fbpx

เมื่อทรัมป์เสียชีวิตเพราะไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่

1

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้แพร่ระบาดไปทั่วโลกตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 1918 ถึงเดือนเมษายน 1920 กินเวลารวมทั้งหมดมากกว่าสองปี กระทบกับชีวิตของผู้คนถึง 500 ล้านคน ซึ่งถือว่าเยอะมาก เพราะประชากรโลกในขณะนั้นน่าจะมีอยู่ราวไม่เกิน 2 พันล้านคน

ไข้หวัดใหญ่นั้นมีชื่อเรียกว่า ไข้หวัดสเปน (Spanish Flu)

และเชื่อหรือไม่ว่า ทรัมป์ ผู้เป็นปู่ของโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันพันเพราะโรคระบาดนี้ด้วย

มัน ‘ไม่เลือกหน้า’ เลยว่าจะเข้าจู่โจมใคร และทำให้ใครต้องตายไปจากโลก

2

ไข้หวัดสเปนระบาดอยู่ 4 ระลอกใหญ่ๆ ด้วยกัน ระลอกแรกเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ต้นปี 1918 โดยเคสแรกที่เริ่มรับรู้กันเป็นวงกว้าง คือกรณีของอัลเบิร์ต กิตเชล (Albert Gitchell) ผู้เป็นพ่อครัวให้กองทัพที่แคนซัส สหรัฐอเมริกา  

แน่นอน ก่อนหน้านี้เคยมีเคสผู้ป่วยมาก่อนแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้สังเกตพบเท่านั้นเอง คาดการณ์กันว่าเคสแรกสุดน่าจะเกิดขึ้นในราวเดือนมกราคม 1918 แต่ที่กรณีของกิตเชลเป็นที่ฮือฮาก็เพราะเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ไวรัสไข้หวัดสเปนก็ได้แพร่ลามไป จาก 1 ไปเป็น 4 ราย แล้วอีกไม่นานก็ระบาดไปยังทหาร 522 นาย และแพร่ออกจากแคมป์ทหาร เพียงวันที่ 11 มีนาคม ไวรัสก็แพร่กระจายไกลไปถึงควีนส์ในนิวยอร์ก

เมื่อไม่มีมาตรการป้องกันใดๆ ไวรัสจึงเหมือนปลาได้น้ำ และเนื่องจากมีการฝึกทหารเพื่อเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เหล่าทหารหาญทั้งหลายจึงเป็นพาหะนำเชื้อโรคที่ดียิ่ง จากอเมริกาแพร่ไปสู่แคมป์ทหารในยุโรป ส่วนในสหรัฐอเมริกานั้นไม่ต้องพูดถึง มันแพร่ไปทั่วจนถึงฝั่งตะวันตกภายในกลางเดือนมีนาคมนั่นเอง

ในระลอกแรก ไข้หวัดสเปนก็คล้ายโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิมก่อนอัลฟ่า มันอ่อนโยนกว่า โหดร้ายน้อยกว่า อัตราการตายของผู้ป่วยด้วยไข้หวัดสเปนนั้นไม่ได้สูงกว่าอัตราการตายจากไข้หวัดใหญ่ธรรมดาทั่วไป ที่จริงแล้วในบางที่อัตราการตายน้อยกว่าด้วยซ้ำ จึงไม่มีการกักตัว ไม่มีมาตรการป้องกันใดๆ ออกมา

ทุกวันนี้เรารู้แล้วว่า การปล่อยให้ไวรัสแพร่ไปในวงกว้างนั้นเป็นเรื่องอันตรายมาก โดยเฉพาะไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่ร่างกายของมนุษย์ยังไม่คุ้นชิน เนื่องจากในทุกๆ การจำลองสารพันธุกรรมนั้น มีโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ และกลายเป็น ‘การกลายพันธุ์’ ขึ้นได้ทุกเมื่อ ยิ่งแพร่ไปมาก โอกาสที่จะกลายพันธุ์ก็ยิ่งมาก และโอกาสที่จะกลายพันธุ์จนเป็นอันตรายยิ่งกว่าเดิมก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย

แล้วเหตุการณ์เช่นนั้นก็เกิดขึ้นจริงๆ กับครึ่งหลังของเดือนสิงหาคม 1918 ที่เริ่มเกิดการระบาดระลอกสอง กับการกลายพันธุ์ที่ร้ายแรงและมีอานุภาพทำลายจนมีผู้เสียชีวิตสูงกว่าระลอกแรกมากนัก จากอเมริกา ไข้หวัดสเปนแพร่ไปยังแอฟริกา ยุโรป และมาถึงเอเชีย ในสหรัฐอเมริกา มีรายงานว่ายอดผู้เสียชีวิตสูงถึงราว 292,000 คน ในช่วงเดือนกันยายนถึงธันวาคม 1918 ซึ่งนับว่าสูงมาก รายงานผู้เสียชีวิตกระจายไปทั่วโลก ทั้งในรัสเซีย อินเดีย เนเธอร์แลนด์ และที่อื่นๆ ประมาณกันว่าเฉพาะในอินเดีย น่าจะมีผู้เสียชีวิตมากถึง 12.5-20 ล้านคน เฉพาะในสามเดือนสุดท้ายของปี 1918 เท่านั้น

ในระลอกที่สาม ไข้หวัดสเปนข้ามน้ำข้ามทะเลจากเอเชียไปสู่ออสเตรเลีย และสังหารคนที่นั่นไปราว 12,000 คน แม้ตัวเลขฟังดูน้อย แต่โปรดอย่าลืมว่าประชากรของออสเตรเลียในต้นศตวรรษที่แล้วนั้นน้อยยิ่งกว่าน้อย จากนั้นก็ดูเหมือนว่าไวรัสจะเดินทางรอบโลกด้วยการระบาดกลับไปยังสหรัฐอเมริกาและยุโรปอีกหน มีรายงานการตายของคนหลายแสนคนกับระลอกที่สามนี้ระลอกเดียวในช่วงปี 1919

ส่วนระลอกที่สี่เป็นระลอกที่น่าจะเล็กที่สุด เกิดขึ้นในพื้นที่ต่างๆ แยกจากกัน เช่นในนิวยอร์ก สวิตเซอร์แลนด์ สแกนดิเนเวีย และเกาะในอเมริกาใต้ ทว่าถึงจะเป็นระลอกเล็ก จำนวนผู้เสียชีวิตก็ยังมากกว่าระลอกแรก โดยในนิวยอร์กนั้นมีผู้เสียชีวิตเป็นสองเท่าของระลอกแรก

จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าไข้หวัดสเปนมาจากไหน ถึงชื่อจะคือสเปน แต่ไม่ได้แปลว่ามันมีกำเนิดในสเปน ทฤษฎีกำเนิดไข้หวัดชนิดนี้มีหลายทฤษฎี ตั้งแต่มีกำเนิดที่อเมริกาเอง โดยเฉพาะในแคนซัส จนถึงมาจากยุโรป และมีแม้กระทั่งการศึกษาที่บอกว่ามาจากไกลจากจีน ซึ่งเป็นเรื่องที่ยังต้องถกเถียงกันต่อไป

3

เราไม่รู้หรอกว่า ยามต่อกรกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่อย่างโควิด-19 ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้คิดถึงปู่ของตัวเองบ้างหรือเปล่า

ปู่ของทรัมป์มีชื่อว่า เฟรเดอริก ทรัมป์ (Frederick Trump) เขาไม่ได้เป็นคนอเมริกัน แต่เกิดที่เมืองคาลชตัดต์ (Kallstadt) ในอาณาจักรบาวาเรีย (Kingdom of Bavaria) ซึ่งปัจจุบันก็คือส่วนหนึ่งของเยอรมนี ที่น่าสนใจก็คือ ครอบครัวทรัมป์เป็นโปรเตสแตนท์ แต่ในบาวาเรียเกือบทั้งหมดเป็นคาทอลิก ดังนั้นถ้ามองในแง่ศาสนา ครอบครัวทรัมป์จึงมีลักษณะ ‘ขบถ’ อยู่ไม่น้อย

