ที่มาภาพปก Lahuutrung
“พรรคต้องชี้นำยุทธศาสตร์ทางทหาร, (กองทัพ) ยึดมั่นกับประชาชน เพราะประชาชนคือพลังของทหาร”
โฮจิมินห์
เมื่อพูดถึงบทบาทของทหารกับการเมืองโดยทั่วไปแล้ว เรามักจะนึกถึงแนวคิด ‘พลเรือนเป็นใหญ่’ (Civilian Supremacy) ซึ่ง Samuel Huntington นักรัฐศาสตร์อเมริกันบอกว่า หมายถึงการที่ทหารต้องอยู่ใต้บังคับบัญชาของพลเรือน แนวคิดนี้พัฒนาขึ้นหลังศตวรรษที่ 18 เพราะก่อนหน้านี้หลายประเทศในโลก กษัตริย์จะเป็นผู้ควบคุมกองทัพ ต่อเมื่อมีการพัฒนาระบบการเมืองแบบรัฐสภาขึ้นมาแล้ว สมาชิกรัฐสภาซึ่งตระหนักว่าตัวเองรับอาณัติมาจากประชาชนผ่านการเลือกตั้ง ก็ต้องการดึงอำนาจจากกษัตริย์เพื่อควบคุมกลุ่มคนที่เข้มแข็ง (เพราะมีอาวุธอยู่ในมือ) และมีการจัดตั้งดีที่สุดคือกองทัพมาไว้ในมือผู้แทนประชาชน
ในคำของฮันติงตันเอง คำว่าพลเรือนหมายถึงรัฐสภามากกว่าอย่างอื่น “เพราะกษัตริย์ก็เป็นพลเรือนเหมือนคนอื่นๆ นั่นแหละ พวกรัฐสภาจึงต้องการอำนาจในการควบคุมกองทัพ มากกว่าจะให้พลเรือนทั่วไปเป็นคนควบคุมคนถือปืน”[1] หลักใหญ่ใจความของแนวคิดนี้คือ ต้องการให้ (ผู้แทน) ประชาชนควบคุมกองทัพ ไม่ปล่อยให้กองทัพมีอำนาจควบคุมประชาชน เหมือนอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน
ในขณะที่หลายประเทศอย่างไทย กษัตริย์ยังไม่ได้ละวางอำนาจการควบคุมกองทัพ แม้ว่าจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบราชาธิปไตยใต้รัฐธรรมนูญและมีรัฐสภามาเป็นเวลาเกือบศตวรรษแล้วก็ตาม การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจในการควบคุมกองทัพจากกษัตริย์จึงยังคงดำเนินอยู่ต่อไป แต่ในหลายประเทศอย่างในกรณีของเวียดนามดังที่จะได้นำเสนอในบทความนี้ กองทัพสมัยใหม่ไม่ได้ถือกำเนิดจากกษัตริย์มาแต่ต้น หากแต่เป็นกองทัพที่สร้างขึ้นจากขบวนการปฏิวัติประชาชน (ในที่นี้ขอหลีกเลี่ยงคำว่าการปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพเพราะต้องการเน้นเรื่องทหารเป็นสำคัญ) ซึ่งมาจากหลายหลายอาชีพ เช่น ชาวนา คนงาน ปัญญาชน อาจจะมีทหารในกองทัพแห่งชาติแปรพักตร์มาบ้างแต่ไม่ใช่องค์ประกอบหลัก ผู้นำการปฏิวัติหลายคนเช่น เหมา เจ๋อตุง ปฏิเสธทหารรับจ้างเพราะพวกนี้ไม่มีอุดมการณ์ ดังนั้นอาจจะกล่าวได้ว่า พลเรือนคือพรรคคอมมิวนิสต์สามารถควบคุมกองทัพได้อย่างเบ็ดเสร็จตั้งแต่เริ่มต้น
แต่ต่อมาเมื่อกองทัพปฏิวัติยึดอำนาจรัฐได้แล้ว มีการจัดโครงสร้างอำนาจหน้าที่กันชัดเจนมากขึ้น กองทัพประชาชนประกอบไปด้วยทหารอาชีพ (คือคนที่เลี้ยงชีพด้วยการเป็นทหาร) เหมือนกับกองทัพอื่นๆในโลก คำถามคือ กองทัพประชาชนเวียดนามมีความสัมพันธ์กับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพลเรือนอย่างไร หรือจะถามให้ตรงกว่านั้น ในฐานะทหารอาชีพ กองทัพเวียดนามมีบทบาททางการเมืองหรือไม่และอย่างไร
ผู้ที่ศึกษาเรื่องเวียดนามยังมีความเห็นไม่ลงรอยกันนักเกี่ยวกับบทบาทของกองทัพเวียดนามในทางการเมืองและความสัมพันธ์กับพลเรือน ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าเวียดนามประสบความสำเร็จในการสถาปนาแนวคิดพลเรือนเป็นใหญ่ เพราะยังไม่เคยมีสักครั้งนับแต่ก่อตั้งกองทัพประชาชนเวียดนามเมื่อปี 1946 ที่ทหารเวียดนามจะเข็นรถถังออกมายึดอำนาจในการปกครอง คงเป็นเรื่องที่ประหลาดมากที่จะเห็นนายทหารอาวุโสของกองทัพเวียดนามแสดงความเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะ
ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งรวมทั้งผู้เขียนบทความนี้เองเห็นว่าแนวคิดพลเรือนเป็นใหญ่แบบที่ฮันติงตันว่านั้นไม่เคยมีอยู่ในระบอบสังคมนิยม ถ้าเราลองมองจากมุมของฮันติงตัน พรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้ให้กำเนิดกองทัพ เปรียบไปแล้วก็คือกษัตริย์ หลังการปฏิวัติสถาปนาระบอบสังคมนิยมแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์ไม่ได้ปล่อยมือจากการควบคุมกองทัพ และประการสำคัญ — ใครคือ ‘พลเรือน’ ที่จะแย่งอำนาจการควบคุมกองทัพ ในเมื่อระบบรัฐสภาก็เป็นเพียงองค์กรหนึ่งที่อยู่ใต้อาณัติพรรคคอมมิวนิสต์เช่นกัน แม้ว่าจะมีการเลือกตั้งก็เป็นแต่เพียงกลไกที่อยู่ภายใต้การชี้นำของพรรคคอมมิวนิสต์อยู่ดี
Carlyle Thayer[2] ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเวียดนามศึกษาชี้ว่าแนวคิดเรื่องพลเรือนเป็นใหญ่ คือการให้พลเรือนควบคุมกองทัพทั้งหมดเป็นสิ่งที่ไม่สามารถประยุกต์ใช้ได้ในเวียดนาม การปฏิสัมพันธ์ระหว่างทหารกับพลเรือนที่ชัดแจ้งที่สุดจะเกิดขึ้นแต่เฉพาะภายในคณะกรรมาธิการทหารของพรรคคอมมิวนิสต์ นอกนั้นแล้วความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับองคาพยพอื่นของเวียดนามไม่ค่อยชัดเจนนัก รัฐสภาไม่มีอำนาจหน้าที่ในการถ่วงดุลหรือตรวจสอบกองทัพ อีกทั้งกองทัพประชาชนเวียดนามนั้นมีบทบาทหน้าที่หลายอย่าง ตั้งแต่ป้องกันประเทศ รักษาความมั่นคงภายใน ไปจนถึงทำธุรกิจและพัฒนาเศรษฐกิจ
บทความนี้ต้องการที่จะทำความเข้าใจเรื่องบทบาททางการเมืองของกองทัพประชาชนเวียดนาม โดยพิจารณาจากความสัมพันธ์ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามและกองทัพประชาชนเวียดนามเป็นสำคัญ เพื่อโต้แย้งว่า แท้จริงแล้วพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามที่ได้ชื่อว่าเป็นพรรคที่พลเรือนเป็นใหญ่อยู่แล้ว มีอำนาจในการบังคับและกำหนดฐานะบทบาททางการเมืองกองทัพเวียดนาม ทหารเวียดนามไม่จำเป็นต้องแสวงหาอำนาจในทางการเมือง เพราะพรรคคอมมิวนิสต์ให้สิทธิพิเศษนั้นเอาไว้แล้ว
ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์และกองทัพประชาชน
หากจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาททางการเมืองของกองทัพเวียดนาม มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์และกองทัพ ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับรัฐบาลหรือรัฐสภา เนื่องจากพรรคคอมมิวนิสต์ไม่ได้เป็นพรรคการเมืองทั่วไป แต่เป็นหน่วยการเมืองที่มีอำนาจสูงสุด เป็นผู้ให้กำเนิดความเป็นรัฐในระบอบสังคมนิยมในปัจจุบัน ด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ การก่อกำเนิดและจารีตแบบสังคมนิยม อาจจะกล่าวได้ว่า พรรคคอมมิวนิสต์และกองทัพประชาชนมีความสัมพันธ์กันแบบ symbiotic คือเสมือนหนึ่งร่วมชีวิตกันมาตั้งแต่กำเนิด รัฐธรรมนูญเวียดนามฉบับปัจจุบันกำหนดว่า พรรคคอมมิวนิสต์เป็นแนวหน้าของชนชั้นกรรมาชีพ กองทัพมีหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของรัฐ คุ้มครองบูรณภาพแห่งดินแดน ประชาชน และพรรคคอมมิวนิสต์
เอกสารทางการที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันทั้งสองชัดเจนที่สุดคือสมุดปกขาวว่าด้วยการป้องกันประเทศซึ่งออกมาทุก 10 ปี โดยฉบับที่ใช้ในปัจจุบันคือ 2019 Vietnam National Defense ซึ่งออกมาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ในเอกสารดังกล่าวระบุว่า “พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามมีหน้าที่สมบูรณ์ โดยตรง และรอบด้านเหนือกองทัพประชาชนเวียดนาม และอำนาจเช่นว่านั้นรวมศูนย์อยู่ที่กรรมการศูนย์กลางพรรค โดยกรมการเมือง และกองเลขาธิการเป็นผู้ใช้อำนาจผ่านกลไกของพรรค หน่วยการเมือง หน่วยบัญชาการและเจ้าหน้าที่ในทุกระดับ”[3]
