เป็นเวลากว่า 3 เดือนแล้วที่ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนปะทุขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า
แม้พอจะมีสัญญาณบวกบ้าง หลังโอลาฟ โซลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนีเดินทางเข้าเจรจากับวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ณ กรุงมอสโกเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2022 แต่อุณหภูมิความตึงเครียดบริเวณพรมแดนยูเครนก็ยังคงร้อนแรงอย่างไม่มีสัญญาณว่าจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติในเร็ววัน
ภาพการส่งกำลังทหารรัสเซียเข้าซ้อมรบในประเทศ ‘น้องรัก’ อย่างเบลารุส ภาพการเคลื่อนกำลังพลกองทัพรัสเซียราว 130,000 นายประชิดรอบพรมแดนยูเครน ‘น้องรักอีกคน’ ทั้งทางเหนือ ใต้ ตะวันออก และแหลมไครเมียราวกับว่าพร้อมบุกโจมตีหรืออาจกระทั่งผนวกยูเครนได้ทุกเมื่อ พร้อมเสียงประกาศเตือนการเปิดฉากโจมตียูเครนของรัสเซียจากวอชิงตันตีคู่ขนานไปกับภาพการเปิดโต๊ะเจรจาระหว่างรัสเซียและหลายประเทศมหาอำนาจโลกตะวันตกครั้งแล้วครั้งเล่า เล่นวนซ้ำไปมาจนดูเหมือนว่าแทบจะไร้สิ้นหนทางออกจากความตึงเครียด และใกล้จะลุกลามไปสู่วิกฤตการเมืองระหว่างประเทศอย่างเต็มขั้น
ในสายตาของหลายคน ฉากความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้น ณ ใจกลางยูเรเชียครั้งนี้คงหนีไม่พ้นภาพซ้อนทับของสภาวะสุ่มเสี่ยงเข้าสู่สงคราม
ณ เวลานี้ คงไม่มีคำถามไหนจะร้อนแรงไปกว่า “ปูตินจะสั่งบุกยูเครนหรือเปล่า” ต่อให้เครมลินจะออกมายืนยันแล้วว่าจะไม่มีการบุกโจมตียูเครนเกิดขึ้นก็ตาม
แต่คำถามสำคัญมีอยู่ว่า ที่จริงแล้วรัสเซียคิดอะไรอยู่? ตั้งใจจะทำสงครามจริงหรือไม่? ทำไมยูเครนถึงกลายเป็น ‘สนามอารมณ์’ ทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างรัสเซียและโลกตะวันตก? และทำไมรัสเซียมีท่าทีที่ดูเหมือนว่าจะ ‘ยอมไม่ได้’?
อะไรคือเบื้องหลังปมความขัดแย้งครั้งนี้?
What Does Putin Want?
แล้วสรุปว่าปูตินต้องการอะไรกันแน่?
หลายฝ่ายวิเคราะห์ตรงกันว่า ปูตินเลือกใช้ ‘หมาก’ การทหารในความขัดแย้งครั้งนี้เพื่อข่มขู่ สร้างเงื่อนไขบีบให้ยูเครน สหรัฐฯ และบรรดาชาติยุโรปตะวันตกยอมขึ้นโต๊ะเจรจาต่อรองข้อเสนอตามรัสเซียต้องการ โดยการใช้กำลังจะเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายที่รัสเซียจะหยิบออกมาเล่น
อย่างไรก็ตาม ความสับสนวุ่นวายและคับข้องใจจากเกมการเมืองที่ไม่เป็นไปตามดั่งใจปูตินหวัง จนต้องระบายออกมาผ่านการเลือกใช้การทหารเดินเกมการเมืองครั้งนี้ไม่ได้มีชนวนจุดปะทุที่ชัดเจนนัก แต่มีการตั้งข้อสังเกตว่ามาจากความวิตกกังวลต่อการ ‘เอาใจออกห่าง’ จากรัสเซียของ ‘หลังบ้าน’ อย่างยูเครนที่สะสมมาอย่างยาวนาน และต่ออิทธิพลของรัสเซียต่อยูเครนที่ค่อยๆ จางหายไป อย่างที่เห็นได้จากคำกล่าวปูตินว่า “ยูเครนเริ่มกลายเป็นพวกต่อต้านรัสเซียไปแล้ว” หรือความพยายามเน้นย้ำสถานะของยูเครนอยู่ตลอดว่า “รัสเซียและยูเครนคือชาติเดียวกัน และคือคนเดียวกัน”
