ถ้าผู้อ่านท่านใดเกิดทันเข้าไปดูหนังเรื่อง Titanic ในโรง (!) อาจจะจำบทบาทของพระนางได้อย่างไม่ลืมเลือน พร้อมๆ ไปกับเพลงประกอบภาพยนตร์ที่เป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก รวมทั้งรายได้และรางวัลที่หนังเรื่องนั้นกวาดไป
แต่มีเรื่องหนึ่งที่ผู้ชมส่วนมากอาจจะมองข้ามไป นั่นก็คือคนที่ตายส่วนใหญ่ในเหตุการณ์นั้นเป็นผู้โดยสารชั้นสาม ผู้ถือตั๋วราคาถูกที่สุด และได้รับการช่วยเหลือน้อยที่สุด (มีเพียงเสียงสวดมนต์ของพระให้พวกเขาก่อนตายเท่านั้น)
กลุ่มผู้ที่เสียชีวิตทั้งหมดมากที่สุดเป็นชาวอังกฤษ ส่วนชาติผู้ที่เสียชีวิตมากที่สุดรองลงมาเป็นชาวสวีเดน และชาวไอร์แลนด์ตามลำดับ
คำถามก็คือ ในปี 1912 ที่เรือไททานิคอับปางลงนั้น มีบริบทอย่างไรที่ผลักดันให้คนออกเดินทาง ชาวสวีเดนเหล่านี้จำนวนมากเดินทางไปไหน และด้วยเหตุผลกลใดที่ผลักดันให้พวกเขาออกเดินทางกันเป็นหมู่มาก ซึ่งในกรณีของการโดยสารครั้งนั้น กลับต้องมาเสียชีวิตกันหมด ไปไม่ถึงจุดหมาย
อพยพ
ระหว่างปี 1845-1930 เกิดการอพยพครั้งใหญ่จากสวีเดนไปยังสหรัฐอเมริกา ชาวสวีเดนจำนวน 1.2 ล้านคน หรือถือเป็นหนึ่งในห้าของประชากรทั้งหมด เก็บข้าวเก็บของหนีความยากจนและความอดอยากแห้งแล้ง การกดขี่จากทั้งศาสนาและทั้งรัฐบาล ไปสู่ดินแเดนแห่งโอกาสใหม่ คนเหล่านี้เป็นคนหนุ่มสาว ผู้เป็นลูกหลานชาวนาชาวไร่หรือแรงงานในเขตเมือง
จำนวนที่มากขนาดนี้ ถือเป็นการอพยพในอัตราต่อหัวประชากรประเทศต้นทางที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การอพยพเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ประเทศนอร์เวย์และไอร์แลนด์ก็มีจำนวนคนหนุ่มสาวอพยพหนีความยากจนกันเป็นจำนวนมากด้วยเช่นกัน
นี่เป็นสาเหตุว่าทำไม คนที่จมน้ำตายจากการอับปางของเรือไททานิคส่วนใหญ่จึงเป็นคนหนุ่มสาวชาวสแกนดิเนเวียจำนวนมาก
ผู้บันทึกการอพยพ

นักเขียนสังคมนิยม ชนชั้นแรงงาน ลูกชาวนาสวีเดนจากภูมิภาคสมอลันด์ (Småland) คนหนึ่ง เป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เรื่องการอพยพใหญ่ครั้งนั้นเข้าไปอยู่ในความทรงจำสาธารณะ เขาคือ วิลเฮล์ม โมแบร์ค (Vilhelm Moberg, 1898-1973)
โมแบร์คเป็นลูกคนที่สี่จากหกคน (รอดจนโตเพียงสามคน) จากครอบครัวชาวนาและทหารชั้นประทวน เกิดและเติบโตในไร่นา ตั้งแต่เด็กเขาเป็นแรงงานในนาและเข้าไปทำงานในโรงงานเป่าแก้ว ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมสำคัญของภูมิภาค ด้วยความยากจนก็ทำให้ครอบครัวไม่มีบ้านเป็นของตนเองได้นาน เพราะเดี๋ยวก็ถูกยึดไป
ในชีวิตวัยเยาว์ เขาเข้าโรงเรียนศึกษาในระบบได้เพียงหกปีเท่านั้น ที่เหลือเป็นการเรียนเขียนอ่านด้วยตัวเองล้วนๆ ซึ่งเป็นที่รู้กันในหมู่บ้านว่าเขาเป็นหนอนหนังสือ อ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า และเคยเขียนเรื่องจนได้ตีพิมพ์ตั้งแต่อายุ 13
แถมพออายุได้ 20 ปี เขาติดเชื้อไข้หวัดสเปน ป่วยเกือบตายอยู่ครึ่งปี แต่รอดมาได้
หลังจากที่รอดตายจากไข้หวัด โมแบร์คเข้าทำงานสำนักงานหนังสือพิมพ์ ซึ่งจะเป็นแหล่งขัดเกลาการเขียนของเขาอยู่หลายปี และจะได้มีโอกาสได้พิมพ์งานเขียนที่นั่น
