วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ เรื่อง
“ตูน” หรือการ์ตูน หนุ่มวัย 38 มีชื่อจริงว่า อาทิวราห์ คงมาลัย เป็นชาวสุพรรณบุรี เป็นลูกพี่ลูกน้องกับนางแบบดาราชื่อดัง ตั๊ก บงกช คงมาลัย มีศักดิ์เป็นหลานของแอ๊ด คาราบาว และเป็นบัณฑิตคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ย้อนไปหลายปีก่อน ชื่อ ตูน บอดี้สแลม อาจจะเป็นที่รู้จักกันในฐานะนักร้องชื่อดังของวงดนตรีวัยรุ่นยอดนิยม
เอแบคโพลเคยโหวตให้บอดี้สแลมเป็นวงดนตรีอันดับหนึ่งที่มีคนชื่นชอบมากที่สุดถึงสามปี
แต่วันนี้ผู้คนทั้งประเทศ คงไม่มีใครไม่รู้จักตูน บอดี้สแลม
1 ธันวาคม 2559 ตูน บอดี้สแลม ได้ริเริ่มโครงการ #ก้าวคนละก้าว ด้วยการออกวิ่งระยะทาง 400 กิโลเมตร เป็นเวลา 10 วัน จากกรุงเทพมหานคร ถึงประจวบคีรีขันธ์ เพื่อระดมทุนซื้ออุปกรณ์การแพทย์มอบให้โรงพยาบาลบางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยมียอดเงินบริจาค 70 ล้านบาท
ตอนแรกไม่มีใครเชื่อว่า ร็อกเกอร์หนุ่ม รูปร่างขี้ยาคนนี้จะสามารถวิ่งมาราธอนได้หลายร้อยกิโลเมตรจนสำเร็จ และสามารถชักชวนให้คนทั้งประเทศหันมาสนใจปัญหาการขาดแคลนในโรงพยาบาล
ยิ่งวิ่งใกล้เส้นชัย ผู้คนก็สนใจกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนวันที่ 10 ธันวาคม เมื่อตูนวิ่งถึงโรงพยาบาลบางสะพาน มีผู้คนมากมายแห่ออกมาต้อนรับ และร่วมบริจาคเงินอย่างล้นหลามทะลุเป้า
วันนั้นตูนบอกนักข่าวว่า
“สิ่งที่ผมทำในวันนี้อยากจะสะท้อนปัญหาให้คนทั้งประเทศได้เห็น ไม่ใช่แค่โรงพยาบาลบางสะพานเพียงอย่างเดียว ยังมีโรงพยาบาลอื่นๆ อีกมากมายที่ขาดเครื่องมือแพทย์ในการรักษา ถ้าช่วยเหลือกันได้ก็จะช่วยชีวิตคนได้อีกจำนวนมาก ที่สำคัญคือไม่อยากให้โครงการในวันนี้สูญเปล่า หลังจากนี้ไปหากทุกคนช่วยเหลือกันได้ก็จะเป็นสิ่งที่ดีมาก ผมก็เป็นแค่คนตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่หลายคนเคยพูดว่าหุ่นขี้ยา ใครที่เคยว่าผมว่าเป็นขี้ยาลองมาวิ่ง 400 กิโลเมตรกับผมดูมั้ย ตัวเล็กๆ แบบผมอาจจะสามารถทำได้เพียงเท่านี้ แต่คนไทยทั้งประเทศถ้าร่วมมือกันก็จะสามารถช่วยโรงพยาบาลอื่นๆ ได้”
ตูนทำสำเร็จ ลบคำสบประมาทของหลายคน แต่ไม่มีใครคาดว่า ปีถัดมาเขาจะทำเรื่องยิ่งใหญ่แทบเป็นไปไม่ได้
โครงการ “ก้าวคนละก้าว เพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ” โดย ตูน บอดี้สแลม จะวิ่งจาก อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ถึงอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. ถึง 25 ธ.ค. 2560 เป็นระยะทาง 2,191 กิโลเมตร เพื่อหาเงินบริจาคซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับ 11 โรงพยาบาลศูนย์ทั่วประเทศ
ก่อนตูนจะออกวิ่งครั้งนี้ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมาย ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
บ้างก็บอกว่า
“ทำไมต้องไปช่วยรัฐบาล เอาเงินภาษีที่ซื้ออาวุธ รถถัง เรือดำน้ำ ไปช่วยโรงพยาบาลดีกว่าไหม
ไม่ใช่หน้าที่ของคนไทยที่ต้องบริจาคเงิน เพราะเราจ่ายภาษีแล้ว แต่รัฐบาลบริหารไม่ได้เรื่อง ทำให้โรงพยาบาลขาดแคลน”
บ้างก็วิจารณ์ว่า