ความวิตกกังวลอย่างแรกมาจาก ความล้มเหลวในการใช้ ‘ข้อตกลงกรุงมินสก์’ (Minsk agreement) ปี 2015 ข้อตกลงสันติภาพที่พยายามสมานรอยแตกหักระหว่างรัสเซียและยูเครนหลังวิกฤตการแบ่งแยกดินแดนในภูมิภาคดอนบาส (Donbas) ทางภาคตะวันออกของยูเครนที่มีประชากรเชื้อสายรัสเซียจำนวนมากและต้องการไปอยู่กับรัสเซียตามรอยไครเมียในฐานะเขตอิสระปกครองตนเอง
ข้อตกลงดังกล่าวระบุว่า ยูเครนต้องเปิดให้มีการเลือกตั้งในภูมิภาคดอนบาส แต่คำมั่นสัญญาก็ลากยาวมาเป็นเวลากว่า 8 ปีโดยไม่มีทีท่าที่จะจัดการเลือกตั้งขึ้น ทั้งๆ ที่โวโลดีมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครนคนปัจจุบันชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 2019 ด้วยวาระผลักดันข้อตกลงสันติภาพในดอนบาส สำหรับยูเครน ข้อตกลงอาจไม่เป็นที่น่าพอใจนักและเอื้อประโยชน์ไปทางรัสเซีย เสมือนว่ายอมให้มีม้าไม้โทรจันอยู่ในบ้าน แต่ในมุมของรัสเซีย ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ยูเครนต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้ และถึงเวลาแล้วที่ยูเครนต้องทำ
ส่วนความวิตกกังวลอย่างที่สอง ยูเครนเริ่มหันหาโลกตะวันตกในทางความมั่นคงมากยิ่งขึ้น ในช่วงครึ่งทศวรรษหลังที่ผ่านมา ยูเครนเริ่มมีความสัมพันธ์ทางความมั่นคงที่ใกล้ชิดองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือที่รู้จักกันดีในนามนาโต (NATO) มากยิ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการให้ความร่วมมือยกระดับความสามารถทางการป้องกันและความมั่นคงของยูเครน การซ้อมรบร่วม หรือที่ส่งแรงเขย่าให้เครมลินได้แรงที่สุด คือการที่บรรดาประเทศโลกตะวันตกสมาชิกนาโตเริ่มแล่นเรือรบบริเวณแหลมไครเมีย หรือเริ่มขับเคลื่อนบินรบเหนือน่านฟ้าทะเลดำซึ่งเป็นเขตอิทธิพลสำคัญของรัสเซีย ที่สำคัญ ยูเครนเริ่มส่งสัญญาณว่าพร้อมเข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโต และยังไม่นับอีกว่าการเมืองของเคียฟก็พยายามเอนหาโลกตะวันตกในหลายโอกาสอีกเช่นกัน
มองผ่านมุมรัสเซีย คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่านี่คือการเดินเกมการเมืองเพื่อเขย่าดุลอำนาจ ช่วงชิง และ ‘ทวงคืน’ อิทธิพลเหนือ ‘หลังบ้าน’ ของตนเอง กดดันยูเครนให้เอนเอียงกลับมาหาทางรัสเซียมากยิ่งขึ้น เป็นมิตรต่อเครมลินยิ่งขึ้น และข่มขู่ไม่ให้โลกตะวันตกอย่างสหรัฐฯ และพันธมิตรชาติยุโรปตะวันตกผิดสัญญาอีกต่อไปจากการแผ่ขยายอิทธิพลต่อไปทางยุโรปตะวันตะวันออก – เขตอิทธิพล (sphere of influence) เก่าของรัสเซียในสมัยสหภาพโซเวียตผ่านนาโตอีก จนรัสเซียต้อง ‘ถอยจนไม่รู้จะถอยยังไงแล้ว’ ในหลังบ้านของตนเองมาตลอดกว่า 30 ปีหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย
แม้รัสเซียจะรอดตายมาจากการขยับขยายเขตอิทธิพลของนาโตมาแล้ว 4 ครั้งหลังบรรดารัฐยุโรปกลาง รัฐบอลติก และรัฐยุโรปตะวันออกเข้าร่วมพันธมิตรนาโต อย่างไรก็ตาม หากครั้งที่ 5 เกิดขึ้นในกรณีที่นาโตตอบรับยูเครน (แม้ว่าจะยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนก็ตาม และพันธะจาก ‘การป้องกันร่วม’ ตามมาตราที่ 5 ในสนธิสัญญาอาจทำให้นาโตต้องไตร่ตรองอย่างหนัก) นั่นจะเท่ากับว่าจะมีปืนจ่อรออยู่ที่หลังบ้านรัสเซีย
แล้วรัสเซียจะยอมได้หรือ?
