กิตติพงษ์ เรือนทิพย์ เรื่อง
Shin Egkantrong ภาพประกอบ
หากใครกำลังจะซื้อรถไม่ว่าจะเป็นมือหนึ่งหรือสอง หรือคิดจะขายรถที่มีอยู่แล้ว คำถามแรกในใจมักเป็นเรื่องราคา คนที่กำลังจะซื้อรถย่อมต้องตั้งคำถามว่า รถที่ตนกำลังจะซื้อ คุ้มค่าจริงหรือไม่ ใช้ไปแล้วราคาจะตกเยอะแค่ไหน และจะมีรถประเภทใกล้เคียงอื่นที่ดูคุ้มค่ากว่าหรือเปล่า ส่วนคนที่กำลังจะขายก็มักกังวลว่า ราคาขายต่อเหลือเท่านี้จริงหรือ ได้ราคาขายเท่านี้ จะขายหรือใช้ต่อดี?
โดยทั่วไป เรามักหาคำตอบจากข้อมูลในเว็บไซต์รถยนต์มือสอง หรือถามผู้รู้ในวงการ รวมถึงถามความเห็นสาธารณะในเว็บบอร์ดต่างๆ วิธีการนี้แม้จะทำให้ทราบข้อมูลเบื้องต้น แต่สุดท้ายข้อมูลที่ได้ก็มักกระจัดกระจาย ไม่เป็นระบบ การจะไล่ตรวจสอบราคารถทุกคันเพื่อหาค่าเฉลี่ยในทุกรุ่น ก็ดูยุ่งยากเกินไปสำหรับหลายคน
เพื่อบรรเทาความยุ่งยากในส่วนนี้ บทความนี้ได้ทำการรวบรวมราคารถยนต์มือสองในประเภท (Segment) ต่างๆ และสรุปเป็นข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ 3 ประการ[1] โดยราคารถยนต์มือสองที่ใช้ในบทความมาจากเว็บไซต์ One2car[2] ซึ่งเป็นเว็บไซต์รถยนต์มือสองที่ใหญ่ที่สุดเว็บไซต์หนึ่งในไทย มีข้อมูลรถมือสองมากกว่าสี่หมื่นคัน
ประเภทและการคิดราคาของรถมือสอง
เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับราคารถมือสองในประเภทต่างๆ บทความนี้เลือกรถทั้งหมด 6 ประเภท โดยเลือกเพียงโมเดลที่ได้รับความนิยมและมีข้อมูลในเว็บไซต์พอสมควรมาเป็นกลุ่มตัวอย่าง ดังแสดงในตารางที่ 1
ตารางที่ 1: รถ Segment และ Model ที่อยู่ในกลุ่มตัวอย่าง
Segment | Model ที่อยู่ในกลุ่มตัวอย่าง | |
1. | A (Eco car)[3] | March, Almera, Swift, Brio, Mirage, Attrage |
2. | B | Vios, City, Jazz, Mazda 2 |
3. | C | Corolla Altis, Civic, Hr-v, Tiida, Focus, Mazda 3, Pulsar, Lancer-ex, Sylphy |
4. | D | Accord, Camry, Teana |
5. | Pickup | Hilux-vigo, D-max, Hilux-revo, Ranger, Triton, Colorado |
6. | SUV | Fortuner, Cr-v, Mu-x, Pajero-sport |
ที่มา: อ้างอิงการแบ่ง Segment จากบทความ ‘มาแบ่งประเภทรถตามหลักสากลกันเถอะ!’