องค์กรภายในพรรคที่มีอำนาจควบคุมกองทัพโดยตรงคือ คณะกรรมาธิการทหารศูนย์กลางพรรค (Central Military Commission) คณะกรรมาธิการดังกล่าวจะได้รับคัดเลือกจากกรมการเมือง (Politburo) โดยสมาชิกจะมาจากคณะกรรมการพรรคทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ ทำหน้าที่เป็นประธานของคณะกรรมาธิการทหาร
อำนาจหน้าที่สำคัญของคณะกรรมาธิการทหารคือ บังคับบัญชากองทัพในทุกพื้นที่ ให้คำแนะนำแก่กรมการเมือง และสำนักเลขาในกิจการทหาร ความมั่นคงและการป้องกันประเทศ นอกจากนี้คณะกรรมาธิการยังบังคับบัญชากรมใหญ่การเมือง (General Political Department) ซึ่งเป็นหน่วยงานทางด้านการเมืองของกองทัพประชาชนเวียดนาม และกรมใหญ่การเมืองนี่เองที่พรรคคอมมิวนิสต์กำหนดให้ทำหน้าที่ในทางการเมืองค่อนข้างชัดเจน โดยให้มีอำนาจกำหนดทิศทาง สั่งการ บังคับบัญชา ตรวจสอบทุกหน่วยในกองทัพ ทำหน้าที่สร้างพื้นฐานของพรรคในเหล่าทัพ ดูแลกำลังพล โฆษณาทางการเมือง (political propaganda) ให้การศึกษาอบรมทางด้านอุดมการณ์ ดูแลความมั่นคงทางทหารและระดมมวลชน นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ในการประสานงานกับหน่วยงานภายนอกกองทัพ เช่น สหภาพเยาวชน สหภาพแรงงาน สหภาพสตรี รวมทั้งหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐในกิจการต่างๆ อันเกี่ยวกับพรรคและกองทัพอีกด้วย หน้าที่สำคัญที่จะต้องทำในส่วนนี้ เช่น สร้างกองกำลังประชาชนติดอาวุธหรือทหารอาสา (militia) กองกำลังป้องกันตนเองและกำลังสำรอง อีกทั้งกรมใหญ่การเมืองยังมีอำนาจหน้าที่ดูแลเรื่องการสืบสวนสอบสวนและงานยุติธรรมภายในกองทัพอีกด้วย
กล่าวโดยทั่วไป กรมใหญ่การเมืองคือกลไกของพรรคคอมมิวนิสต์ที่ฝังตัวอยู่ในกองทัพ เพื่อทำหน้าที่ทั้งควบคุมและปลูกฝังอุดมการณ์ Marxist-Leninist ชี้นำทิศทางและนโยบายการเมือง ให้กับกำลังพลในกองทัพ ทหารอาสา กองกำลังป้องกันตนเองและกำลังสำรอง ทำสงครามจิตวิทยา (และรวมตลอดถึงปฏิบัติการข่าวสารข้อมูล—information operation) ตอบโต้กองกำลังภายนอก ซึ่งในหลายกรณีหมายรวมถึงประชาชนเวียดนามเองที่อาจจะมีแนวคิด ‘ออกนอกลู่นอกทาง’ หรือต่างไปจากอุดมการณ์หลักของชาติด้วย นอกจากนี้แล้วยังมีหน้าที่ในการวิจัยและพัฒนา ศาสตร์และศิลปะแห่งสงคราม (military art and science) วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางทหารอีกด้วย
พรรคคอมมิวนิสต์สามารถควบคุมกองทัพได้อย่างเบ็ดเสร็จเพราะมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมือง (political commissars) และหน่วยการเมืองอยู่ทั่วไปตั้งแต่กรมกองทหารต่างๆ ไปจนถึงกองบัญชาการระดับภาค หน่วยทหารตั้งแต่ระดับกองร้อยขึ้นไปจะต้องมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองประจำเพื่อทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาให้กรมใหญ่การเมือง ซึ่งจริงๆ แล้วคือทำหน้าที่แทนพรรคคอมมิวนิสต์ในการควบคุมกำลังพล บรรดาผู้บัญชาการทหาร ผู้บังคับหน่วย เจ้าหน้าการเมืองทั้งอาวุโสและชั้นต้น จะปฏิบัติหน้าที่ตามที่พรรคคอมมิวนิสต์มอบหมาย ประเด็นที่จะต้องกล่าวถึงเป็นพิเศษในที่นี้คือ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บัญชาการทหารและเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองคือผู้ประสานงาน ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา ในแง่นี้แสดงให้เห็นว่า พรรคคอมมิวนิสต์ยังให้อำนาจกองทัพเอาไว้ระดับหนึ่งและฝ่ายการเมืองทำหน้าที่ในการดุลอำนาจนั้นไปด้วยในตัว