ในเมื่อนาโตคือภัยคุกคามความเป็นความตายทางความมั่นคงและการเมืองของรัสเซียที่กำลังรุกคืบเข้ามาใกล้ทางหลังบ้าน รัสเซียได้ยื่นคำขาดต่อนาโตและสหรัฐฯ ว่า นาโตต้องแช่แข็งการขยายสมาชิกภาพนาโตมาทางยุโรปตะวันออก หยุดและถอนการติดตั้งระบบอาวุธและโครงสร้างพื้นฐานทางความมั่นคงในกลุ่มประเทศอดีตรัฐสหภาพโซเวียตที่เป็นเขตอิทธิพลของรัสเซีย รวมทั้งประกันว่านาโตจะต้องไม่รับยูเครนเข้าเป็นสมาชิก – และข้อเสนอทั้งหมดนี้ต้องมีผลผูกพันทางกฎหมาย
รัสเซียต้องการเปลี่ยนและร่วมร่างโครงสร้างสถาปัตยกรรมความมั่นคงในยุโรป-ยูเรเชีย อย่างที่รัสเซียไม่เคยมีโอกาสในการร่วมกำหนดในอดีต แต่เมื่อสหรัฐฯ และนาโตปัดตกข้อการันตีความมั่นคง (Security Guarantee) ดังกล่าว รัสเซียต้องหยิบข้อเสนอขึ้นมาเจรจาให้บรรลุอีกครั้ง – พร้อมเอาปืนจ่อไปที่ยูเครนเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง
เพราะสำหรับปูติน ยูเครนคือ ‘Red Line’
Why ‘Ukraine’?
ทำไมยูเครนถึงเป็น ‘Red Line’ ที่รัสเซียจะต้องมีอิทธิพลเหนือให้ได้และยอมเสียไปไม่ได้?
แน่นอนว่าส่วนหนึ่งย่อมมาจากสายสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยทั้งรอยร้าวและความแนบแน่น หากมองผ่านความทรงจำของยูเครน ช่วงประวัติศาสตร์ภายใต้สหภาพโซเวียตอาจเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากการกดขี่ของระบอบคอมมิวนิสต์ และกระบวนการ Russification ที่กดทับอัตลักษณ์คนยูเครน ทางตะวันตกที่ไม่ได้ความเกี่ยวพันและความรู้สึกร่วมกับความเป็นรัสเซียอย่างคนยูเครนทางตะวันออก
แต่ในความทรงจำของรัสเซีย ยูเครนคือส่วนหนึ่งของ ‘โลกรัสเซีย’ ร่วมกับเบลารุส และเป็นต้นกำเนิดของรัสเซีย เพราะฉะนั้น หลังยูเครนได้รับเอกราช ช่วงเวลาที่ยูเครนพยายามออกห่างจากอิทธิพลทางการเมืองของรัสเซียด้วยการหันหาโลกตะวันตกเพื่อคานอำนาจจึงเป็นจังหวะที่รัสเซียต้องลงมาปรับวงโคจรของยูเครนไม่ให้ออกห่างจากอิทธิพลของรัสเซียเสมอ อย่างที่รัสเซียตัดสินใจผนวกไครเมียหลังการประท้วงยูโรไมดานในปี 2013 ที่ต่อต้านรัสเซียและสนับสนุนสหภาพยุโรป
ส่วนที่ชัดเจนที่สุด คงหนีไม่พ้นว่ายูเครนคือบริเวณที่รัสเซียมีผลประโยชน์มหาศาล
ในยุทธศาสตร์ความมั่นคง ยูเครนคือกันชนของรัสเซีย หากไร้กันชน หรือกันชนกลายเป็นปืนที่จ่อไปยังรัสเซียเอง นั่นย่อมทำให้รัสเซียตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวง และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ยูเครนคือทางผ่านสำคัญของท่อก๊าซพลังงานจากรัสเซียสู่ยุโรปที่รัสเซียยังคงต้องพึ่งพา แม้ว่ารัสเซียกำลังมีแผนสร้างท่อส่งก๊าซใหม่ภายใต้โครงการ Nordstream 2 ที่ไม่ผ่านทางยูเครน แต่นั่นอาจทำให้อำนาจการต่อรองของยูเครนอ่อนแอลง และเพิ่มแต้มต่อให้แก่รัสเซีย
อาจโหดร้าย แต่ในเกมรักษาอิทธิพลของรัสเซีย ยูเครนจะหันหาโลกตะวันตกหรือตกเป็นเบี้ยในเกมช่วงชิงอิทธิพลของโลกตะวันตกไม่ได้
Why Now?
แล้วทำไมปูตินเพิ่งออกโรงตอนนี้?
