fbpx
นโยบายในการจัดการกับปัญหาความรุนแรงในเขตเมือง: บทเรียนจากลาตินอเมริกา

นโยบายในการจัดการกับปัญหาความรุนแรงในเขตเมือง: บทเรียนจากลาตินอเมริกา

นับตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา ในการศึกษาด้านความมั่นคงสาธารณะ เป็นที่ยอมรับกันว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันเป็น ‘ความรุนแรงในเขตเมือง’ เสียเป็นส่วนใหญ่ หาใช่ความรุนแรงที่เกิดจากสงครามไม่ เป็นเรื่องที่หน่วยงานที่ดูแลทางด้านความมั่นคงจะต้องให้ความสนใจในประเด็นดังกล่าวอย่างจริงจัง [1] และ ‘ลาตินอเมริกา’ ก็นับเป็นภูมิภาคหนึ่งที่ได้รับความสนใจ ด้วยความที่เป็นภูมิภาคที่มี ‘ความเป็นเมือง’ (urbanization) สูงที่สุดในโลก และพบการใช้ความรุนแรงหลายรูปแบบ จึงมีปัญหาสำคัญเป็นเรื่องการจัดการความรุนแรงในเขตเมือง เราสามารถเรียนรู้บทเรียนจากงานศึกษาในภูมิภาคนี้ได้

ปัญหาความรุนแรงในเขตเมืองถือเป็นปัญหาสำคัญของการพัฒนา [2] ไม่ว่าจะเป็นความสูญเสียในทรัพยากรมนุษย์ของสังคมหรือค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ด้วยเหตุนี้นโยบายต่างๆ ที่มีเป้าหมายในการลดความรุนแรงต่างถูกนำเสนอต่อสาธารณะเป็นจำนวนมาก อาทิ นโยบายเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐในการรักษาความสงบสุข และการส่งเสริมการจ้างงาน โดยนโยบายเหล่านี้ต่างต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ หรือแม้กระทั่งระดับสากล

การวางผังเมืองหรือการวางแผนในการพัฒนาเมืองในปัจจุบันจะต้องคำนึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ต่างๆ ความรุนแรงกลายเป็นรอยด่างของระบบเมืองสมัยใหม่ ที่ทุกฝ่ายพยายามค้นหาถึงสาเหตุเพื่อนำไปสู่แนวทางการแก้ไขที่มีประสิทธิภาพ

เมืองกลายเป็นพื้นที่ที่กองทัพต้องเข้ามามีบทบาทในการรักษาความมั่นคง เป็นการสะท้อนภาพของสงครามในยุคที่ 4 (The Fourth Generation Warfare) ที่ภูมิรัฐศาสตร์ของความขัดแย้งย้ายจากสนามรบมาเป็นบ้านเรือนประชาชนในเมือง [3] ไมาว่าจะเป็นรูปแบบการก่อการร้าย หรือสงครามยาเสพติด เมืองกลายเป็นเป้าหมายของการโจมตีนับครั้งไม่ถ้วนไม่ว่าจะเป็นในประเทศกำลังพัฒนา อาทิ กรุงเทพฯ จาการ์ตา และบาหลี หรือแม้กระทั่งในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่นลอนดอน ปารีส และบรัสเซลส์ เป็นต้น การแทรกแซงดังกล่าวของกองทัพได้รับการเผยแพร่ว่าเป็นการนำความสงบสุขสันติ ความมีเสถียรภาพ หรือความสมัครสมานสามัคคีกลับคืนสู่สังคม [4]

การเข้ามามีบทบาทของกองทัพในการจัดการกับความรุนแรงในเขตเมืองสอดคล้องกับแนวความคิดเรื่องความมั่นคงแห่งชาติ ถ้ารัฐไม่สามารถผูกขาดการใช้อำนาจในการดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชนของตนได้ รัฐนั้นมีความสุ่มเสี่ยงในการเป็นรัฐที่ล้มเหลว (A Failed State) แนวความคิดเช่นนี้ครอบคลุมถึงความปลอดภัยในเขตเมืองด้วย การแทรกแซงของกองทัพในครั้งนี้ดำเนินไปพร้อมๆ กับปรับเปลี่ยนทิศทางการดำเนินนโยบายให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม อาทิ องค์กรกาชาดสากลได้ขยายขอบเขตการปฏิบัติงานเข้ามามีบทบาทในประเทศที่ประสบปัญหาความรุนแรงในเขตเมืองอยู่ในขั้นวิกฤตแทนที่จะจำกัดอยู่ในแต่พื้นที่สงครามเท่านั้น [5] และการแทรกแซงทางการทหารนี้ยังอาจรวมถึงการสร้างความเข้มแข็งเชิงสถาบันให้กับหน่วยงานต่างๆ และจัดการกับปัญหาโครงสร้างทางสังคมที่เป็นสาเหตุของความรุนแรง

อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานของกองทัพอาจถูกมองว่าเป็นการเพิ่มอำนาจให้กับชนชั้นนำ ปราบปรามผู้เห็นต่าง สร้างความสับสนให้กับสังคมในเรื่องขอบเขตของการใช้อำนาจ ยิ่งไปกว่านั้นยังเกิดข้อสงสัยว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นการกระทำของกองทัพเอง เพื่อขยายบทบาทของตนรวมถึงเป็นข้ออ้างในการเพิ่มงบประมาณกลาโหม [6]

สภาพแวดล้อมของเมืองย่อมมีความสัมพันธ์กับความรุนแรง โดยความรุนแรงย่อมส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของเมือง แต่ในทางกลับกัน การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเมืองก็มีผลกระทบต่อปัญหาการใช้ความรุนแรงด้วย

Newman [7] พบว่าตึกที่ทรุดโทรมไม่ได้รับการดูแล หน้าต่างถูกทุบทำลาย อาจไม่เป็นเพียงผลกระทบของเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น แต่ยังอาจเป็นสาเหตุให้เกิดความรุนแรงได้ด้วยเช่นเดียวกัน เฉกเช่นเดียวกับปัญหาความรุนแรงเชิงโครงสร้างอันเนื่องมาจากความเหลื่อมล้ำ อาจมีที่มาจากปัญหาโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาในบางพื้นที่ นอกจากนั้น ระดับความรุนแรงที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ยังส่งผลให้รัฐใช้มาตรการที่แตกต่างกัน อาทิ ในสลัม ที่รัฐมักติดกล้องวงจรปิดจำนวนมากเพราะมองว่าเป็นแหล่งซ่องสุมความรุนแรง ขณะที่ในเขตที่อยู่อาศัยของคนร่ำรวย อาจไม่ค่อยมีกล้องวงจรปิดของรัฐคอยสอดส่อง จึงมีความเป็นส่วนตัวมากกว่า [8]

เห็นได้ว่าคนจนถูกจับจ้องโดยรัฐอยู่ตลอดเวลา ด้วยข้ออ้างเรื่องความปลอดภัยสาธารณะ จริงอยู่ที่ว่ามาตรการดังกล่าวอาจจะช่วยบรรเทาปัญหาความรุนแรงได้ในระดับหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันก็สะท้อนมุมมองของรัฐที่ไม่ไว้วางใจประชาชนของตนเอง และการเลือกปฏิบัติเช่นนี้ในทางกลับกันอาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงก็เป็นได้

นโยบายการสร้างงานและการพัฒนาเศรษฐกิจโดยอาศัยกลไกตลาดเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ถูกนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาความรุนแรงในเขตเมือง แนวทางนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากธนาคารโลกที่นำข้อมูลจากการสำรวจพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาความรุนแรงและได้ข้อสรุปว่า ‘การว่างงาน’ เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดปัญหาดังกล่าว ดังนั้น การลงทุนในโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในพื้นที่ยากจนจะช่วยส่งเสริมให้ภาคธุรกิจขยายกิจการเข้าไปในพื้นที่ ส่งเสริมให้มีการจ้างงาน เพิ่มรายได้ให้กับคนยากจน ลดความสุ่มเสี่ยงในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่นการค้ายาเสพติด เป็นต้น [9]

ขณะเดียวกัน ภาคประชาสังคมก็มีบทบาทสำคัญในการจัดการกับปัญหาความรุนแรง ความร่วมมือของคนในชุมชนในการจัดตั้งกลุ่มอาชีพต่างๆ นอกจากเป็นการเพิ่มรายได้แล้ว ยังส่งเสริมให้คนในชุมชนได้มีโอกาสปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเยาวชนที่มีความสุ่มเสี่ยงในการเป็นทั้งผู้กระทำและเหยื่อของความรุนแรง การจัดให้มีการซ้อมดนตรี เล่นกีฬา หรือจัดสร้างห้องสมุดชุมชน เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ภาคประชาสังคมสามารถดำเนินการได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพางบประมาณจากรัฐ [10]

จากนโยบายต่างๆ ตั้งแต่ระดับสากลเรื่อยมาจนถึงภาคประชาสังคมที่ได้กล่าวมาข้างต้น สะท้อนให้เห็นความสำคัญของภูมิทัศน์ของเมือง (urban landscape) ในการจัดการกับปัญหาความรุนแรง หน่วยงานสำคัญทางด้านการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานมนุษย์ของสหประชาชาติ (UN Habitat) ย้ำให้เห็นความสัมพันธ์ของรูปแบบผังเมือง ปัญหาอาชญากรรม และความรุนแรง โดยระบุว่า การขาดการวางผังเมืองและการจัดการที่ดีมีส่วนสำคัญในการเพิ่มความสุ่มเสี่ยงทั้งในชีวิตและทรัพย์สินของผู้อยู่อาศัย [11]

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอแนะดังกล่าวของ UN Habitat ในการส่งเสริมการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม มักลงเอยด้วยโครงการก่อสร้างทั้งที่เป็นการปรับปรุงให้ทันสมัยหรือสร้างขึ้นมาใหม่ตามแนวทางตะวันตก โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างของปัญหาความรุนแรงในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งกระบวนการต่อรองทางการเมืองและบริบททางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกันออกไป

ภูมิสถาปัตย์รวมถึงสิ่งปลูกสร้างสาธารณะต่างๆ ในเมืองตั้งแต่อาคาร บ้านเรือน หรือแม้กระทั่งม้านั่งในสวนสามารถสะท้อนรูปแบบการจัดการของรัฐที่มีต่อประชาชนในพื้นที่นั้นๆ [12] อย่าง Haussman’s Boulevards ในกรุงปารีสคือตัวอย่างของการวางผังเมืองของรัฐที่ต้องการอำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่ในการควบคุมการชุมนุมประท้วงของประชาชน [13] ส่วนในเมืองคาร์ดิฟฟ์ ประเทศอังกฤษมีการใช้หลอดไฟสีชมพูเพื่อเป็นการประจานวัยรุ่นที่เกเรไม่เคารพในกฎระเบียบ [14] นอกจากนี้ การขยายโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานไปสู่พื้นที่ขาดแคลน เปรียบเสมือนการขยายอำนาจของรัฐและชนชั้นนำในการควบคุมพื้นที่เหล่านั้น

ภาพที่ 1: ภาพเขียนสีน้ำมันของ Haussman’s Boulevards ในปี ค.ศ. 1878
ที่มา: www.1st-art-gallery.com

ขณะเดียวกัน รูปแบบของเมืองก็ถูกกำหนดโดยชนชั้นนำและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าการสร้างปราสาทหรือป้อมปราการของผู้ปกครอง ประตูเมืองเพื่อป้องกันข้าศึก หรือแม้กระทั่งการสร้างห้องแถวชั้นเดียวเป็นจำนวนมากที่มหาชัย สมุทรสาคร ให้เป็นที่อยู่ของแรงงานพม่า การเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ในเมืองสะท้อนแนวนโยบายของรัฐผสานกับผลประโยชน์และความปรารถนาของเอกชน ขณะที่ความสวยงามของสถาปัตยกรรมต่างแสดงให้เห็นถึงรสนิยมของชนชั้นนำที่มีบทบาทในการกำหนดหรือวางแผนในการพัฒนาเมือง ในทางกลับกันมีเมืองจำนวนไม่น้อยที่ผังเมืองหรือสถาปัตยกรรมต่างๆ สะท้อนถึงแรงต่อต้านต่ออิทธิพลของชนชั้นนำและทุนตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น [15]

ความเข้าใจต่อพื้นที่ต่างๆ ในเมืองที่สะท้อนให้เห็นถึงการช่วงชิงทางอำนาจของกลุ่มต่างๆ กอปรกับการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการและความรุนแรง ได้เปลี่ยนมุมมองในการศึกษาเมือง จากการสนใจแต่เพียงรูปแบบโครงสร้างสถาปัตยกรรม ไปให้ความสำคัญกับกระบวนการต่อรองทางการเมืองในการกำหนดทิศทางการวางแผน [16] และพิจารณาว่าใครที่จะมี “สิทธิ์” หรือเป็นผู้กุมชะตากรรมของเมืองแทน[17]

ดังที่กล่าวไปก่อนหน้านั้นแล้วว่าภาคประชาสังคมมีส่วนสำคัญในการจัดการกับปัญหาความรุนแรงในเขตเมือง แต่จากมุมมองที่ว่าการออกแบบเมืองเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความชำนาญเฉพาะด้าน ดังนั้นเสียงของภาคประชาสังคมแทบไม่มีความหมายหรือได้รับความสนใจจากผู้กำหนดนโยบาย การเปิดโอกาสให้ภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมในการวางแผน สามารถสะท้อนความต้องการของแต่ละพื้นที่ได้อย่างชัดเจน แต่ผู้มีอำนาจมักมองว่าความคิดเห็นของภาคประชาสังคมนั้นเป็นเหมือนข้อเรียกร้องที่ไม่รู้จักพอ เป็นข้อเสนอที่สร้างความรำคาญใจให้กับพวกเขา [18]