จากการจัดกลุ่มดังกล่าว ข้อมูลได้เปิดเผยข้อเท็จจริงที่น่าสนใจสำหรับตลาดรถมือสองหลายประการ ดังนี้
Fact 1: รถใหม่ ราคาตกเยอะทันทีในปีแรก โดยเฉพาะรถ Segment A, B และ Pickup
ข้อมูลชี้ว่า รถที่ใช้ไปประมาณ 1 ปี[4] โดยเฉลี่ยแล้ว ราคามัธยฐานตกลงจากรถมือหนึ่งเฉลี่ยที่ซื้อในต้นปี 2019 มากกกว่า 20%[5] (รูปที่ 1.1) การที่ราคารถปีแรกตก[6]ค่อนข้างเยอะไม่ใช่สิ่งที่น่าแปลกใจนัก เพราะราคาของรถที่ขายต่อจะถูกกดดันจากหลายปัจจัย ทั้งคุณค่าของความเป็นของใหม่ที่หายไป ค่าเสื่อมราคา ต้นทุนการกู้ซื้อที่สูงกว่าการกู้ซื้อรถมือหนึ่ง และความไม่มั่นใจในคุณภาพของรถ เป็นต้น
ที่น่าสนใจคือ คือ รถ Segment A B และ Pickup ซึ่งเป็นรถที่คันเล็กกว่า ดูหรูหราน้อยกว่า ราคาปีแรกกลับตกในร้อยละที่เยอะกว่ารถ Segment C D และ SUV (รูป 1.1) โดย Eco car (Segment A) ที่ขนาดเล็กสุด ราคาย่อมเยาที่สุด ราคากลับตกเยอะที่สุด (ในเชิงของเปอร์เซ็นต์การตก) หลังใช้ไป 1 ปี (รูปที่ 1.2)
รูปที่ 1.1: อัตราการตก(%)เฉลี่ยของราคารถหลังใช้ไป 1 ปี ตาม Segment

รูปที่ 1.2: ดัชนีราคารถยนต์มือสองตามอายุการใช้งานในแต่ละ Segment

หมายเหตุ1: ดัชนีราคาในปีที่ 0 คำนวณจากราคาเฉลี่ยของรถมือหนึ่งใน Segment นั้นๆ
หมายเหตุ2: ราคาในบางจุดในรูป อาจมีค่ามากขึ้นจากจุดก่อนหน้าซึ่งปกติจะไม่เกิดขึ้นเมื่อรถอายุมากขึ้น อาจมาจากเรื่องกลุ่มตัวอย่างที่น้อยเกินไป หรือกลุ่มตัวอย่างในปีนั้นๆ มีกลุ่มตัวอย่างจากรถยี่ห้อหรือรุ่นที่ราคาสูงจำนวนมาก ผู้อ่านควรระมัดระวังในการแปลผลข้อมูลชุดนี้
ข้อสังเกตต่อประเด็นนี้คือ ตลาดมือสองของรถ Segment A B และ Pickup ได้รับแรงกดดันจากนโยบายรถคันแรก กล่าวคือ รถกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการลดภาษีรถคันแรกในช่วงปี 2011-12 (รถบางส่วนออกสู่ถนนในปี 2013) ปัจจุบันรถทั้งหมดสามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้แล้ว (เนื่องจากครบกำหนด 5 ปีแล้ว) เมื่อนำมาขายในตลาดมือสอง ผู้ขายอาจยอมขายในราคาที่ต่ำ เพราะต้นทุนในการซื้อต่ำตั้งแต่แรก เมื่อราคาขายรถที่ได้ลดภาษีเหล่านั้นมีราคาต่ำ รถที่ซื้อในปีอื่นๆ ก็ต้องยอมลดราคาลงด้วย มิเช่นนั้นจะไม่สามารถขายได้ ซึ่งผลกระทบนี้อาจจะคงอยู่ในระยะข้างหน้า จนกว่ากลุ่มรถที่ได้รับการลดภาษีจะเริ่มหมดอายุการใช้งาน
จากข้อมูลยังพบด้วยว่า รถกลุ่ม A B Pickup ที่มีอายุใช้งาน 6-7 ปี (ซื้อช่วงปี 2012-13) อยู่ในตลาดรถมือสองจำนวนมาก (รูปที่ 2) ซึ่งหากเจ้าของซื้อในราคาที่ต่ำจากการลดภาษี ก็อาจกดดันราคามือสองอย่างที่กล่าวข้างต้น อย่างไรก็ดี เราอาจพูดไม่ได้ว่า เมื่อครบกำหนดถือครองแล้วคนแห่ขายรถคันแรก เพราะรถใน Segment อื่นๆ (C D SUV) ที่อายุ 5-7 ปีก็ถูกนำมาขายต่อในตลาดรถมือสองเช่นกัน