ยูเครนมีสัญญาณตีออกห่างจากอิทธิพลรัสเซียมาพักใหญ่ แต่ไม่มีจังหวะทางภูมิรัฐศาสตร์ช่วงไหนแล้วที่ประจวบเหมาะสำหรับปูตินได้เท่าช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา
จังหวะแรก สหภาพยุโรปแตกคอกันเองเรื่องรัสเซีย เพราะแน่นอนว่าแต่ละรัฐย่อมมีผลประโยชน์และอำนาจต่อรองต่อรัสเซียที่ต่างกันไป ในขณะที่ Eastern bloc ในสหภาพยุโรป อย่างบางรัฐในยุโรปกลางหรือรัฐบอลติกที่มีประวัติศาสตร์บาดแผลกับเครมลินในอดีตพร้อมที่จะวางท่าทีแข็งกร้าวต่อรัสเซีย บางรัฐกลับมีนโยบายรอมชอมกับรัสเซียเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และพยายามแยกพันธมิตรอำนาจนิยมอย่างจีนออกจากรัสเซีย
ส่วนสองพี่ใหญ่แห่งสหภาพยุโรปอย่างฝรั่งเศสและเยอรมนีก็ยิ่งแล้วใหญ่ ทั้งสองต่างวางนโยบายต่อรัสเซียต่างกัน การพยายามวางแนวทางการเจรจาของอิมมานูเอล มาครงให้เป็นอิสระจากแนวทางของไบเดนที่จัดวางปูตินให้เป็นศัตรู อาจกร่อนความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของท่าทีโลกตะวันตกต่อรัสเซีย ในขณะที่เยอรมนีภายใต้โอลาฟ โชลซ์ แม้จะมีไพ่ Nordstream 2 ไว้เจรจาต่อรองกับรัสเซีย แต่ไพ่ใบนี้ก็อาจเป็นดาบสองคมได้เช่นกัน เพราะใช้ได้ทั้งสร้างแต้มต่อในการเจรจาว่า จะไม่ยอมให้รัสเซียเดินหน้าสร้างท่อส่งก๊าซหากรัสเซียตัดสินใจบุกยูเครนอย่างที่โชล์ซเพิ่งเจรจาไป หรืออาจโดนรัสเซียย้อนศรใส่ เพราะแน่นอนว่าเยอรมนีคือประเทศที่จะได้รับประโยชน์จากการเป็นศูนย์กลางของ Nordstream 2 มากที่สุด (ณ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ เยอรมนีประกาศหยุดโครงการ Nordstream 2 แล้วเรียบร้อย – ผู้เขียน)
และที่สำคัญ รัสเซียยังสามารถ ‘turn off the pipe’ ใส่สหภาพยุโรปได้เสมอ
จังหวะที่สอง อิทธิพลสหรัฐฯ ในการเมืองโลกไม่ได้อยู่ในสถานะที่เป็นต่อมากนัก ทั้งเพลี่ยงพล้ำจากวิกฤตในอัฟกานิสถาน และเบนความสนใจมุ่งไปทางอินโด-แปซิฟิกและการผงาดขึ้นของจีน นั่นหมายความว่ามีช่องว่างพอให้รัสเซียขยับได้ แม้วอชิงตันจะยังคอยย้ำว่า รัสเซียพร้อมจะบุกโจมตียูเครนเสมอ และพร้อมรับมือหากรัสเซียคิดจะเลือกทำสงคราม
แต่รัสเซียประเมินท่วงทำนองการเมืองโลกและจังหวะการเมืองของโลกตะวันตกได้ตรงดั่งใจหวังหรือไม่ นั่นก็ไม่มีอะไรประกันได้
แม้ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา การยอมถอนกำลังทหารบางส่วนและยอมเดินหน้าเจรจาทางการทูตของรัสเซียดูเหมือนจะผ่อนความร้อนแรงของอุณหภูมิลง และทำให้ความเป็นไปได้ในการเข้าสู่สงครามที่มีราคาต้องจ่ายสูงมากอยู่แล้วสำหรับทุกฝ่ายลดลงบ้าง แต่แน่นอนว่าวิกฤตชายแดนยูเครนยังไม่สิ้นสุด โจทย์ผ่อนคลายความตึงเครียดที่รออยู่ข้างหน้าก็ไม่ได้มีทางลงที่ง่ายดายนัก
หรือไม่ อุณหภูมิก็อาจจะกลับมาร้อนระอุยิ่งกว่าเดิม
หมายเหตุ: เขียนขึ้น ณ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2022
อ้างอิง
What Putin Really Wants in Ukraine
Is a Russia-Ukraine war imminent?
Ukraine: Conflict at the Crossroads of Europe and Russia
On Putin’s Strategic Chessboard, a Series of Destabilizing Moves
เสวนาออนไลน์ในหัวข้อ “พินิจวิกฤตยูเครน: เรียนรู้อดีตเพื่อเข้าใจปัจจุบัน”