fbpx

แล้วจะได้ไม่ลืม


จุดเริ่มต้นของเรื่องที่จะกล่าวถึงคือจักรยานโบราณคันหนึ่งที่หายไปจากชีวิตใครคนหนึ่ง เรื่องราวการหายไปนำไปสู่การพบพานและเกี่ยวข้องกับใครคนอื่น ในระหว่างทางของการตามหา ประตูหลายบานถูกเปิดออกให้พบกับผู้คนจำนวนหนึ่งที่เป็นเหมือนจุดจอดพักและปลายทางของจักรยาน ชื่อเรียกของเส้นทางนี้คือ ‘จากวัตถุถึงความทรงจำ’

นักอ่านแปลกหน้าคนหนึ่งเขียนจดหมายถามเฉิงว่า จักรยานที่หายไปพร้อมกับพ่อของตัวเอกในตอนจบของนวนิยายที่เขาเขียนนั้นอยู่ที่ไหน เพราะสำหรับเธอแล้ว จักรยานนั้นคือสัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของเรื่อง การหายไปในตอนจบของพ่อและจักรยานในเรื่องแต่งนั้นเป็นเรื่องจริงในชีวิตของเฉิง การหายไปเป็นบาดแผลของประวัติศาสตร์ครอบครัว และเป็นสิ่งเร้าให้เขาทุ่มเทชีวิตและจิตใจไปกับการตามหาจักรยานโบราณคันนั้น โดยจุดประสงค์คือการไขปริศนาเกี่ยวกับพ่อ

ในการตามหา เฉิงได้พบกับอาปู้ พ่อค้าของเก่าที่เส้นสายในวงการของเขาได้นำพาเฉิงไปพบกับเสี่ยวเซี่ย ซึ่งนำไปสู่เบาะแสของพ่อและจักรยาน

จากภาพถ่ายของจักรยานโบราณคันนั้น เฉิงไปพบกับอับบาส ช่างภาพสงคราม ผู้ซึ่งเรื่องราวส่วนตัวของเขาเองก็มีความเกี่ยวข้องกับจักรยานโบราณทั้งทางตรงและทางอ้อม เฉิงได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องการใช้จักรยานสงครามจากบันทึกชีวิตที่ได้มาจากพ่อของอับบาส อดีตผู้ผ่านศึกจากสงครามมหาเอเชียบูรพา

อีกทางหนึ่ง เฉิงก็ได้ติดต่อกับแอนนี่ อดีตคู่รักของอับบาสผู้ได้รับยืมจักรยานที่เฉิงตามหามาจากซาบิน่า เพื่อนของเธออีกที เรื่องราวที่เฉิงได้รับรู้จากซาบิน่าพาเขาไปสู่ประวัติศาสตร์อีกด้านของไต้หวัน และนำไปสู่การตอบคำถามเกือบทุกประการที่ติดค้างอยู่ในใจของเฉิง

บนเส้นทางที่เฉิงและจักรยานที่หายไปเดินทาง มีเหตุการณ์หลายอย่างที่ส่งผลต่ออารมณ์ ทั้งจากเหตุผลและความรู้สึก เรื่องราวของอาปู้เปิดเผยให้เห็นถึงธรรมชาติของวงการสะสมของเก่าทั้งในเชิงวัตถุและจิตวิทยา ชีวิตของอับบาสนำเสนอภาพความโหดร้ายและผลสืบเนื่องของสงคราม ชีวิตบางส่วนของซาบิน่าและเฉิงวาดภาพให้เห็นกระบวนการของการสร้างสรรค์งานเขียนขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม นอกเหนือไปจากนั้น อาชีพบางอาชีพอย่างศิลปะการสร้างภาพจากปีกผีเสื้อที่แทบจะใช้คำว่าสูญพันธุ์ไปแล้วจากไต้หวันก็ถูกนำกลับมาแสดงให้เห็นอย่างเปี่ยมสีสัน

กล่าวได้ว่าในระหว่างทางไม่ได้มีเพียงแต่จักรยานบางคันที่หายไปจากชีวิตของผู้คน หากยังมีสิ่งที่หายไปจากอัตลักษณ์ของสังคม และคำถามตามมาที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสิ่งที่สูญหายคือ ‘แล้วใครจะเป็นคนไปตามกลับมา?’