รูปที่ 2: จำนวนรถ Segments ต่างๆ ที่ถูกโพสต์ขายในเว็บไซต์

หมายเหตุ: เส้นประสีแดง คือรถที่ออกสู่ท้องถนนในปี 2013 (หรือมีอายุประมาณ 6 ปี)
Fact 2: รถแพงกว่า ราคาตกมากกว่า และเมื่ออายุ 5 ปี ราคาอาจน้อยกว่ารถมือหนึ่งถึง 50%
หากไม่รวมราคาที่ตกในปีแรก เราจะพบว่ารถรุ่นที่แพงกว่าอย่าง Segment C D และ SUV ราคาตกค่อนข้างเร็ว โดยเฉลี่ยราคาตกราวๆ ปีละ 10% ในขณะที่กลุ่ม A B และ Pickup ตกเฉลี่ยปีไม่ถึงละ 5% (รูปที่ 3)
น่าสนใจว่า แม้ว่ารถกลุ่ม A B Pickup ราคาจะตกเยอะในปีแรก แต่กลายเป็นว่าพอใช้ไป 5 ปี ราคาของรถกลุ่ม Segment C D และ SUV กลับแตกต่างจากราคามือหนึ่งกว่า 50% ในขณะที่กลุ่ม A B Pickup ราคาตกไม่ถึง 50% (รูปที่ 1.2) และ ณ เวลา 10 ปีของการใช้งาน เราอาจพบว่าราคามือสองในกลุ่ม C D SUV ลดราคาเหลือประมาณ 35% ของราคาวันนี้ โดยใน Segment B และ Pickup ลดเหลือประมาณ 50% (ย้อนดูรูปที่ 1.2 ข้างบน)
Fact 3: แม้รถจะอายุเกิน 10 ปีไปแล้ว ราคาก็ยังตกเยอะอยู่
หลายคนอาจเคยได้ยินว่า รถยนต์ถ้าอายุเกิน 10 ปี ราคามักไม่ค่อยตกแล้ว อย่างไรก็ดี ข้อมูลกลับบอกอีกแบบหนึ่งว่า ไม่ว่าจะเป็นรถ Segment B C D หรือ Pickup การตกลงของราคาในช่วงปีที่ 10-15 กลับมากขึ้นกว่าในช่วงปีที่ 5-10 อย่างเห็นได้ชัด เช่น Segment B และ C ที่เคยราคาตกเฉลี่ยปีละประมาณ 5% ในช่วงปีที่ 5-10 กลับตกเฉลี่ยมากกว่าปีละ 10% ในช่วงปีที่ 10-15 (รูปที่ 3)
รูปที่ 3: ค่าเฉลี่ยการลดลงของราคารถยนต์ต่อปีในแต่ละ Segment ในช่วงอายุต่างๆ
หมายเหตุ: เนื่องจากบางปีข้อมูลรถมีจำนวนไม่มาก ทำให้ราคามือสองผันผวน จนการเปลี่ยนแปลงของราคามีค่าเป็นบวก ดังนั้นในการคำนวณค่าเฉลี่ยการเปลี่ยนแปลงของราคาในแต่ละช่วง หากปีใด การเปลี่ยนแปลงของราคาเป็นบวก จะถูกปรับให้มีค่าเท่ากับ 0 แทน
โดยสรุป ข้อมูลดังกล่าวได้ให้ข้อคิดน่าสนใจหลายประการ ดังนี้
- ถ้าซื้อรถมือหนึ่ง คงต้องทำใจเรื่องราคาตก แต่มีความสุขกับการได้ใช้ของใหม่แทน
- ถ้าจะซื้อรถยนต์รุ่นเล็ก (อย่าง Eco Car และ Segment B) และ Pickup ในช่วงนี้ (โดยเฉพาะโมเดลที่เคยได้ลดภาษี) ควรรู้ก่อนว่า ราคาขายต่อช่วงปีแรกๆ จะมากกว่ารถ Segment อื่น
- ซื้อรถแพง รถหรู ต้องทำใจว่าราคาตกมากกว่า
- แม้รถจะเก่าเป็นสิบปี ราคาก็ยังตกเยอะอยู่ ถ้ามีรถเก่าและคิดจะขาย รีบขายก็น่าจะดี เพราะรถราคาตกตลอด และดูจะตกมากขึ้นเมื่อรถอายุเยอะขึ้น
แล้วราคารถยนต์มือสอง ช่วยให้เราเข้าใจภาพรวมเศรษฐกิจเพิ่มเติมอะไรบ้าง?
