มข้น อย่างสถาบัน ITE ก็ใช้วิธีโหมโฆษณาตามพื้นที่สาธารณะหลายช่องทาง ทั้งทางหนังสือพิมพ์ รถโดยสารสาธารณะ ป้ายโปสเตอร์ และใบปลิว รวมทั้งการทำกิจกรรมอย่างการทำโรดโชว์ตามโรงเรียน กิจกรรม Open House เปิดสถานศึกษาให้เข้าชม รวมทั้งกิจกรรมจัดการแข่งขันประชันฝีมือบนรายการโทรทัศน์ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้กับอาชีพต่างๆ และการแจกรางวัลคนประสบความสำเร็จในสายอาชีพ ให้สาธารณชนได้เห็นภาพความสำเร็จของคนทำงานในสายนี้มากขึ้น โดยผลสำรวจพบว่า ระหว่างปี 1997-2006 การทุ่มเททำการตลาดของ ITE ได้ทำให้ภาพลักษณ์ของ ITE ที่มีต่อสาธารณะดีขึ้นถึงร้อยละ 76

ขณะเดียวกัน รัฐบาลสิงคโปร์ยังกำหนดวิชาประเภทงานช่างต่างๆ เช่น งานไม้ งานไฟฟ้า งานเหล็ก และการเขียนแบบ เป็นวิชาบังคับในระดับชั้นมัธยมศึกษา เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนมีโอกาสได้สัมผัสและทำความคุ้นเคยกับงานสายอาชีพมากขึ้น เพิ่มโอกาสที่นักเรียนจะเลือกเดินบนเส้นทางสายอาชีวศึกษาในอนาคต

อย่างไรก็ตาม การประโคมการตลาดเพียงอย่างเดียวนั้นย่อมไม่เพียงพอที่จะจูงใจคนให้หันมามองอาชีวศึกษามากขึ้น เพราะถึงแม้จะโหมกระหน่ำโฆษณาขนาดไหน แต่ถ้าสาธารณชนไม่ได้เกิดความรู้สึกว่าอาชีวศึกษาก็สามารถมอบเส้นทางอนาคตที่สดใสได้ ก็ย่อมไม่อาจเปลี่ยนใจมายอมรับการศึกษาสายอาชีพได้ เพราะฉะนั้น กุญแจสำคัญที่สุดในการจะเปลี่ยนมุมมองของคนที่มีต่ออาชีวศึกษา ก็คือเรื่องพื้นฐานอย่างการพัฒนาคุณภาพการศึกษา

สถาบัน ITE ของสิงคโปร์เองก็จูงใจคนด้วยการพาสถาบันให้เดินหน้าสู่ความเป็นสถาบันอาชีวศึกษาระดับโลก สร้างความรับรู้ทั่วไปว่า ITE สามารถให้คุณภาพการศึกษาที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก และสามารถเปิดประตูอนาคตการทำงานสู่ระดับนานาชาติได้ โดย ITE ทุ่มเททั้งปรับปรุงพัฒนาหลักสูตร ยกระดับเครื่องไม้เครืองมือและรูปแบบการเรียนการสอน ถึงขั้นที่มีการยกเครื่องบินจริงๆ มาไว้ในสถาบันการศึกษาให้ผู้เรียนหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเครื่องบินและงานบริการในสนามบินได้เรียนรู้จากของจริง รวมทั้งยังลงทุนไปกับโครงสร้างพื้นฐาน พื้นที่ทำกิจกรรม และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งยังปรับภูมิทัศน์ ดึงดูดใจให้เยาวชนอยากเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันอาชีวศึกษาแห่งนี้

สิงคโปร์จัดว่าประสบความสำเร็จในการจูงใจประชาชนให้เลือกเรียนสายอาชีพมากขึ้น ทุกวันนี้สิงคโปร์มีนักเรียนที่เลือกเรียนในสายอาชีพสูงถึงราว 60-70 เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนทั้งหมด เทียบกับในช่วงทศวรรษ 1960s ซึ่งสิงคโปร์เพิ่งก่อตั้งประเทศใหม่ๆ ที่ตอนนั้นยังมีนักเรียนเลือกเรียนในสายอาชีพไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์

