อายุษ ประทีป ณ ถลาง เรื่อง
ย่างก้าวเข้าสู่ปีที่สี่ของระบอบคสช. นับแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อ้าปากกว้างเผยให้ประชาชนคนทั้งประเทศเห็นลิ้นไก่ ประกาศตนเป็นนักการเมืองเต็มตัว เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ต้องถือเป็นห้วงเวลาซึ่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และรัฐบาลทหาร ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรี เผชิญกับ วิกฤตศรัทธาจากประชาชนรุนแรงที่สุด นับแต่ก่อการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
ถึงแม้ว่า กระแสสังคมโดยรวม ปฏิกิริยา อารมณ์ของผู้คนจะยังไม่เดือด เหลืออด ถึงขนาดพร้อมใจกันออกมาเดินตามท้องถนน ทวงคืนอำนาจอธิปไตยโดยไม่เกรงกลัวคุกตะราง และกระบอกปืนก็ตามที
ทว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นบรรยากาศความเบื่อหน่าย เอือมระอาต่อระบอบคสช. ที่แผ่กระจายขยายตัวออกไปทุกขณะได้เป็นอย่างดี
และเมื่อย้อนมองประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองไทย ซึ่งเวียนวนอยู่ในวัฏจักรวงจรของการ “เลือกตั้ง-รัฐประหาร-ไล่เผด็จการ” ย่อมไม่อาจปฏิเสธไปได้เลยถึงแนวโน้ม ความเป็นไปได้ที่วิกฤติศรัทธาจะพัฒนาไปสู่การลุกฮือขึ้นมาต่อต้านอำนาจรัฐ
ประชาชนสีเสื้อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเหลือง แดง ด่าง ดำ ฯลฯ ใกล้จะสามัคคีปรองดองกัน สมดังเจตจำนง ความต้องการของคสช. โดยมิต้องพึ่งพาแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ให้ล่าช้าเนิ่นนานแต่ประการใด
ขณะที่วิกฤตศรัทธาต่อนักการเมืองซึ่งมาจากการเลือกตั้ง มีสาเหตุเกี่ยวด้วยพฤติกรรมโกงบ้านกินเมือง ทุจริตคอร์รัปชัน สร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้กับครอบครัวและวงศ์ตระกูล ประการหนึ่ง กับ เลือกตั้งเสร็จไม่เห็นหัวประชาชน ตะบี้ตะบันดันทุรังใช้อำนาจโดยไม่ฟังเสียงชาวบ้านราษฎร ผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง อีกประการ เป็นสำคัญ
วิกฤตศรัทธาต่อผู้ปกครองระบอบทหารมักจะมีสารัตถะมาจากความไม่พึงพอใจของประชาชนในเรื่องของสัจจะ คำมั่นสัญญาที่คณะรัฐประหารให้ไว้กับประชาชน
เพราะประชาธิปไตยส่งผลทำให้คนชั้นนำซึ่งเคยได้ประโยชน์สูงสุดจากระบอบเก่าถอยห่างออกไปจากอำนาจการเมืองและสังคม
รัฐประหารแต่ละครั้งแต่ละหน กองทัพและกลุ่มคนชั้นนำซึ่งเชื่อว่าตนเป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่งในประเทศนี้ เก่งกล้าสามารถและรักชาติมากกว่าผู้ใด จึงต้องหยิบยกเอาความเลวทรามต่ำช้าสารพัดของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง มาเป็นข้ออ้างในการแก่งแย่งช่วงชิงอำนาจรัฐ เพื่อรักษาสถานภาพของตัวเองและระบอบเก่า เอาไว้ให้ยาวนานที่สุด
ยื้อกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475
ครั้นได้อำนาจรัฐมา เข้าไปปกครองบ้านบริหารเมือง ก็ลอยหน้าลอยตา เสวยสุขเสพอำนาจ มิได้แตกต่างไปจากนักการเมืองที่ตัวเองเคยชี้หน้าด่าประณามแต่ประการใด
ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง ทุจริตประพฤติมิชอบโดยปราศจากหิริโอตัปปะ
ขณะเดียวกัน หาทางสร้างความสับสนเข้าใจผิดให้กับระบอบปกครองประชาธิปไตย ด้วยการสถาปนาโครงสร้างการเมืองพิลึกพิลั่น อุดมการณ์อันวิปริต ผิดเพี้ยน สุดแท้แต่อุตริคิดขึ้นมาได้ เช่น ประชาธิปไตยแบบไทยๆ หรือล่าสุดคือไทยนิยม
หวังธำรงรักษาระบอบเก่าไปพร้อมกับการสืบทอดอำนาจคณะรัฐประหาร