บทบาทการเมืองแปรตามสถานการณ์ความมั่นคง
ในความสัมพันธ์ที่เสมือนหนึ่งว่า กองทัพอยู่ใต้บังคับบัญชาและฟังคำสั่งพรรคคอมมิวนิสต์แต่ฝ่ายเดียวนั้น ถ้ามองในแนวรัฐศาสตร์กระแสหลักแล้ว ทหารและกองทัพถือได้ว่าเป็นกลุ่มผลประโยชน์หรือกลุ่มกดดันทางการเมืองที่มีอิทธิพลมาก ในขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์เองก็มีกฎเกณฑ์และประเพณีในการเปิดพื้นที่ให้ทหารเข้าไปมีส่วนในการตัดสินใจกำหนดชะตากรรมของประเทศ โดยยอมรับให้นายทหารผู้แทนกองทัพเข้าไปนั่งเป็นกรรมการศูนย์กลางพรรคและในส่วนชั้นในสุดของศูนย์กลางอำนาจคือกรมการเมือง และมีสิทธิในการดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ของพรรค อีกทั้งเมื่อได้มีตำแหน่งในพรรคแล้วก็จะมีตำแหน่งในฝ่ายบริหารคือกระทรวงกลาโหมไปด้วยเกือบจะเป็นอัตโนมัติ ซึ่งนี่ก็เป็นช่องทางให้ทหารและกองทัพผลักดันวาระและผลประโยชน์ของตัวเองได้ อำนาจและบทบาทแบบนี้ของกองทัพมีขึ้นมีลงตามสถานการณ์ของภูมิภาคและของโลก
หลังยุคปฏิรูปโด๋ยเม่ย เพื่อเปิดกว้างในระบบเศรษฐกิจในช่วงสมัชชาใหญ่ของพรรคครั้งที่ 6 ในปี 1986 แล้วกองทัพถูกลดบทบาทและงบประมาณลงมาก โดยเฉพาะหลังการถอนทหารจากกัมพูชาในปี 1989 แล้วเวียดนามต้องลดกำลังพลลงมากกว่าครึ่งและไม่มีบทบาทอะไรมากนักในพรรคคอมมิวนิสต์ เพื่อเปิดทางให้ผู้นำสายปฏิรูปเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจแบบตลาด นำพาประเทศสู่กระแสเสรีนิยมและโลกาภิวัตน์อย่างเต็มตัว
กระทั่งสมัชชาครั้งที่ 8 ในปี 1996 ระหว่างที่โด๋ เหมื่อย ผู้นำหัวอนุรักษ์ กุมบังเหียนในพรรคและเห็นว่าเวียดนามเปิดกว้างเกินไป เร็วเกินไป กองทัพจึงได้ฟื้นฟูบทบาทในการเมืองอีกครั้ง เมื่อมีนายพลจากกองทัพ 2 คนได้รับคัดเลือกให้เข้าไปนั่งในกรมการเมืองที่มีสมาชิกทั้งหมด 19 คน ในครั้งนั้นมีการยุบกองเลขาธิการพรรคที่ถือว่าเป็นหน่วยงานที่มีอิทธิพลที่สุดในพรรคทิ้งไป และตั้งคณะกรรมการประจำกรมการเมืองขึ้นมาแทน โดยคนทำงานในคณะกรรมการนี้อยู่ภายใต้อิทธิพลของทหาร[4] และคณะกรรมการชุดนี้มีอิทธิพลมากหลังจากที่ พลเอก เล ขา เฟียว (Lê Kha Phiêu) อดีตหัวหน้ากรมใหญ่การเมืองของกองทัพ ขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคในปี 1997 แทนโด๋ เหมื่อยที่นั่งในตำแหน่งสมัยที่สองได้เพียงปีเดียว
แต่หลังจากหมดยุคของเล ขา เฟียว ในสมัชชาครั้งที่ 9 ปี 2001 อิทธิพลของกองทัพในพรรคคอมมิวนิสต์ลดลงอย่างมาก มีนายทหารเพียง 1 คน จากเดิม 2 คน (โปรดดูตาราง) ได้เป็นสมาชิกกรมการเมือง จำนวนทหารในกรรมการกลางพรรคลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 17 ใน 170 ในสมัยเล ขา เฟียวลดลงเหลือ 14 จากจำนวนกรรมการกลาง 150 คน คำอธิบายในตอนนั้นว่าทำไมอยู่ๆ อิทธิพลของทหารจึงลดลงอย่างมาก ด้านหนึ่งเพราะเล ขา เฟียวมีแนวทางอนุรักษนิยมมากเกินไป ในขณะที่ผู้นำคนอื่นๆโดยเฉพาะในสายปฏิรูปมองเห็นความจำเป็นที่เวียดนามจะต้องปรับเปลี่ยนแนวโยบายให้เปิดกว้างมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภูมิภาคที่ฟื้นตัวจากวิกฤตต้มยำกุ้งและเข้าสู่การพัฒนาในศตวรรษใหม่ที่เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและการเปิดเสรีรอบด้านแทนที่จะเน้นเรื่องความมั่นคงทางทหารแบบเก่า