“ตูนตกเป็นเหยื่อของรัฐบาลทหาร ตูนทำให้คนไทยไม่สนใจปัญหาการเมือง ไม่สนใจปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่สนใจความเลวร้ายของรัฐบาล ประมาณว่าคนไทยมีน้ำใจดีต่อกัน ช่วยๆ กันไป ก็ทำให้ไม่เห็นว่ารัฐบาลบริหารประเทศล้มเหลวเพียงใด”
แต่เสียงจำนวนมากเห็นด้วยกับกิจกรรมอันแสนสาหัสของตูน
บางคนบอกว่า
“การที่ตูนมาวิ่งเป็นสัญลักษณ์ของการที่คนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาทำอะไร อาจเป็นแรงบันดาลใจของเด็กรุ่นหลังก็ได้ แต่หนูก็ไม่เห็นด้วยกับการจัดการงบประมาณของภาครัฐ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราต้องตั้งคำถามย้อนกลับไปเช่นกัน …
หนูเห็นเพื่อนๆ ในวงการนักวิ่ง ต่างก็ระดมเงินบริจาค และวิ่งเพื่อรักษาผู้ป่วยเด็ก คนพิการ หรือเด็กยากไร้ แต่ไม่มีการตั้งคำถามกับกลุ่มนักวิ่งเหล่านั้น เพราะอะไร เพียงเพราะตูน ยืนอยู่ตรงสปอร์ตไลท์ที่ส่องลงมา ใครๆ ก็เห็นหรือเปล่า และด้วยความเคารพ หนูก็น้อมรับคำเห็นแตกต่าง และเคารพทุกความคิด”
อีกคนบอกว่า
“ผมอาจไม่เห็นด้วย แต่ก็เคารพการตัดสินใจของตูนและการวิ่งของเขา
ไม่ใช่เพราะเขาทำดี หรือมีน้ำใจต่อกันครับ
แต่เพราะผมเชื่อในความหลากหลายทางความคิด และเชื่อว่าในสังคมประชาธิปไตย เราควรจะเคารพความเห็นของคนอื่น แม้ว่าเราจะไม่เห็นด้วยก็ตาม”
1 พ.ย. 2560 เมื่อตูนเริ่มออกวิ่งวันละ 40 กิโลเมตร จากพื้นที่สีแดง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา เสียงวิจารณ์ค่อยๆ หายไป และแทนด้วยเสียงปรบมือให้กำลังใจของชาวบ้านจำนวนมากที่ออกมาต้อนรับร็อกเกอร์นักวิ่งหนุ่มคนนี้
ชาวบ้านเหล่านี้ไม่เคยมีรอยยิ้มมานานแล้ว
อย่างน้อยตูนทำให้พวกเขาและพวกเธอได้มีรอยยิ้ม มีความสุข แม้จะเป็นเพียงชั่วครู่ชั่วยาม
ตูนวิ่งไปที่ไหน มีรอยยิ้มของผู้คนที่มารอต้อนรับ วีรบุรุษคนใหม่ของเขา
ตูนกำลังกลายเป็นวีรบุรุษคนล่าสุดของคนไทยทั้งประเทศ ไม่น่าเชื่อว่ามีคนยอมเสียสละตัวเองเพื่อคนอื่น
ผู้เขียนเชื่อว่าตูนก็คงไม่ได้คิดอยากเป็นวีรบุรุษของใคร เขาแค่คิดเล็กๆ อยากหาเงินช่วยโรงพยาบาล
แต่ลักษณะของตูน ครบองค์ประกอบของวีรบุรุษที่คนไทยแสวงหา
เป็นคนอายุไม่มาก
ต้องเสียสละ ต้องทรมานตัวเอง คือการวิ่งแบบยอดมนุษย์ สองพันกว่ากิโลเมตร
ไม่ได้ทำเพื่อตนเอง แต่ทำเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ผู้ได้รับความทุกข์ยาก คือวิ่งเพื่อหาเงินช่วยเหลือโรงพยาบาล ที่คนไข้ส่วนใหญ่เป็นคนยากคนจน
ไม่แปลกใจเลยที่จะมีผู้คนออกมารอต้อนรับวีรบุรุษของเขา ให้กำลังใจล้นหลาม และยอดเงินบริจาคพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วทะลุร้อยล้านบาทในชั่วเวลาไม่ถึงอาทิตย์
“ตูน ของจริง วิ่งสองพันโล เพื่อคนอื่น” คือคำจำกัดความของเขาในตอนนี้
ปรากฏการณ์การเคลื่อนไหวของตูน ทำให้ผู้คนรายทางมีรอยยิ้ม ผู้คนที่ได้รับข่าวสารมีความสุข จุดประกายความหวังบางอย่างให้มีขึ้นในสังคมไทยอีกครั้ง ท่ามกลางความเบื่อหน่ายของปัญหาการเมือง ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสังคมที่รุมเร้ารัฐบาลวัยชรา
วีรบุรุษชื่อตูน มาพร้อมความหนุ่ม ความสด ความใหม่ และพลังอันล้นเหลือว่าสามารถทำเรื่องยากๆ ได้สำเร็จ
“ปรากฏการณ์ตูน” ทำให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่ซัดเข้าสู่สังคมไทย
บางทีสังคมอาจจะตระหนักแล้วว่า ถึงเวลาของคนหนุ่มสาวในการชี้ชะตาประเทศชาติแล้ว