เป็นเช่นนี้มาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเรียกขานขนานนามว่าคณะปฏิวัติ คณะปฏิรูป หรือคณะรักษาความสงบ ฯลฯ ล้วนมาอีหรอบเดียวกันทั้งสิ้น
แรกๆ แลดูเหมือนเทพ หรืออัศวินขี่ม้าขาวมากอบกู้ชาติบ้านเมืองอยู่หรอก แต่นานวันเข้ากลับกลายเป็นปีศาจหรืออสูรร้ายทุกคราวไป
เช่นเดียวกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กำลังเผชิญกับวิกฤตศรัทธาจากประชาชน ด้วยเหตุมาจากความไม่เชื่อมั่นไม่ไว้วางใจในคำมั่นสัญญาที่ผู้ปกครองระบอบคสช. เคยให้ไว้ก่อนหน้านี้
อ้างว่าขอเวลาอีกไม่นาน แต่เกือบสี่ปีแล้วยังไม่มีวี่แววเลยว่าจะคืนอำนาจให้กับประชาชนเมื่อใด
ตรงกันข้ามกลับปรากฏให้เห็นถึงกระบวนการยื้อยุดฉุดกระชาก ลากเลื่อนการเลือกตั้งออกไปให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ เพื่อให้มั่นใจว่าการเลือกตั้งหากจะมีขึ้นต้องเป็นประโยชน์กับตนเอง
พยายามที่จะสืบทอดอำนาจคสช. ต่อไปทุกวิถีทาง
สัญญาจะคืนความสุขให้กับประชาชนก็เห็นมีแต่เหล่าบรรดาชนชั้นนำ ผู้ปกครองคสช. และแม่น้ำ 5 สาย ตลอดจนบริวารว่านเครือเท่านั้น ที่อิ่มหมีพีมัน มีความสุขอยู่ท่ามกลางความทุกข์ของชาวบ้านราษฎรส่วนใหญ่ ซึ่งต่างล้วนต้องผจญกับความลำบากยากแค้นไปทุกหย่อมหญ้า
ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งขยายถ่างความเหลื่อมล้ำ ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนถอยห่างไกลออกไปทุกขณะ
ให้คำมั่นจะจัดการกับการทุจริตคอร์รัปชันอย่างจริงจัง แต่เมื่อเกิดกรณี “แหวนยืมแม่ นาฬิกายืมเพื่อน” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถูกแฉโพยเปิดโปงว่าครอบครองนาฬิกาหรูราคาแพงไม่น้อยกว่า 25 เรือน โดยมิได้แสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการทุจริตแห่งชาติ กลับทำตนเป็นทองไม่รู้ร้อน
ใครจะเรียกร้องอย่างไรไม่ฟัง อ้างเป็นเรื่องส่วนตัว
ถึงขนาด นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการร่วมรัฐบาลยังอดรนทนไม่ไหว ไปนินทาให้คนไทยในอังกฤษฟัง
วันดีคืนดี มีคนออกมาออดอ้อนต้อนรับเดือนแห่งความรัก
อ้อนวอนประชาชนช่วยกัน “กอดศพ” บอกว่า “วันนี้อย่ารักผมคนเดียว รักรองนายกรัฐมนตรีของผมด้วย วันนี้มาทั้งครม. ประยุทธ์คนเดียวอยู่ไม่ได้ ต้องอยู่ด้วยกันทั้งหมด ใครต้องออกไป ออกมามันวุ่นกันไปหมด ฉะนั้นต้องอยู่ด้วยกัน เพราะเป็นสิ่งที่เรามุ่งมั่น หากมีอะไรผิดพลาดบกพร่องไปต้องขอโทษด้วย”
เป็นอย่างนั้นไป…..
กตัญญูรู้คุณ รักพี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ยิ่งกว่าประเทศชาติบ้านเมืองเสียอีก
แล้วจะไม่ให้เกิดวิกฤตศรัทธา นำไปสู่ความเสื่อมถอยได้อย่างไรกัน
แถมท้ายติดพัน พยายามที่จะอรรถาธิบาย ชี้แจงข้อกล่าวหาสืบทอดอำนาจคสช. ด้วยว่า
“ไม่มีเจตนาเพื่ออะไรทั้งสิ้น อยู่ที่พวกเรา อย่ามาบอกว่าสืบทอดอำนาจ เพราะอำนาจอยู่ที่ประชาชน ไปเลือกเข้ามาเอง เลือกคนดีเข้ามาบริหารบ้านเมือง”
พูดเองเออเอง ไม่มีหรอกสืบทอดอำนาจ ทั้งหลายทั้งปวงเป็นเรื่องที่ประชาชนถวายพาน แบกหามตัวเองขึ้นเสวยสุขเสพอำนาจโดยสมัครใจ ไม่ได้มีใครไปบังคับแต่อย่างใด
แก้ต่างแก้ตัวให้กับตนเองเสร็จสรรพ
แม้ยังดีที่มีเรื่อง “เปรมชัย-เสือดำ” มาช่วยเบี่ยงเบนวิกฤตศรัทธาที่เกิดขึ้น ผ่อนคลายบรรยากาศทางการเมืองลงไปได้บ้าง แต่กระนั้นก็ตาม เส้นทางไปสู่อำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้น คงไม่ราบเรียบเหมือนดังเช่นที่ได้ตระเตรียมการกันมาช้านานแน่นอน
แผ่นดินที่งดงามจะกลับคืนมา มีอยู่แต่ในเนื้อเพลงเท่านั้นเอง…..