การลงจากตำแหน่งของเล ขา เฟียว สะท้อนข้อเท็จจริงประการหนึ่งของการเมืองเวียดนามคือ แม้ทหารจะมีอาวุธอยู่ในมือ เล ขา เฟียวเองก็เคยเป็นทหารเก่า แต่เขาไม่สามารถใช้อำนาจทางทหารหรือเส้นสายในกองทัพต้านทานผู้นำสายปฏิรูปได้ ระหว่างที่ต่อสู้กันในพรรคนั้น ก็ไม่ปรากฏว่ามีทหารในกลุ่มใดในกองทัพตบเท้าสนับสนุนเขาในทางการเมืองเพื่อให้เขาสามารถรักษาอำนาจและตำแหน่งเอาไว้ได้ อีกทั้งยังไม่เคยมีรายงานว่าทหารในกองทัพประชาชนเวียดนามพยายามก่อรัฐประหารเพราะไม่พอใจการเมือง แม้ว่าพวกเขาจะเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ว่า ‘อำนาจรัฐนั้นสามารถได้มาด้วยกระบอกปืน’ ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม สัดส่วนของทหารในกรมการเมืองเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้งในสมัชชาใหญ่ครั้งที่ 13 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2021 นี่เอง โดยพลเอก ฟาน วัน ซาง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (Chief of General Staff) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกลาโหม และพลเอก เลือง เกื่อง หัวหน้ากรมใหญ่การเมือง ได้เป็นสมาชิกกรมการเมืองพร้อมกัน 2 คน[5] ในทำนองเดียวกัน จำนวนทหารที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามก็เพิ่มขึ้นด้วย กล่าวคือ มี 23 จาก 180 คนหรือ 12.8 เปอร์เซ็นต์เป็นทหาร หมายความว่ากองทัพกลายเป็นบล็อกโหวตที่ใหญ่ที่สุดในคณะนำในศูนย์กลางพรรคคอมมิวนิสต์[6]
ปรากฏการณ์นี้เกิดจากปัจจัยสำคัญ 3 ประการคือ แรกเลยทีเดียว เกิดจากการแข่งขันระหว่างนายทหารใหญ่ 2 คน ว่ากันตามประเพณีแล้ว เกื่องมีภาษีดีกว่าที่จะได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกกรมการเมืองเพียงคนเดียว เพราะเขามีอาวุโสสูงกว่าและอยู่ในกองเลขาธิการพรรค ในขณะที่ซางนั้นอ่อนอาวุโส เป็นแค่กรรมการกลางของพรรคธรรมดา แต่เขามีคุณสมบัติที่จะได้เป็นรัฐมนตรีกลาโหมเพราะเป็นทหารในสายบังคับบัญชา (command)ในขณะที่เกื่องนั้นอยู่ในสายการเมือง แต่ความไม่คงเส้นคงวาในเรื่องคุณสมบัติของคนที่จะอยู่ตำแหน่งต่างๆ ในสารบบการเมืองเวียดนามก็เกิดมาตลอด เพราะรัฐมนตรีกลาโหมคนก่อนคือ โง ซวน ลิก ก็มาจากกรมใหญ่การเมือง ไม่ใช่ทหารสายบังคับบัญชาแต่อย่างใด ในที่สุดก็ประนีประนอมกันได้ ด้วยการตัดสินใจเอาไว้ทั้งสองคน โดยซางได้รับตำแหน่งในฝ่ายบริหารด้วย คือเป็นรัฐมนตรีกลาโหมแล้วเลื่อนรองของเขาคือ เหงียน เติ่น เกื่อง ขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด (Chief of General Staff) แทน[7]
ประการที่สอง กองทัพประชาชนเวียดนามมีบทบาทอย่างมากในการทำธุรกิจและพัฒนาเศรษฐกิจ มีรัฐวิสาหกิจจำนวนมากและเขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อความมั่นคงอยู่ในการควบคุมและบริหารของกองทัพ ธุรกิจหลายอย่าง เช่นโทรคมนาคม ก็ประสบความสำเร็จอย่างมากและกำลังจะกลายเป็นจุดผลักดันให้เวียดนามไปสู่ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีในการป้องกันประเทศในระดับภูมิภาค จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า กองทัพจะมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นในส่วนการนำของพรรคคอมมิวนิสต์