จักรยานทุกคันในเรื่อง ทั้งที่เฉิงตามหา และทั้งที่อยู่ในเรื่องราวชีวิตของผู้อื่น ทำหน้าที่เป็นทั้งตัวปลุกเร้าความทรงจำและเป็นปริศนาที่รอให้ค้นพบ ขั้นตอนในการสืบหาสืบค้นพัฒนาไปสู่การทำความเข้าใจบริบทของประวัติศาสตร์ที่อยู่รายรอบวัตถุ

ในที่นี้ตัวแปรหลักของเรื่องเล่าคือ วัตถุ เวลา และความทรงจำ โดยมีกระบวนการค้นหาเป็นการดำเนินเรื่อง คำตอบของสมการที่ได้จากการตามหาคือการสดุดีประวัติศาสตร์ที่คนธรรมดามีส่วนสร้างและส่วนเกี่ยวข้องให้ดำเนินไป

จักรยานที่หายไป เป็นนวนิยายแห่งการตามหาคำตอบและความหมายของความทรงจำ เรื่องถูกร้อยไว้ด้วยประวัติศาสตร์น้อยใหญ่ของไต้หวัน ผ่านการบอกเล่าเรื่องราวที่ใช้ทั้งเวลาและเกร็ดความรู้ของเรื่องราวต่างๆ มาสร้างบรรยากาศให้มีความลึกลับ ชวนติดตาม การให้รายละเอียดที่รื่นและไหลไปเรื่อยๆ ในเวลาของการเล่าทำให้เกิดภาวะของการ ‘หลง’ และ ‘ลืม’ ประเด็นของเรื่องจนไปถึงจุดของความยุ่งเหยิงในฝันยามดึกดื่น

สิ่งที่เฉิงทำระหว่างที่เรื่องเล่าทำให้การอ่านหลงและลืม คือการตามหาสิ่งที่ขาดหายไปเพื่อรักษาบาดแผลของตนเองและครอบครัว (ที่ในขณะเดียวกัน สิ่งที่สะท้อนออกมาคือร่องรอยบาดแผลของผู้คนในชาติอันเป็นผลสืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์) เพื่อการลบล้างความหดหู่ออกไปจากชีวิต และเมื่อภาระของเขาเสร็จสิ้น กิจสืบเนื่องเพื่อการตื่นจากฝันของการอ่าน คือการทำความเข้าใจกับวิธีการใช้เวลาเป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่อง ซึ่งความหมายแฝงของกิจนี้คือการทำความเข้าใจกับกระบวนการสืบค้นและตามหาที่สร้างความหมายต่อความทรงจำ

“เพราะวัตถุไร้เดียงสาจึงมีการสะสม เพราะความทรงจำไร้เดียงสาจึงถูกลืมเลือน”

ผมเขียนประโยคนี้ด้วยดินสอไว้บนหน้าสุดท้ายหลังการอ่านจบลง


หมายเหตุ

จักรยานที่หายไป (2015) เป็นนวนิยายเรื่องที่เจ็ดของอู๋หมิงอี้ นักเขียนชาวไต้หวันผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นแนวหน้าของวรรณกรรมร่วมสมัยของไต้หวัน นวนิยายเรื่องนี้ได้รับรางวัลมากมายในโลกภาษาจีน ต่อมาในปี 2018 ฉบับแปลภาษาอังกฤษภายใต้ชื่อ The Stolen Bicycle ได้รับการเสนอให้อยู่ใน longlisted ของ Man Booker International Prize

ตอนที่อยู่ในการคัดเลือก The Stolen Bicycle ได้กลายเป็นจุดสนใจต่อสาธารณะ เพราะมีการระบุว่าสัญชาติอู๋หมิงอี้ผู้เขียนว่าเป็นจีนไต้หวัน (Taiwan, China) โดยกล่าวกันว่าเป็นการกดดันจากสาธารณรัฐประชาชนจีน แต่ท้ายที่สุดแล้วคณะกรรมการก็ประกาศว่าอู๋หมิงอี้เป็นคนไต้หวัน

ประเด็นนี้เป็นเรื่องชวนคิดได้อีกเรื่องสำหรับผู้ที่สนใจกรณีพิพาทระหว่างจีนกับไต้หวัน เพราะเรื่องราวใน จักรยานที่หายไป ในแง่หนึ่งคือการนำเสนออัตลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์ของไต้หวัน และเป็นสำนึกแบบไต้หวันที่จีนได้ชื่อเสียงไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเป็นสำนึกที่หลุดพ้นจากการผูกมัดของประวัติศาสตร์จีนมาตั้งแต่ต้น

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save