เยอรมนีก็เป็นอีกประเทศที่ประสบความสำเร็จในการดึงดูดคนให้หันมาเรียนอาชีวศึกษา โดยมีนักเรียนเรียนอยู่ในระบบนี้ราวครึ่งหนึ่งของประเทศ โดยเยอรมนีสามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติประชาชนให้ยอมรับอาชีวศึกษาได้ ด้วยการทุ่มเทพัฒนาคุณภาพการศึกษาจนไปสู่ระดับโลก เช่นเดียวกับสิงคโปร์ ขณะที่เกาหลีใต้มีสัดส่วนนักเรียนในระบบสายอาชีพอยู่ราวร้อยละ 18 โดยภาครัฐเกาหลีใต้กำลังพยายามจูงใจให้คนหันมาเลือกเรียนสายอาชีพกันมากขึ้น แนวทางหนึ่งคือการพัฒนาโรงเรียนอาชีวศึกษาระบบ Meister ที่มีความทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการตลาดแรงงานมากขึ้น รวมทั้งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งอำนวยความสะดวก และเครื่องไม้เครื่องมือทางการศึกษาต่างๆ ซึ่งทางการเกาหลีใต้ก็เชื่อว่าจะช่วยปรับเปลี่ยนทัศนคตินักเรียนให้สนใจอาชีวศึกษามากขึ้นได้ในอนาคต

การจะปั้นอาชีวศึกษาให้เป็นหัวหอกแห่งการพัฒนาได้ ทัศนคติของประชาชนที่ให้การยอมรับอาชีวศึกษาถือว่าเป็นรากฐานสำคัญ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ทัศนคตินี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องเริ่มจากการมีรัฐบาลที่มีทัศนคติที่ดีต่ออาชีวศึกษา มองเห็นว่าอาชีวศึกษาก็มีความสำคัญ และสามารถเป็นฟันเฟืองหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ เมื่อทัศนคติแบบนี้เริ่มต้นจากรัฐบาล คำว่า ‘อาชีวะสร้างชาติ’ ก็มีโอกาสเป็นจริงขึ้นมาได้ในประเทศนั้นๆ  


อ้างอิง

2013 Modularization of Korea’s Development Experience: The Development of Vocational High Schools in Korea during the Industrialization Period

2018 Lifelong Learning in Korea

Meister High School System in Korea 2020

Vocational education and training in Europe: Germany

Vocational education and training in Germany: Short Description

Case study: The Alliance for Initial and Further Training in Germany (in Strengthening the Governance of Skills Systems: Lessons from Six OECD Countries)

The Phoenix: Vocational Education and Training in Singapore

Toward a Better Future: Education and Training for Economic Development in Singapore since 1965

TVET Country Profile: Singapore June 2020

TVET Country Profile: Republic of Korea November 2018

How Singapore has overturned perceptions of vocational education, showing Hong Kong the way forward

Education at a Glance 2021: OECD Indicators

ITE Create (2020-2024)


ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่าง กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และ The101.world

MOST READ

Spotlights

14 Aug 2018

เปิดตา ‘ตีหม้อ’ – สำรวจตลาดโสเภณีคลองหลอด

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย พาไปสำรวจ ‘คลองหลอด’ แหล่งค้าประเวณีใจกลางย่านเมืองเก่า เปิดปูมหลังชีวิตหญิงค้าบริการ พร้อมตีแผ่แง่มุมเทาๆ ของอาชีพนี้ที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมาเนิ่นนาน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Aug 2018

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

21 Nov 2018

เมื่อโรคซึมเศร้าทำให้อยากจากไป

เรื่องราวการรับมือกับความคิด ‘อยากตาย’ ผ่านประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คนเคียงข้าง และบทความจากจิตแพทย์

ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์

21 Nov 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save