ประการที่สาม ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ เนื่องจากเวียดนามอ้างสิทธิเหนือหมู่เกาะพาราเซลและสแปรตลี่ในทะเลจีนใต้ทับซ้อนกับจีนและฟิลิปปินส์มาตั้งแต่ก่อตั้งประเทศในระบอบสังคมนิยมโน่นเลยทีเดียว แต่ปัญหาในยุคปัจจุบันเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 21 เมื่อจีนเริ่มการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกซึ่งสามารถใช้ประโยชน์ในทางทหารได้ ถึงปัจจุบันจีนมีสิ่งปลูกสร้าง 20 แห่งบนหมู่เกาะพาราเซล 7 แห่งบนหมู่เกาะสแปรตลี่ ถมทรายสร้างเกาะเทียมเป็นพื้นที่ประมาณ 8,000 ไร่ จนทำให้เกิดเป็นข้อพิพาทเรื่องดินแดนระหว่างกัน เวียดนามเองก็สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกคล้ายๆ กันในหมู่เกาะสแปรตลี่เช่นกัน ปัจจุบันเวียดนามมีสิ่งปลูกสร้างประมาณ 50 แห่งทั่วหมู่เกาะ โขดหิน เนินทราย 27 แห่งในทะเลจีนใต้ อีกทั้งได้อ้างสิทธิเหนือพื้นที่ใหม่ๆ ในบริเวณนั้นอีกด้วย การกระทบกระทั่งกันในพื้นที่พิพาทเกิดขึ้นเสมอๆ ในระยะกว่าทศวรรษที่ผ่านมา
ขยายแสนยานุภาพ
นับแต่ต้นศตวรรษที่ 21 เวียดนามเริ่มเพิ่มงบประมาณและค่าใช้จ่ายในการป้องกันประเทศอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา สถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสต็อกโฮล์ม (Stockholm International Peace Research Institute) และธนาคารโลกรายงานว่า งบประมาณทางทหารของเวียดนามเพิ่มจาก 841 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2003 เป็น 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2018 และนักวิเคราะห์ชาวเวียดนามคาดว่าน่าจะเพิ่มไปถึง 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีหน้า[8] จำนวนทหารเพิ่มขึ้นจาก 495,000 คนในปี 2005 เป็น 522,000 ในปี 2018 ปัจจุบันคาดว่าเวียดนามน่าจะมีกำลังทหารประจำการอยู่ประมาณ 482,500 คน แม้จำนวนทหารจะลดลงมาก แต่งบประมาณไม่ได้ลดลง เพราะเวียดนามให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถทางด้านยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีในการป้องกันประเทศมากกว่า จึงทุ่มเทงบประมาณไปทางนั้นมากกว่าจะเลี้ยงกำลังพลเอาไว้โดยไม่จำเป็น
เพื่อให้การป้องกันน่านฟ้าเหนือทะเลจีนใต้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กองทัพประชาชนเวียดนามน่าจะต้องมีเครื่องบินรบอย่างน้อย 140 ลำ แต่ปัจจุบันกองทัพอากาศเวียดนามยังมีเพียงเครื่องบินในตระกูล Sukhoi จำนวน 46 ลำซึ่งประจำการมาตั้งแต่ทศวรรษ 1980, 1990 และ 2000 ตามลำดับ โดยชุดที่ใหม่ที่สุดคือ SU 30MK2 จำนวน 4 ลำในปี 2016 หมายความว่ากองทัพเวียดนามยังมีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มแสนยานุภาพทางอากาศอีกมาก
ในส่วนของกองทัพเรือนั้น เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า เวียดนามมีเรือดำน้ำชั้น Kilo 6 ลำผลิตในรัสเซีย ทำให้เวียดนามกลายเป็นชาติที่มีเรือดำน้ำมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกนั้นมีเรือฟรีเกต 4 ลำ เรือฟรีเกตต่อต้านเรือดำน้ำอีก 5 ลำ[9] กระทรวงกลาโหมของเวียดนามเพิ่งประกาศจัดตั้งหน่วยทหารใหม่ (Permanent Maritime Militia Unit) ที่จังหวัดเคียนซาง เมื่อเดือนมิถุนายน 2021 เพื่อปฏิบัติการคุ้มครองน่านน้ำทางด้านใต้ในพื้นที่ซึ่งติดกับอ่าวไทย หน่วยนี้มีเรือ 9 ลำพร้อมอุปกรณ์ในการลาดตระเวนและตรวจการ ดำเนินการภายใต้การสนับสนุนของวิทยาลัยการทัพเรือของเวียดนาม ก่อนหน้านี้ในเดือนเมษายนก็เพิ่งตั้งหน่วยปฏิบัติการทางทะเลที่หวุงเต่า จังหวัดชายทะเลทางด้านใต้ของเวียดนามซึ่งเป็นฐานการผลิตแก๊สและน้ำมันที่สำคัญของเวียดนาม[10]