ตลอดช่วงวัยหนุ่ม โมแบร์คเป็นผู้ที่เข้าร่วมการเคลื่อนไหวทางการเมืองเสมอ เขาเข้าเป็นสมาชิกสโมสรเยาวชนสังคมนิยมประชาธิปไตยตั้งแต่วัยรุ่น และความตื่นตัวทางการเมืองของเขาก็คงค่อยๆ บ่มเพาะขึ้น และตกผลึกในทศวรรษต่อๆ มา
ชีวิตของโมแบร์คเข้าสู่การเป็นนักเขียนอาชีพ เขากลายเป็นปัญญาชนสาธารณะที่มีบทบาทในการถกเถียงประเด็นอันแหลมคมต่างๆ ในประเทศสวีเดน จากจุดยืนต่อต้านการกดขี่ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเคลื่อนไหวต่อต้านระบอบกษัตริย์ ต่อต้านระบบราชการอันกดขี่ ต่อต้านการคอร์รัปชั่น
งานเขียนของเขาจะพูดถึงชีวิตคนธรรมดา คนยากคนจน คนที่ถูกกดขี่ ซึ่งไม่ว่าจะเขาจะเขียนเรื่องใดๆ ก็ตาม โมแบร์คจะค้นคว้าอย่างลึกซื้งก่อนเสมอ พร้อมทั้งด้วยความมีพื้นเพจากคนชั้นล่าง เขาจะถือว่ามุขปาฐะ (oral tradition) เป็นแหล่งสำคัญในการบันทึกถึงชีวิตของคนต่างจังหวัด คนยากคนจน และจากแหล่งเหล่านี้ทำให้เขาเขียนถึงชีวิตของคนเหล่านี้ให้มีเสียงขึ้นมาได้
ต่อต้านเผด็จการและสงคราม
บทบาทของโมแบร์คในฐานะนักเขียนผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองนั้นปรากฏชัดเจนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อระบอบนาซีเรืองอำนาจ
ในปี 1941 ช่วงเวลาที่สงครามเข้าสู่จุดเข้มข้น เขาตีพิมพ์งาน Ride this Night! (Rid i natt!, 1941) เป็นนิยายประวัติศาสตร์ว่าด้วยกบฏชาวนาต่อต้านเจ้าที่ดินเยอรมันในสวีเดนศตวรรษที่ 17 ซึ่งจับใจผู้อ่านสวีเดนอย่างมาก ได้รับความนิยมกระทั่งในปีถัดมามีการนำนิยายเรื่องนี้ไปทำเป็นภาพยนตร์
ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า เขากำลังโจมตีระบอบนาซีอยู่ และเป็นเหตุที่หนังสือของเขาก็เป็นหนึ่งในหนังสือที่ระบอบนาซีสั่งเผาในเวลานั้นด้วย

นิยายชุด ผู้อพยพ
แม้วิลเฮล์ม โมแบร์คจะเขียนงานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรายงานข่าว บทความ บทวิวาทะ สารคดีประวัติศาสตร์ บทละคร นิยาย ฯลฯ แต่ชุดงานที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ นิยายชุด ผู้อพยพ (Utvandrarna) ซึ่งประกอบไปด้วยนิยายสี่เล่มที่เขาเขียนขึ้นระหว่างที่ 1949-1959 (Utvandrarna, 1949; Invandrarna, 1952; Nybyggarna, 1956; Sista brevet till Sverige, 1959 – ทั้งหมดได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษแล้ว)
นิยายชุดนี้เป็นเรื่องของครอบครัวผู้อพยพชาวสวีเดน ติดตามพวกเขาตั้งแต่ความทุกข์ยากของชีวิตในไร่นาที่บ้านเกิด การตัดสินใจโยกย้ายถิ่นฐานจากภูมิภาคสมอลันด์ไปยังมินเนโซตา สหรัฐอเมริกา แสดงออกถึงความยากเย็นของการเป็นผู้อพยพ ใจหนึ่งก็ต้องการค้นหาชีวิตที่หวังว่าจะดีกว่า อีกใจหนึ่งก็กลัวการพลัดพรากและการสูญเสียที่ๆ เคยเป็นบ้านของตนเอง
แน่นอน นี่รวมถึงความรู้สึกอันถั่งท้นเหล่านี้ในใจของผู้อพยพที่อยู่ในห้องโดยสารชั้นสามของเรือไททานิคนั่น
นิยายชุดนี้ถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์สองเรื่องโดยผู้กำกับภาพยนตร์คนสำคัญของสวีเดนอีกคนหนึ่งคือ ยาน โทรล (ในการเขียนหนังสือชุด ผู้อพยพ นี้ โมแบร์คไม่ได้เพียงแต่จินตนาการขึ้นเอง เขาทำการค้นคว้าและเก็บข้อมูลอยู่หลายต่อหลายปี ทั้งจากคำบอกเล่า (ครอบครัวของเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่ง) จากจดหมาย จากรายงานข่าว ฯลฯ ทั้งในสวีเดนและในสหรัฐอเมริกาย

