บทความชวนดูงานศิลปะและนวัตกรรมจากโลกที่หนึ่ง ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้สังคมและชีวิตคน ผ่านสายตานักออกแบบมัลติมีเดียจากโลกที่สามในนามกลุ่ม Eyedropper Fill
Eyedropper Fill เรื่อง
ในช่วงเวลาการระบาดของโควิด-19 หลายสถานที่ต้องปิดตัวลงชั่วคราว หรือไม่ก็ปรับเปลี่ยนวิธีการบริการเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของไวรัสให้ได้มากที่สุด คนในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์, ความบันเทิง และการโฆษณาที่ทำงานภายใต้เงื่อนไขที่ต้อง ‘ชวนคนออกมาเจอกัน’ อย่างอีเว้นต์, คอนเสิร์ต หรือสัมมนา ก็พลอยกุมขมับกันเป็นแถบตามไปด้วย
แม้ไม่มีใครห้ามจัดงาน แต่ผู้จัดก็คงรู้กันดีว่า ถึงจัดในช่วงนี้ก็คงไม่มีใครอยากจะก้าวขาออกจากบ้านพกอารมณ์สนุกมาจอยกันในงานเหมือนอย่างเคย อีเว้นต์และคอนเสิร์ตที่กำลังจ่อคิวในช่วงสองสามเดือนนี้จึงจำต้องเลื่อนออกไปโดยปริยาย หนักหน่อยก็ยกเลิก
‘Virtual Event’ อาจเป็นคีย์เวิร์ดที่คนทำอีเวนต์ซึ่งกำลังปวดขมับต้องหันมารู้จักให้เร็ว เพราะนี่อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกและทางรอดของเราในช่วงเวลานี้
เมื่อต้นเดือนเมษายน ผู้ให้บริการเว็บฟังเพลงและผู้จัดคอนเสิร์ตเจ๋งๆ ในไทยมาแล้วหลายต่อหลายงานอย่าง Fungjai ลุกขึ้นมาจัดงานชื่อ AT HOME Festival ชวนศิลปินตั้งกล้อง เซ็ตอัพเครื่องเสียง ถ่ายทอดดนตรีสดจากบ้านศิลปินไปสู่คนดูที่กำลังนั่งเหงาอยู่ที่บ้านผ่านไลฟ์ทาง YouTube และ Facebook เพื่อนำรายได้จากการสนับสนุนของผู้ชมส่งต่อให้ศิลปินนักดนตรี เป็นการช่วยเหลือศิลปินอีกทางในช่วงที่งานโชว์หด คอนเสิร์ตหาย แบบที่ยังตอบโจทย์ของการรักษาระยะเพื่อป้องกันไวรัสระบาด จากการติดตามพบว่าได้ยอดสนับสนุนไปไม่น้อย และฝั่งคนดูเองก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าดนตรีช่วยเยียวยาความรู้สึกในช่วงนี้ได้มาก
ในเทศกาลนั้น ผู้ชมสามารถ ‘เข้าร่วม’ ได้จากบ้านตัวเองตามชื่องาน ดูศิลปินที่กำลังเล่นอยู่ในห้องนอนหรือห้องนั่งเล่น (เอาจริงๆ ความใกล้ชิดนี้ก็เอ็กซ์คลูซีฟไปอีกแบบ) แถมยังสามารถส่งเสียงทักทายให้นักดนตรีที่เราชอบผ่านช่องคอมเมนต์
นี่คือบรรยากาศของ ‘เทศกาล’ ที่ว่า

Virtual Event และ Live stream concert ไม่ใช่เรื่องใหม่ เดิมทีแพลตฟอร์มการทำอีเวนต์และเทศกาลออนไลน์ถูกใช้เป็น ‘ทางเลือก’ สำหรับงานที่จัดในที่ห่างไกล เข้าถึงยาก หรือเปิดโอกาสให้คนที่ไม่สามารถเดินทางมาร่วมงานจริงสามารถเข้าร่วมงานผ่านทางออนไลน์ เทศกาลดนตรีระดับโลกหลายงานใช้ Live stream concert ควบคู่ไปกับงานจริง แต่ในช่วงเวลาของโควิด ทางเลือกจึงกลายเป็น ‘ทางหลัก’ ที่ผู้จัดทั่วโลกหันมาสนใจ
การจัด Virtual Event หรือ Live stream concert ฟังดูเหมือนไม่ได้ยากอะไร แค่หาวงดีๆ ตั้งกล้อง เปิดไลฟ์ ชวนคนเข้า แค่นั้นเองไม่ใช่เหรอ? ดูเหมือนจะง่ายกว่าเดิมซะอีก แล้วอะไรคือความท้าทายของมัน?
