อายุษ ประทีป ณ ถลาง เรื่อง
ไม่ว่าจะเห็นด้วยกับพฤติกรรมการเคลื่อนไหวทางการเมืองของนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือไม่อย่างไรก็ตาม ข่าวลือเกี่ยวกับปฏิบัติการอุ้มฆ่าข้ามชาติ สังหารโกตี๋ ผู้ต้องหาคดีความมั่นคง และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งหลบหนีอยู่ในประเทศลาว หากเป็นความจริง ต้องถือเป็นการกระทำอันชั่วร้ายป่าเถื่อนอย่างยิ่ง
ไม่สามารถจะยอมรับได้เลยไม่ว่าจะเป็นแง่มุมไหน ด้วยเหตุผลกลใด กับการบังคับทำให้ตาย เพียงเพราะฝ่ายหนึ่งมีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างไปจากตัวเอง ถึงแม้นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ จะแสดงเจตนามุ่งร้าย ท้าทายอำนาจรัฐก็ตามที
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ยังเป็นการข่มขู่ คุกคามสร้างความหวาดกลัวให้กับบุคคลอื่นที่มีความคิดต่างอีกด้วย
ทำราวกับชีวิตผู้คนเป็นผักเป็นปลา นึกอยากจะทำอะไรกับใครก็ได้
แต่ก็อย่างว่า สังหารผู้คนกลางเมืองตายไปเกือบร้อยศพยังทำได้ แล้วนับประสาอะไรหากจะฆ่าคนๆ เดียว ในสถานที่ซึ่งยากที่จะมีใครรู้เห็น
คราวนั้นอาจจะอ้างได้ว่ามีกองกำลังติดอาวุธ ชายชุดดำทำร้ายเจ้าหน้าที่จนบาดเจ็บเสียชีวิต แต่คราวนี้ หากเป็นจริง คงยากที่จะอธิบายเหตุผลความจำเป็น ถึงขนาดต้องกำจัดผู้คนซึ่งมีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างไปจากฝ่ายตัวเอง
น่าเศร้าใจที่เรื่องราวของนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ เป็นเพียงแค่ข่าวเล็กๆ ได้รับความสนใจในแวดวงแคบๆ เท่านั้น
ไร้พลังที่จะไปทวงหาความยุติธรรม
ที่น่ารันทดชวนให้สมเพชเวทนาก็คือ ไม่ปรากฏแกนนำคนเสื้อแดง ซึ่งเคยต่อสู้ทางการเมือง ร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน หรือนักการเมืองซึ่งเคยได้อานิสงส์ ประโยชน์โพดผล จากการเคลื่อนไหวของนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ ออกมาเป็นปากเป็นเสียง เรียกร้องความเป็นธรรม ทวงถามความเป็นจริงกับข่าวที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด
ยิ่งไปกว่านั้น ยังกลายเป็นประเด็นวิวาทะระหว่างคนเสื้อแดงด้วยกันเอง ให้สื่อเสื้อเหลืองสวมวิญญาณแร้งอีกด้วย
มิพักพูดถึงผู้กุมอำนาจรัฐซึ่งถือเป็นฝ่ายตรงกันข้าม
รัฐมนตรีเสนาบดีแต่ละคนต่างออกมาปฏิเสธคอเป็นเอ็น ไม่รู้ไม่เห็น มิได้เกี่ยวข้อง
ไม่ได้มีใครเป็นทุกข์เป็นร้อน ไม่มีผู้ใดสำแดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์เลยว่า โดยภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบของตนเองแล้ว จะปฏิบัติดำเนินการอย่างไร ในฐานะที่นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ เป็นคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งพึงได้รับการปกป้องคุ้มครองจากรัฐ
ประทานโทษเถอะ ประสาชาวบ้านต้องบอกว่า เหมือนสุนัขข้างถนน อย่างไรก็อย่างนั้น
เผลอๆ บางที หมาข้างถนนอาจจะดีกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะผู้ใดไปทำร้าย ทำให้ถึงตาย ยังมีคนหรือมนุษย์คอยปกป้องเอาผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดการสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557
แต่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันถูกทำร้ายกลับไม่มีใครสนใจใยดี
ไม่เฉพาะประเด็นของนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ แต่เพียงเท่านั้น
ที่ผ่านมา ปรากฏข่าวความตายแปลกประหลาดพิสดารให้เห็นจนชาชิน เดี๋ยวมีนายตำรวจฆ่าตัวตายในเรือนจำ เดี๋ยวหมอหยองติดเชื้อในกระแสเลือดตายคาคุก เดี๋ยวอดีตเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพังงาเสียชีวิตในห้องขังกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ
แทนที่จะเห็นเป็นประเด็นร้ายแรง เป็นเรื่องใหญ่โต ยอมไม่ได้ที่จะปล่อยให้เกิดปรากฏการณ์เย้ยหยันท้าทายกฎหมายกบิลเมือง ตลอดจนศีลธรรมความถูกต้องก็เปล่าเลย เจ้าหน้าที่ของรัฐ ตั้งแต่รัฐมนตรีเสนาบดีไล่เรียงลงไปจนถึงพลตำรวจ กลับนอนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็น นักกฎหมายน้อยใหญ่ รวมถึงนักสิทธิมนุษยชน บื้อใบ้พร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย
บางคนกลับมองเห็นเป็นเรื่องตลกขบขันเสียด้วยซ้ำ
ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร ในประเทศซึ่งอ้างว่าปกครองในระบอบประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยอะไรกันที่ระบบตรวจสอบถ่วงดุลง่อยเปลี้ยเสียขา ไม่สามารถอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยได้
ประชาธิปไตยแบบไหนกันที่ประชาชนไม่สามารถพูดความจริง ไม่อาจจะแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระตรงไปตรงมาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในบ้านนี้เมืองนี้
และจะว่าไปแล้ว ใช่เพียงแค่ความตายอันมีสาเหตุเกี่ยวเนื่องด้วยความคิดเห็นแตกต่างทางการเมืองเท่านั้น
แม้กระทั่งชีวิตประจำวันปกติโดยทั่วไป ชีวิตผู้คนในบ้านเมืองนี้ก็หาได้มีค่า มิได้มีราคา และความตายผิดธรรมชาติถูกมองเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา
แต่ละวันมีผู้คนเสียชีวิตมากมายโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร ตายอย่างไร้สาระ ไม่ว่าสาเหตุมาจากการทะเลาะวิวาท ตีรันฟันแทง ยิงกัน ปล้นจี้ชิงทรัพย์ หรืออุบัติเหตุ
ทั้งๆ ที่รู้ว่าประเทศไทย สถิติผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนสูงเป็นที่ 2 ของโลก ปีหนึ่งสองหมื่นกว่าคน แต่รัฐบาลฝ่ายบริหารก็มิได้มีท่าทีใดๆ ที่จะจัดการปัญหาดังกล่าวเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจริงจังแต่อย่างใด โดยเฉพาะกับการจำกัดความเร็ว อันเป็นต้นตอตัวการสำคัญของการตายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ขณะที่ไม่ได้มีการบังคับใช้เอาจริงเอาจังกับการสวมหมวกกันน็อค และตรวจวัดระดับแอลกอออล์
เทศกาลปีใหม่ที สงกรานต์ที ให้ความสนใจกับประเด็นการตายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที
ตายอย่างไร้สาระสิ้นดี เสียชีวิตกันทีสี่ห้าหกร้อยคนก่อนที่จะจางหายกลายเป็นคลื่นกระทบฝั่ง เมื่อเทศกาลเหล่านั้นพ้นผ่านไป
เช่นเดียวกับปัญหาสารพัดสารพันในบ้านนี้เมืองนี้ ที่ทำราวกับเป็นโรคสมาธิสั้นกันทั้งประเทศ ตั้งแต่ผมดำยันหัวหงอกผมขาว
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง อาชญากรรมโจรผู้ร้าย น้ำท่วมหรือการบริหารจัดการน้ำ ปราบปรามทุจริตคอร์รัปชัน กระแสปฏิรูปอะไรต่อมิอะไรทั้งหลายแหล่ หรือแม้แต่โครงการรถไฟความเร็วสูงก็ตามที
ตีปี๊บโหมประโคมกันเอิกเกริกครึกโครม ก่อนจะเงียบหายไปเหมือนไฟไหม้ฟาง
ถามจริงๆ เถอะ นับแต่เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน มีสิ่งใดที่ประสบความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน เห็นผลจนเป็นที่ประจักษ์ เหมือนกับการซื้อหาอาวุธยุทโธปกรณ์บ้าง ที่ระยะเวลาเพียงแค่สองปีเศษนับแต่รัฐประหาร ช็อปกันระเบิดเถิดเทิง ทั้งเครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ เรือผิวน้ำ เรือดำน้ำ รถถัง ยานเกราะ ปืนใหญ่
ประทานโทษ ลืมไปว่ายังมีโครงการพิเศษทั้งหลายที่อนุมัติออกไปอีกหลายโปรเจกต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหอชมเมืองกรุงเทพ และทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา
อีกอย่างเห็นก็จะเป็นการประพันธ์เพลง ร่ายกลอนเขียนบทกวี ที่กล้อมแกล้มไปได้ อย่างน้อยพอจะสร้างความรื่นเริงบันเทิงใจ คืนความสุขให้กับประชาชนได้ดีกว่าไปยืนจับไม้กวาดก้านมะพร้าวผูกโบว์โชว์ หรือเที่ยวชักสีหน้าทำตาปูดโปนใส่สื่อมวลชนให้ชาวบ้านเห็น
เป็นกวี ครูเพลง น่าจะเข้าทีดีกว่าจริงๆ อย่าหาว่าเชียร์เลียท็อปบู๊ตเลย