ในปัจจุบันถึงแม้ว่าจะมีข้อกำหนดให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นหรือทำประชาพิจารณ์ในนโยบายต่างๆ ที่มีผลกระทบไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมต่อพวกเขา แต่ในความเป็นจริง รัฐแค่จัดฉากในกระบวนการเหล่านั้น อำนาจในการตัดสินใจสูงสุดยังตกอยู่ภายในมือคนเพียงไม่กี่คน [19]


[1] Robert Muggah, ed. Stabilization operations, security and development: States of fragility.

[2] Caroline O. Moser and Cathy McIlwaine, “Latin American urban violence as a development concern: Towards a framework for violence reduction,”.

[3] Stephan Graham, Cities under siege: The new military urbanism.

[4] Robert Muggah, ed. Stabilization operations, security and development: States of fragility.

[5] Liliana Bernal Franco and Claudia Navas Caputo, Urban violence and humanitarian action in Medellín. Humanitarian Actions in Situations Other than War (HASOW). Discussion Paper 5 (2013), accessed March 5, 2016, http://www.cerac.org.co/assets/pdf/Other%20publications/Hasow_5_Urban%20violence%20and%20

humanitarian%20action%20in%20Medellin_(5mar)_CN.pdf และ Robert Muggah and Kevin Savage, “Urban violence and humanitarian action: Engaging the fragile city,”.

[6] Stephan Graham, Cities under siege: The new military urbanism.

[7] Oscar Newman, Defensible space: Crime prevention through urban design. (New York: Collier Books, 1973).

[8] Rowland Atkinson, “Padding the bunker: Strategies of middle-class disaffiliation and colonisation in the city,”.

[9] World Bank, Violence in the city: Understanding and supporting community responses to urban violence.

[10] Caroline O.N. Moser and Cathy McIlwaine, Encounter with violence in Latin America: Urban poor perceptions from Colombia and Guatemala.

[11] UN Human Settlements Programme, Enhancing urban safety and security: Global report on human settlements 2007 (2007), accessed March 25, 2016, http://mirror.unhabitat.org/pmss/listItemDetails.aspx?

publicationID=2432.

[12] Angela Stienen, “Urban technology, conflict education, and disputed space,” Journal of Urban Technology 16, no. 2-3 (2009): 109-142.

[13] Carl Douglas, “Barricades and boulevards: Material transformations of Paris, 1795-1871,” Interstice 8: 31-42.

[14] BBC, “Pink Cardiff street lights plan ‘to deter ASBO yobs,” (2012) accessed March 22, 2016, http://www.bbc.co.uk/news/uk-wales-17260959.

[15] Angela Stienen, “Urban technology, conflict education, and disputed space,”.

[16] Eugene J. McCann, “Space, citizenship, and the right to the city: A brief overview,” GeoJournal 58, no. 2-3 (2002): 77-79.

[17] Mark Purcell, “Excavating Lefebvre: The right to the city and its urban politics of the inhabitant,” GeoJournal 58, no. 2-3 (2002): 99-108 และ Eugene J. McCann, “Space, citizenship, and the right to the city: A brief overview,”.

[18] Mike Raco, Stateled privatisation and the demise of the democratic state: Welfare reform and localism in an era of regulatory capitalism (London, UK: Ashgate Publishing, 2013).

[19] Eugene J. McCann, “Space, citizenship, and the right to the city: A brief overview,”: 78.

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

21 Nov 2018

เมื่อโรคซึมเศร้าทำให้อยากจากไป

เรื่องราวการรับมือกับความคิด ‘อยากตาย’ ผ่านประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คนเคียงข้าง และบทความจากจิตแพทย์

ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์

21 Nov 2018

Social Issues

22 Oct 2018

มิตรภาพยืนยาว แค้นคิดสั้น

จากชาวแก๊งค์สู่คู่อาฆาต ก่อนความแค้นมลายหายกลายเป็นมิตรภาพ คนหนุ่มเลือดร้อนผ่านอดีตระทมมาแบบไหน ‘บ้านกาญจนาฯ’ เปลี่ยนประตูที่เข้าใกล้ความตายให้เป็นประตูสู่ชีวิตที่ดีกว่าได้อย่างไร

ธิติ มีแต้ม

22 Oct 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save