ภาพจาก JAMES WILSONTHAI / NEWS PIX / AFP
“การระบาดของปลาหมอคางดำในระบบนิเวศธรรมชาติถือเป็นหายนะทางนิเวศครั้งรุนแรงที่สุดที่เราเคยเห็นและรับรู้
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราทำอะไรไม่ได้ และต้องก้มหน้าปล่อยให้เป็นไป”
ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ นักนิเวศวิทยา
ในช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา สื่อมวลชนหลายฉบับได้ลงข่าวเกี่ยวกับปัญหาการระบาดของ ‘ปลาหมอคางดำ’ ว่า หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องได้มีการจัดการปัญหานี้อย่างจริงจังและได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
“นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า จากการทุ่มเทดำเนินมาตรการควบคุมและจัดการปลาหมอคางดำอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง ส่งผลให้สถานการณ์การระบาดในภาพรวมดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยผลการสำรวจล่าสุดในเดือนธันวาคม ปี 2567 ที่ผ่านมา ในกว่า 190 แม่น้ำและลำคลอง พบว่าพื้นที่การระบาดลดลงจาก 19 จังหวัด เหลือ 17 จังหวัด โดยจังหวัดปราจีนบุรีและพัทลุงที่พบปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำในปริมาณที่น้อยมากหรือแทบไม่พบเลย และขณะที่จังหวัดอื่นพบปลาลดลงอย่างต่อเนื่อง…” (ประชาชาติธุรกิจ 12 มกราคม 2568) [1]
ปลาหมอคางดำจัดว่าเป็น ‘ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน’ (invasive alien species) หมายถึง ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น (alien species) เกิดขึ้นในที่ที่แตกต่างจากพื้นที่การแพร่กระจายตามธรรมชาติ โดยที่ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นบางชนิดแพร่ระบาดจนกลายเป็นรุกราน คุกคามระบบนิเวศ แหล่งที่อยู่อาศัย หรือชนิดพันธุ์อื่นๆ โดยมีหลายปัจจัยที่มีผลเกื้อหนุนให้ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นตั้งรกรากและรุกรานในที่สุด
ในปี 2553 บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทเดียวที่ได้รับอนุญาตจากกรมประมงนำเข้าปลาหมอคางดำ จำนวน 2,000 ตัว โดยมีศูนย์ทดลองอยู่ที่ตำบลยี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม จากนั้นปลาหมอคางดำได้ทยอยตายเกือบทั้งหมดภายใน 3 สัปดาห์ บริษัทอ้างว่าได้ทำลายและฝังกลบซากปลาโดยการโรยด้วยปูนขาวและแจ้งให้กรมประมงทราบด้วยวาจา และไม่ได้จัดทำรายงานอย่างเป็นทางการหรือเก็บซากปลาส่งให้กับกรมประมงตามเงื่อนไขการอนุญาต
ในปี 2555 เกษตรกรในพื้นที่ตำบลยี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม พบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำเป็นครั้งแรก แต่ไม่มีหน่วยงานใดสนใจจริงจัง ไม่มีบริษัทใดออกมาแสดงความรับผิดชอบและมีเพียงความเงียบ
หลายปีผ่านไป ปลาหมอคางดำได้ระบาดไปหลายจังหวัด ในบ่อและคลองธรรมชาติ กินแพลงค์ตอน สัตว์น้ำวัยอ่อน ทำให้กุ้ง ปลา หอย และปูที่เลี้ยงในบ่อถูกทำลายจนหมด รวมไปถึงสัตว์น้ำอื่นในแหล่งน้ำธรรมชาติ ทำให้ชาวบ้านจำนวนมากแทบล้มละลาย
แต่ดูเหมือนข้อมูลของฝ่ายราชการจะแตกต่างจากชาวบ้านหลายจังหวัดที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
เมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา ตัวแทนประชาชนจาก 19 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของปลาหมอคางดำ อีกทั้งผู้สนับสนุนรวมกันกว่า 200 คน รวมพลบริเวณถนนสีลม เพื่อเดินทางด้วยเท้าไปยังตึกซีพีทาวเวอร์ เรียกร้องให้บริษัทซีพีเอฟแสดงความรับผิดชอบต่อปัญหาการระบาดของปลาหมอคางดำ พร้อมป้ายข้อความเรียกร้องต่างๆ เช่น “ผู้ก่อปัญหาสิ่งแวดล้อม ผู้นั้นต้องรับผิดชอบ” หรือ “ใครเอาเข้ามา ก็เอาคืนไป” เป็นต้น
ด้านนายธีระ วงษ์เจริญ ผู้นำเกษตรกรจากจังหวัดจันทบุรี อ่านคำแถลงเรียกร้องให้ซีพีเอฟซึ่งเป็นเอกชนรายเดียวที่นำเข้าปลาหมอคางดำเข้ามาเมื่อปี 2553 และต่อมาพบการระบาดในบริเวณคลองติดกับฟาร์มและใกล้ฟาร์ม ให้แสดงความรับผิดชอบ
“ซีพีเอฟแถลงเมื่อปลายปี 2567 ที่ผ่านมาว่า เฉพาะไตรมาส 3 บริษัทมีผลกำไรมากถึง 7.3 พันล้านบาท ในฐานะบริษัทมหาชน ควรแบ่งผลกำไรเหล่านั้นคืนสู่สังคมเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ” ธีระกล่าว
ทุกวันนี้ สถานการณ์และผลกระทบจากปลาหมอคางดำระบาดไปอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ได้พบการระบาดในคลอง 7 ใกล้ฟาร์มของบริษัทเอกชนดังกล่าว จนบัดนี้ได้ขยายการระบาดออกไปถึง 19 จังหวัด ประกอบด้วย จันทบุรี, ระยอง, ฉะเชิงเทรา, สมุทรปราการ, นนทบุรี, กรุงเทพมหานคร, นครปฐม, ราชบุรี, สมุทรสาคร, สมุทรสงคราม, เพชรบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, สงขลา, ชลบุรี, พัทลุง และปราจีนบุรี อีกทั้งยังสร้างผลกระทบต่อเกษตรกร ชุมชน ประชาชน จนส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและความมั่นคงทางอาหารโดยรวมอย่างร้ายแรง
นายสามารถ สะกวี จากเครือข่ายความมั่นคงทางอาหารภาคใต้ระบุว่า “ขณะนี้ปลาหมอคางดำได้ระบาดอย่างหนักในพื้นที่หลายร้อยตารางกิโลเมตรบริเวณลุ่มน้ำปากพนัง ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ยันคาบสมุทรสทิงพระ จังหวัดสงขลา ทำลายสายพันธุ์ปลาท้องถิ่นแทบหมดสิ้น เชื่อว่าขณะนี้ปลาหมอคางดำกำลังพักตัวและจะระบาดในทะเลสาบสงขลาซึ่งเป็นศูนย์กลางความหลากหลายทางชีวภาพสำคัญของไทยและของโลกในไม่ช้า”
ล่าสุดมีรายงานข่าวว่า บ่อกุ้งขนาด 40 ไร่บริเวณตำบลยี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ชาวบ้านจับได้แต่ปลาหมอคางดำน้ำหนักรวม 6,000 กิโลกรัม โดยขายได้กิโลกรัมละ 3 บาท จึงประสบปัญหาขาดทุนยับเยิน
ในฐานะที่ผู้เขียนติดตามปัญหาการระบาดของปลาหมอคางดำมาตั้งแต่แรก ต้องยอมรับว่าปลาชนิดนี้มีความสามารถในการแพร่พันธุ์ได้อย่างดีเยี่ยมแทบไม่น่าเชื่อ ทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม ทำให้ปลาหมอชนิดนี้ระบาดไปทั้งภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ทำลายสัตว์น้ำชนิดอื่น ทั้งปลา กุ้ง หอย อย่างยับเยิน ชาวบ้าน ชาวประมงต่างสิ้นเนื้อประดาตัว มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจและการฟื้นฟูระบบนิเวศหลายหมื่นล้านบาท
ดูเหมือนการระบาดของปลาหมอคางดำจะอยู่ในแหล่งน้ำ แม่น้ำ ลำคลองไปอีกนานแสนนาน ไม่ต่างจากปัญหาการระบาดของหอยเชอรี่ชั่วประเทศที่กัดกินต้นข้าวในนาข้าว สร้างปัญหาให้กับชาวนามาตลอดสี่สิบกว่าปีที่ต้องดิ้นรนแก้ปัญหาด้วยตนเองในการกำจัดหอยเชอรี่ และทำให้ต้นทุนการปลูกข้าวเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีทางจบสิ้น ในขณะที่หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องก็ไม่สนใจ ไม่รับรู้ว่าจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร
ในอนาคตการระบาดของปลาหมอคางดำน่าจะเป็นหายนะทางระบบนิเวศครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สิ่งแวดล้อมไทย แต่ที่น่าเศร้าคือหน่วยงานราชการกลับไม่สามารถหาคนรับผิดชอบได้ ทั้งๆ ที่มีหลักฐานว่า บริษัทใดคือผู้นำเข้าปลาชนิดนี้ อีกทั้งยังทำให้ปลาหมอคางดำหลุดออกไปแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำธรรมชาติด้วยความประมาทจนระบาดไปทั่วน่านน้ำ
รัฐบาลไม่กล้าทำอะไรจนถึงปัจจุบันนี้ และไม่เคยมีการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเลยว่า ใครเป็นผู้กระทำผิด สาเหตุที่ทำให้เกิดความเสียหายในระบบนิเวศอย่างรุนแรงคืออะไร โดยที่นับวันยิ่งชัดเจนว่า ปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้าน คนตัวเล็กตัวน้อยทั่วไป ไม่อยู่ในความใส่ใจของผู้มีอำนาจ และยิ่งหากกระทบกระเทือนกับบรรดาผู้คุมอำนาจทางเศรษฐกิจของประเทศแล้ว ยิ่งยากเย็นขึ้นไปอีก
เราเคยเห็นภาพผู้นำตีกอล์ฟกับอภิมหาเศรษฐีบ่อยครั้ง แต่แทบไม่เคยเห็นผู้นำนั่งจับเข่าคุยกับชาวบ้านอย่างจริงจังถึงปัญหาความเดือดร้อนของพวกเขา นอกจากไปแจกของหรือผัดกับข้าวแจกชาวบ้าน
ในปี 2567 รัฐบาลได้ประกาศให้การระบาดของปลาหมอคางดำเป็นวาระแห่งชาติ มีการอนุมัติงบประมาณ 450 ล้านบาท และมีโครงการจับปลาหมอคางดำโดยรับซื้อเพื่อทำปุ๋ยชีวภาพ หรือการปล่อยปลานักล่า เป็นต้น แต่กลับไม่ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและจริงจัง จนขณะนี้ปลาหมอคางดำได้ขยายระบาดออกไปเพิ่มขึ้นสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนอย่างหนัก
เกษตรกรที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและจับสัตว์น้ำตามธรรมชาติบริเวณใกล้ชายฝั่งจำนวนมากได้รับผลกระทบ เช่น ต้องเป็นหนี้สิน สูญเสียที่ดิน และบางรายถึงขั้นต้องฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะที่จังหวัดสมุทรสงคราม ความเสียหายจากการรวบรวมข้อมูลของสภาทนายความระบุว่า เกษตรกรได้รับผลกระทบคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ 2,486 ล้านบาท ส่วนความเสียหายทั้งระบบที่มีต่อประชาชนและระบบนิเวศมหาศาลนั้นอาจสูงหลายแสนล้านบาทหรือมากกว่าไม่อาจประเมินค่าได้
จนถึงปัจจุบัน กรมประมงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มิได้ดำเนินการรวบรวม ข้อมูล ข้อเท็จจริง ที่ชัดเจน เพื่อหาผู้กระทำความผิด ที่ต้องรับผิดชอบต่อการระบาดของปลาหมอคางดำ และเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นต่อระบบนิเวศน์ ทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน 19 จังหวัด รวมถึงค่าใช้จ่ายที่รัฐต้องเสียไปในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ตามหลักการอย่าง ‘ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย’
ปล่อยให้เวลาและความนิ่งเฉยของผู้รับผิดชอบทำงานไปเงียบๆ และสุดท้ายชาวบ้านก็รับเคราะห์ไปเหมือนกับหลายเหตุการณ์ในอดีต
↑1 | อ่านต่อได้ที่ กรมประมงเปิด 7 มาตรการ ปราบปลาหมอคางดำต้องหมดไป |
---|