ในบริบทของความขัดแย้งในทะเลจีนใต้นั้น เวียดนามใช้หน่วยยามฝั่ง (Coast Guard) ในการปฏิบัติการค่อนข้างมาก แต่ประเด็นสำคัญที่จะต้องอธิบายที่นี้คือ กองกำลังยามฝั่งของเวียดนามนั้นพัฒนามาจากตำรวจน้ำเดิมอยู่ภายใต้สังกัดกองทัพเรือ แต่เพื่อให้เป็นการลดภาระกองทัพเรือในยามสันติ และเพื่อให้สอดคล้องกับหลักปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ จึงมีการปรับเปลี่ยนให้หน่วยยามฝั่งเป็นหน่วยแยกออกจากกองทัพเรือและสังกัดกระทรวงกลาโหมโดยตรง และปรับอีกครั้งในปี 2013 ให้หน่วยยามฝั่งย้ายออกจากกระทรวงกลาโหมไปอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของรัฐบาลโดยตรง (ระดับเดียวกับกระทรวง) และกำหนดให้ยามฝั่งเป็นกองกำลังติดอาวุธของพลเรือนไม่ใช่ทหาร ทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมายในเขตชายฝั่ง ทะเลอาณาเขตและเขตเศรษฐกิจจำเพาะ[11] แต่ก็ยังมีหน้าที่ให้คำแนะนำแก่กระทรวงกลาโหมและพรรคคอมมิวนิสต์ในการกำหนดยุทธศาสตร์ความมั่นคงทางทะเล[12]
ปฏิบัติการของเรือยามฝั่งของเวียดนามเผชิญหน้ากับเรือของจีนในพื้นที่พิพาทในทะเลจีนใต้อยู่เนืองๆ ภาวะตึงเครียดครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นในปี 2019 เมื่อเรือยามฝั่งของเวียดนามเผชิญหน้ากับเรือสำรวจน้ำมัน Haiyang Dizhi 8 ซึ่งเข้าไปสำรวจทรัพยากรปิโตรเลียมในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของเวียดนามอยู่หลายเดือน[13] ปัจจุบัน (ข้อมูลปี 2019) หน่วยยามฝั่งเวียดนามมีเรือลาดตระเวนและเรือตรวจการทั้งเล็กและใหญ่ระวางขับน้ำตั้งแต่ 100-500 ตันทั้งสิ้น 66 ลำ
โดยสรุปแล้ว สถานการณ์และความจำเป็นทางยุทธศาสตร์อาจจะทำให้กองทัพประชาชนเวียดนามสามารถเพิ่มสัดส่วนบุคคลกรให้เข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจของพรรคคอมมิวนิสต์เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน แต่นั่นก็เป็นไปโดยสอดคล้องกับทิศทางและยุทธศาสตร์ในการบริหารประเทศที่กำหนดโดยพรรคคอมมิวนิสต์ มองในทางการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์ก็ยังมีอำนาจเหนือกองทัพอยู่ดี ประการสำคัญ การเข้าไปมีบทบาททางการเมืองของทหารหรือกองทัพเวียดนามนั้นจะแตกต่างจากการแสวงหาอำนาจและบทบาททางการเมืองของทหารในประเทศด้อยพัฒนาอื่นๆ ตรงที่ทหารเวียดนามไม่ได้แสวงหาอำนาจในทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของกองทัพหรือฝักฝ่ายในกองทัพเป็นหลัก เช่นการเพิ่มงบประมาณทางทหารหรือการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ สามารถเกิดขึ้นได้โดยการตัดสินใจตามยุทธศาสตร์ที่พรรคคอมมิวนิสต์กำหนดเอาไว้เท่านั้น ไม่ได้เกิดเพราะมีนายทหารเข้าไปนั่งในศูนย์กลางอำนาจของพรรค ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น เวียดนามเริ่มเพิ่มงบประมาณในการป้องกันประเทศ จำนวนกำลังพล และขยายแสนยานุภาพทางทหารมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 21 ซึ่งในเวลานั้นมีนายทหารแค่คนเดียวไปนั่งอยู่ในกรมการเมือง
ถ้าหากคำว่าพลเรือนเป็นใหญ่เป็นประเด็นสำคัญในการพิจารณาบทบาททางการเมืองของทหาร ในแง่นี้ก็อาจจะกล่าวได้ว่า เวียดนามประสบความสำเร็จในการให้ฝ่ายการเมืองควบคุมอำนาจของคนถือปืนได้แน่นอน เพราะสามารถจัดวางและสร้างประเพณีในทางการเมืองไว้ให้กองทัพมานานพอควรแล้ว แต่ถ้าหากคำว่า พลเรือนหมายถึงสมาชิกรัฐสภาหรือนักการเมืองที่ได้รับอาณัติจากประชาชนผ่านการเลือกตั้ง เวียดนามก็ยังไม่มีระบบเช่นว่านั้นก่อรูปร่างขึ้นมาแต่อย่างใด
ตาราง1 : เปรียบเทียบจำนวนทหารในศูนย์กลางอำนาจพรรคและงบประมาณกลาโหมหลังการปฏิรูป Doi Moi
สมัชชา | กรมการเมือง | เปอร์เซ็นต์ | กรรมการกลาง | เปอร์เซ็นต์ | งบกลาโหม (ล้านดอลลาร์สหรัฐ) |
ครั้งที่ 6 (1986) | 2 ใน 13 | 15.4 | 9 ใน 124 | 7.3 | 1,300 |
ครั้งที่ 7 (1991) | 2 ใน 13 | 15.4 | 13 ใน 146 | 8.9 | 427 |