ข้อมูลราคารถยนต์มือสองนี้ ยังอาจช่วยให้เราวิเคราะห์และติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจบางมิติได้มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาหนี้ครัวเรือน
การพบว่ามีจำนวนรถ Segment A และ Pickup ที่มีอายุใช้งานแค่ 1-2 ปีอยู่ในตลาดรถมือสอง มากกว่ารถ Segment อื่น (รูปที่ 4) อาจวิเคราะห์ได้ว่า ครัวเรือนบางส่วนอาจกำลังประสบปัญหาด้านการเงิน และครัวเรือนเหล่านั้นอาจเป็นครัวเรือนที่มีรายได้ปานกลาง (วัดจากการที่ครัวเรือนซื้อรถ Segment A หรือ Pickup) ค่าผ่อนและบำรุงรักษารถ อาจทำให้บางครัวเรือนประสบปัญหาทางการเงิน (รายจ่ายมากกว่ารายได้) จนทำให้ต้องนำรถมาขายต่อ แม้จะใช้งานเพียงแค่ 1-2 ปี
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าครัวเรือนจะนำรถยนต์มาขายต่อเพื่อแก้ปัญหาทางการเงิน แต่ก็ทำให้ครัวเรือนต้องสูญเสียความมั่งคั่ง (wealth) ค่อนข้างสูง เนื่องจากราคารถ Segment ดังกล่าวตกในช่วงปี 1-2 ปีแรกค่อนข้างมาก ซึ่งเราสามารถนำผลกระทบต่อความมั่งคั่งของครัวเรือนจุดนี้ไปวิเคราะห์ถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อได้
รูปที่ 4: รถ Eco car และ Pickup อายุการใช้งานแค่ 1-2 ปีถูกนำมาขายในตลาดมือสองมากกว่ารถ Segment อื่นๆ

หมายเหตุ: density plot แสดงกระจายตัวของจำนวนรถที่ถูกนำมาขายในแต่ละอายุการใช้งาน, เส้นประสีแดงคือรถที่ซื้อในปี 2017 หรือมีอายุการใช้งานประมาณ 2 ปี
เชิงอรรถ
[1] อย่างไรก็ดี บทความนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะบอกว่ารถรุ่นใดควรซื้อและขายที่ราคาเท่าใดเป็นการเฉพาะ เนื่องจากรูปแบบของราคาของรถรุ่นเฉพาะนั้นๆ อาจเปลี่ยนแปลงจากที่เราเคยเห็นได้ รถมือสองบางรุ่นก็อาจมีรูปแบบของราคาที่ต่างไปจากราคามัธยฐานที่ใช้ในบทความนี้ และยังมีอีกหลายปัจจัยที่สามารถกระทบราคาของรถมือสองได้ ซึ่งไม่ได้ถูกนำวิเคราะห์มาในที่นี้ เช่น การปรับโฉมรถยนต์ มาตรการต่างๆ ของภาครัฐ การออกโปรโมชั่นของค่ายรถ รวมถึงจำนวนกิโลเมตรที่รถวิ่งไปแล้ว เป็นต้น
[2] ข้อมูลในบทความนี้ได้จากเว็บไซต์ดังกล่าวในวันที่ 21 เมษายน 2019 โดยการใช้โค้ดสำหรับการทำ Web-Scraping มาจากบทความ ‘Used-car Market Analysis Using Web Scraping (R) พร้อมแจก Data Set’ ของคุณ Chaiyasit Bunnag ผู้เขียนขอขอบคุณทางเว็บไซต์ที่อนุญาตให้เผยแพร่บทความชิ้นนี้มา ณ ที่นี่ด้วย
[3] โมเดลในกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดมีเครื่องยนต์ต่ำกว่า 1.5 ลิตร อีกประการหนึ่ง กลุ่มตัวอย่างไม่ได้รวม Yaris (เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร) เข้ามาใน Segment A ด้วย เนื่องจาก Yaris มีรูปแบบของราคาที่ต่างจากโมเดลอื่น ซึ่งอาจมาจากการที่ Yaris เข้าร่วมโครงการลดภาษีรถยนต์คันแรกไม่ทัน
[4] จำนวนปีในการใช้คำนวณจากปีที่ซื้อรถยนต์ จนถึงปี 2019
[5] ราคาของรถมือสองจะใช้ราคามัธยฐาน เพื่อลดปัญหาราคาที่สูงหรือต่ำเป็นพิเศษของรถบางคัน (เช่น รถที่มีการวิ่งเยอะมากกว่าปกติ หรือที่ประสบอุบัติเหตุมาก่อน) ซึ่งทำให้การใช้ราคาเฉลี่ยสูงหรือต่ำเกินจริง
[6] ‘ราคาตก’ ในบทความนี้จะหมายถึงความแตกต่างของราคามือหนึ่งปี 2019 กับราคารถมือสอง ไม่ใช่ความแตกต่างของราคา ณ วันที่ซื้อ กับราคา ณ วันนี้ ทำให้อัตราการตกในบทความนี้ จะมีอัตราที่น้อยกว่า อัตราการตกของราคาที่วัดจากราคาของปีที่ซื้อกับราคา ณ วันนี้ เนื่องจากราคารถมือหนึ่งรุ่นนั้นๆ มักมีการปรับขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป อย่างไรก็ดี ผู้เขียนพบว่ารถยนต์หลายรุ่นราคาไม่ได้ปรับขึ้นมากนัก ยกตัวอย่างเช่น ราคามือหนึ่งของ Vios และ Camry รุ่นกลางๆ ในปี 2013 แตกต่างกับราคามือหนึ่งปี 2019 ประมาณ 5 และ 7 % เท่านั้น (หรือปรับขึ้นเฉลี่ยปีละประมาณ 1% เท่านั้น)