นักประวัติศาสตร์ “สมัครเล่น”
ในการเขียนหนังสือชุด ผู้อพยพ นี้ โมแบร์คไม่ได้เพียงแต่จินตนาการขึ้นเอง เขาค้นคว้าและเก็บข้อมูลอยู่หลายต่อหลายปี ทั้งจากคำบอกเล่า (ครอบครัวของเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่ง) จากจดหมาย จากรายงานข่าว ฯลฯ ทั้งในสวีเดนและในสหรัฐอเมริกา
นี่คือการทำงานประวัติศาสตร์โดยพื้นฐาน เพียงแต่โมแบร์คไม่ได้เป็นนักประวัติศาสตร์อาชีพ ไม่ได้มีปริญญงปริญญาอะไรที่จะได้รับการยอมรับในวงการประวัติศาสตร์อาชีพในมหาวิทยาลัย แต่สิ่งที่เขาเขียนเป็นสิ่งที่นักประวัติศาสตร์ที่อิงอยู่กับอำนาจชนชั้นนายทุนและชนชั้นสูงทั้งหลายมองข้ามไป

ในช่วงปี 1970-1971 เขาตั้งใจจะเขียนประวัติศาสตร์ของประชาชนสวีเดนสามเล่ม เป็นประวัติศาสตร์ “ผู้อยู่ในสถานะรอง” ที่ชนชั้นนำจากสตอคโฮล์มไม่ค่อยจะได้รับรู้มากนัก (Min svenska historia Del I, II ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษแล้ว) โดยจากปากคำของเขาเอง เขาตั้งใจจะเขียนประวัติศาสตร์ของคนที่ถูกลืม และ
“เมื่อข้าพเจ้าอ่านหนังสือกว้างขวางมากขึ้น ข้าพเจ้าตระหนักว่าประวัติศาสตร์ของสวีเดนส่วนใหญ่เป็นเรื่องของปัจเจกกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น กล่าวคือเป็นเหล่าผู้ตัดสินใจ ว่าประชาชนจะต้องมีชีวิตอยู่เช่นใด มวลชนมหาศาลของประเทศไม่ได้เข้ามาอยู่ในประวัติศาสตร์นี้ จริงอยู่ที่งานวิจัยล่าสุดได้หันมาเขียนถึงสังคมอยู่บ้าง แต่ผู้ข้าพเจ้าใคร่จะเห็นคือชาวสวีเดนที่ไถหว่านที่ดินและเก็บเกี่ยวผลผลิตที่บุกเบิกถางป่า ที่ทำถนน ที่สร้างปราสาทราชวัง สร้างป้อมปราการให้แก่กษัตริย์ ที่สร้างเมืองและสร้างกระท่อม คนเหล่านี้ที่ถูกขูดรีดภาษี เพื่อนำไปจ่ายแก่ขุนนาง เจ้าภาษี หรือข้าราชการ ทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้เห็นเรื่องราวเหล่านี้น้อยเต็มที ทั้งเหล่าทหารที่ตายในสมรภูมินอกประเทศในนามแผ่นดินของตน ข้าพเจ้าใคร่เห็นชีวิตของพวกเขา เหล่าภรรยาที่รอพวกเขากลับมาบ้าน ทั้งข้าพเข้าใคร่เห็นเรื่องราวของชนชั้นผู้รับใช้ทั้งชนชั้น ทั้งชายหญิง ทั้งเหล่าแรงงานที่ถูกกฎหมายไม่เป็นธรรมบังคับ ทั้งข้าพเจ้าไม่ได้ยินเรื่องราวของเหล่าคนร่อนเร่ ผู้ไม่มีที่ดินหรือบ้านเป็นของตนเอง…”
แน่นอน วิลเฮล์ม โบแบร์ค คงจะเป็นเดือดเป็นแค้นยิ่ง เมื่อเห็นสวีเดน สแกนดิเนเวียและประเทศในยุโรปปัจจุบัน ก่อตัวต่อต้านผู้อพยพ และใช้เรื่องนี้เป็นประเด็นหลบหลีกปัญหาที่แท้จริง นั่นคือปัญหาทุนนิยมที่ทำให้ความไม่เท่าเทียมระหว่างมหาเศรษฐีและคนทำมาหากินทั่วไปของสวีเดน มีรายได้ที่ห่างจากกันมากที่สุดประเทศหนึ่งในยุโรป -นี่เป็นภาพที่ไม่ปรากฎออกไปมากนักในสื่อสารมวลชนเสรีนิยมประชาธิปไตยพูดภาษาอังกฤษ
ในปี 1973 ขณะที่โมแบร์คกำลังพยายามเขียนประวัติศาสตร์ผู้อยู่ในสถานะรอง เขาจบชีวิตลงด้วยการฆ่าตัวตายในทะเลสาบข้างบ้านพัก
อ้างอิง
– Roland Paul, “Vilhelm Moberg and Swedish ‘Arbetarlitteratur’”, History Workshop 1977: 4, 226-227
– Roland Paul, “Sweden, Migration, and the Emigrant Novels of Vilhelm Moberg”, Socialism and Democracy, 33:1, 186-196
– Wikipedia.com