ครั้งที่ 8 (1996) | 2 ใน 19 | 10.5 | 17 ใน 170 | 10.0 | Na |
ครั้งที่ 9 (2001) | 1 ใน 15 | 6.7 | 14 ใน 150 | 9.3 | Na |
ครั้งที่ 10 (2006) | 1 ใน 14 | 7.1 | 17 ใน 160 | 10.6 | 1,287 |
ครั้งที่ 11 (2011) | 1 ใน 14 | 7.1 | 19 ใน 175 | 10.9 | 2,687 |
ครั้งที่ 12 (2016) | 1 ใน 19 | 5.2 | 20 ใน 180 | 11.1 | 5,017 |
ครั้งที่ 13 (2021) | 2 ใน 18 | 11.1 | 23 ใน 180 | 12.8 | 5,500 |
ตาราง 2: กำลังทหารเวียดนามนับแต่ถอนทหารจากกัมพูชาถึงปัจจุบัน
ปี | สถานการณ์ | กำลังพล |
1989 | ถอนทหารจากกัมพูชา | 1,250,000 |
1995 | เข้าเป็นสมาชิกอาเซียน | 622,000 |
1998 | หลังวิกฤตการเงินเอเชีย | 524,000 |
2007 | เข้าร่วมองค์การการค้าโลก | 495,000 |
2014 | จีนเริ่มสร้างเกาะเทียมในทะเลจีนใต้ | 522,000 |
2021 | สถานการณ์ปัจจุบัน | 482,500 |
[1] Samuel P. Huntington. The Soldier and The State: The theory and Politics of Civil-Military Relations. (Cambridge, London: The Belknap Press of Harvard University Press, 1985) p.81
[2] Carlyle Thayer. The political economy of military-run enterprises in Vietnam. In Paul Chambers and Napisa Waitoolkiat (Eds.) Khaki Capital: The Political Economy of the Military in Southeast Asia. (Copenhagen: NIAS) pp. 130-160.
[3] Ministry of National Defense 2019 Vietnam National Defense (Hanoi, National Political Publishing House, 2019) p.55
[4] David Elliott Changing World. Vietnam’s transition from cold war to globalization (New York: Oxford,2012) p. 221.
[5] “Vietnam: ‘Rare when to army generals are in the Politburo” BBC (Vietnamese Service) 20 February 2021 (https://www.bbc.com/vietnamese/vietnam-56139990)
[6] Le Hong Hiep “The Military Resurging Influence in Vietnam” ISEAS Perspective 27 April 2021 (https://www.iseas.edu.sg/wp-content/uploads/2021/03/ISEAS_Perspective_2021_54.pdf)
[7] Hoang Thuy “Vietnam appoints new chief of general staff” VN Express 3 June 2021 (https://e.vnexpress.net/news/news/vietnam-appoints-new-chief-of-general-staff-4288722.html)
[8] Nguyen The Phuong “Why is Vietnam Military Modernization Slowing?” ISEAS Perspective 22 July 2021 (https://www.iseas.edu.sg/wp-content/uploads/2021/06/ISEAS_Perspective_2021_96.pdf)
[9] Alex Vuving “Tracking Vietnam force build up in the South China Sea” Asia Maritime Transparency Initiative 3 November 2017 (https://amti.csis.org/tracking-vietnams-force-build-south-china-sea/)
[10] Tomoya Onishi “Vietnam expand maritime militia off Southern coast” Nikkei Asia 12 June 2021 (https://asia.nikkei.com/Politics/International-relations/South-China-Sea/Vietnam-expands-maritime-militia-off-southern-coast)
[11] Nguyen Thi Lan Anh and Mai Ngan Ha. “Vietnam Maritime Law Enforcement” Korean Journal of International and Comparative Law(2018) p.174
[12] Ministry of National Defense 2019 Vietnam National Defense (Hanoi, National Political Publishing House, 2019) p.67
[13] Khanh Vu and James Pearson “Chinese ship back in waters off Vietnam amid coronavirus distraction” Reuters 14 April 2020 (https://www.reuters.com/article/us-vietnam-china-southchinasea-idUSKCN21W0CT)