ในยุคที่แพลตฟอร์มอย่าง Facebook Live หรือ YouTube Live เปรียบเหมือนสถานที่จัดงานที่ผู้จัดเจ้าไหนก็สามารถเข้าไปใช้ได้แบบไม่เสียตังค์ ความท้าทายหลักของการจัดงานออนไลน์นี้จึงตกมาอยู่ที่เรื่องของ Experience Design หรือ การออกแบบประสบการณ์
ลองนึกภาพอีเว้นต์หรือเทศกาลดนตรีที่เราเคยไป งานที่มอบประสบการณ์น่าประทับใจให้เรา คงเริ่มจากสถานที่จัดงานที่เดินทางสะดวก ในงานมีของกินอร่อยๆ เตรียมไว้ไม่ให้ต้องเดินออกไปซื้อไกล ไลน์อัพศิลปินไล่กราฟอารมณ์ความสนุกต่อเนื่องไม่มีตก เสียงและมีเดียต่างๆ ในงานมีคุณภาพ งานมีกิจกรรมสนุกๆ มีพิธีกรที่เป็นกันเองช่วยละลายพฤติกรรมคน มีโมเมนต์ว้าวๆ หรือช่วงเวลาน่าจดจำฝากไว้ความทรงจำของเรา แต่กลับกัน หากประสบการณ์ที่เราได้รับเป็นไปในทางตรงกันข้าม นั่นคงเป็นประสบการณ์อีเว้นต์ที่แย่สำหรับเราไม่น้อย
แนวคิดของการออกแบบประสบการณ์ในงานอีเว้นต์จะยังคงไม่เปลี่ยนไป แม้แพลตฟอร์มในวันนี้ (และในอนาคตอันใกล้) จะเปลี่ยนร่างจาก On-Ground มาสู่ Online ภารกิจของผู้จัดอีเว้นต์และคอนเสิร์ตหลังจากนี้คือ ‘สร้างประสบการณ์ที่ดี’ ให้ Virtual Event และมอบความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับอีเว้นต์จริงที่เคยจัดมาให้ได้มากที่สุด
ด้วยความที่ AT HOME Festival จัดโดย Fungjai ที่เชี่ยวชาญการจัดอีเว้นต์จริง แถมยังชำนาญบนแพลตฟอร์มออนไลน์ นี่จึงเป็น Virtual Event ลำดับแรกๆ ในไทยที่ทำได้ดีไม่น้อย ตั้งแต่การจัดไลน์อัพศิลปิน, มีพิธีกรสนุกๆ ชวนทำกิจกรรมคั่นรายการ, ผู้ชมสามารถโต้ตอบกับศิลปินผ่านช่องคอมเมนต์ และที่ชอบที่สุดคงเป็นเรื่องอาหารที่ผู้ร่วมงานสามารถสั่งอาหารได้ระหว่างการชมไลฟ์ แค่สแกน QR Code บนหน้าจอ ให้ความรู้สึกเหมือนร้านอาหารในเทศกาลดนตรีที่ช่วยให้เราอิ่มท้องได้โดยไม่ต้องพักความสนุก
หากโควิดจะอยู่กับเราไปอีกนาน Virtual Event จะไม่ใช่แค่แพลตฟอร์มประวิงเวลา แต่อาจเป็นทางหลักของคนจัดอีเว้นต์ในวันนั้น ประสบการณ์ของอีเว้นต์ ‘เสมือน’ จะต้องแข่งขันกันพัฒนาให้ดู ‘จริง’ ขึ้น, สนุกขึ้น และเป็นมนุษย์มากขึ้น นั่นหมายความว่า นักออกแบบประสบการณ์ในพื้นที่จริง (On-ground) อย่างสถาปนิก, นักออกแบบสเปซ, นักออกแบบการบริการ (Service desiger) ฯลฯ จำเป็นต้องประสานพลังกันกับนักพัฒนาออนไลน์ อย่างนักออกแบบซอฟต์แวร์, นักออกแบบเว็บไซต์ หรือโปรแกรมเมอร์ พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิตอลเพื่อสร้าง ‘พื้นที่เสมือนที่มีความเป็นมนุษย์’ รองรับการจัดงาน Virtual Event ในอนาคต เพราะประสบการณ์เสมือนที่ให้ความประทับใจราวกับประสบการณ์ของการร่วมงานจริง จะกลายเป็นปัจจัยหลักสำหรับผู้ชมในการตัดสินใจว่าจะจ่ายเงินเข้าร่วมงานนี้หรือไม่
ในอนาคตเราอาจมีปุ่ม ‘ส่งเสียงปรบมือ’ หรือ ‘ส่งเสียงกรี๊ด’ ให้เรากดตอนกำลังดู Live stream concert หรืออาจมีปุ่ม ‘เอาอีก!’ ให้กดตอนคอนเสิร์ตจบแต่อารมณ์ไม่จบ (อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ โปรแกรมที่เราใช้ Work from home ทุกวันนี้อย่าง ZOOM ยังมีฟังก์ชั่น Virtual Hand raising ไว้ยกมือถามขณะประชุมมาแล้ว) เราอาจกดปุ่ม ‘ทำความรู้จัก’ คนที่ดูคอนเสิร์ตอยู่ด้วยกัน, มีเกมสนุกๆ ให้เล่นภายในงาน, มีร้านอาหารอร่อยให้กดสั่งแบบใกล้มือ ส่งอาหารและเครื่องดื่มถึงหน้าบ้านโดยแทบไม่ต้องลุกออกจากเทศกาล
Virtual Event, Virtual Festival และ Live stream concert คือนวัตกรรมที่พิสูจน์ว่า มนุษย์ยังคงหาที่ทางมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างเป็นมนุษย์เสมอ แม้ในช่วงเวลาที่เจอหน้ากันไม่ได้