ตระกูลทรัมป์นั้น ถ้านับย้อนกลับขึ้นไปเรื่อยๆ จะไปสุดที่บรรพบุรุษที่ชื่อ โยฮันน์ ฟิลิป ดรัมฟต์ (Johann Phillipp Drumpft) ซึ่งถือเป็นทวดของทวดของทรัมป์ผู้เป็นปู่ของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งก็อยู่ในบาวาเรียนั่นแหละ เรียกได้ว่าตระกูลทรัมป์สืบทอดเชื้อสายมาจากชาวเยอรมันเต็มตัว แต่กระนั้น หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อมีกระแสต่อต้านชาวเยอรมันในอเมริกาอย่างรุนแรง ลูกของเฟรเดอริก ทรัมป์ (ซึ่งก็คือพ่อของโดนัลด์ ทรัมป์) ที่มีชื่อว่าเฟร็ด ทรัมป์ (Fred Trump) ก็ได้ปฏิเสธรากเหง้าของตัวเอง โดยบอกว่าตระกูลทรัมป์ไม่ได้มาจากเยอรมัน ทว่ามาจากสวีเดนต่างหาก

ที่น่าสนใจก็คือ เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ เขียนหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเองในปี 1987 เขาก็อ้างคำของพ่อมาใช้ โดยบอกว่าตระกูลทรัมป์นั้นมาจากสวีเดน แต่บรรดาผู้เขียนประวัติของครอบครัวทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็น เกวนดา แบลร์ (Gwenda Blair) ผู้เขียนหนังสือ The Trumps: Three Generation sthat Built an Empire หรือจอห์น วอลเทอร์ (John Walter) ที่เขียนเรื่องของตระกูลทรัมป์อีกคนหนึ่ง ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นเฟร็ด ทรัมป์ นี่แหละที่ปฏิเสธรากเหง้าเยอรมันของตัวเอง และไม่ยอมสอนลูกๆ ว่ามาจากเยอรมนี และแม้สงครามโลกครั้งที่สองจะผ่านไปนานแล้ว เฟร็ด ทรัมป์ก็ยังอ้างว่าเขามาจากสวีเดนอยู่ดี และเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ เขียนหนังสือ The Art of the Deal เขาก็ยังคงพูดแบบเดียวกัน

ทรัมป์ผู้ปู่นั้น เมื่อโตขึ้นก็ทำงานเป็นช่างตัดผม เขาทำงานหนักมาก ทำทุกวันไม่มีวันพักเลย และเริ่มรู้ตัวว่าอาชีพนี้ไม่น่าจะทำให้เขาเก็บหอมรอมริบอะไรได้ เขาจึงตัดสินใจอพยพมายังอเมริกาในปี 1885 ขณะอายุได้เพียง 16 ปี เมื่อขึ้นฝั่งที่นิวยอร์กได้ไม่กี่ชั่วโมง เขาก็ได้งานช่างตัดผม เขาทำงานนี้อยู่นาน 6 ปีเพื่อเก็บหอมรอมริบ

อเมริกายุคนั้นยังเป็นดินแดนแห่งโอกาส ทุกหนทุกแห่งคือความเฟื่องฟู หากจับทางถูก ทรัมป์เองนั้นต้องบอกว่าเป็นคนที่ ‘กล้าเสี่ยง’ อย่างมาก หลังทำงานมา 6 ปี เขาเก็บเงินได้หลายร้อยเหรียญ และในเวลานั้น อเมริกาเพิ่งมี ‘รัฐใหม่’ คือรัฐวอชิงตันทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีป ทรัมป์จึงตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่ซีแอตเทิล แล้วใช้เงินที่เก็บได้ซื้อร้านอาหารแห่งหนึ่ง

ชีวิตนับจากนี้ไปของทรัมป์คือชีวิตของนักผจญภัย นักเสี่ยงโชค และน่าสนใจยิ่งนักว่าเทพีแห่งโชคเข้าข้างเขาอยู่เสมอ!

ร้านอาหารของทรัมป์ไม่ธรรมดา เพราะนอกจากจะขายทั้งอาหารและเหล้าแล้ว ยังมีห้องบริการพิเศษสำหรับหนุ่มๆ ที่ต้องการสาวๆ เพื่อความผ่อนคลายทางเพศรสด้วย เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ค้าประเวณีโดยมีร้านอาหารบังหน้านั่นเอง

แต่จุดพลิกผันที่ทำให้ทรัมป์หันมาสนใจธุรกิจอีกแขนงหนึ่ง นั่นคือธุรกิจเกี่ยวกับที่ดินและการทำเหมือง มีที่ดินอยู่ผืนหนึ่งในเมืองมอนเตคริสโต ซึ่งทรัมป์อยากได้มาสร้างโรงแรมมาก แต่เขาสู้ราคาไม่ไหว เพราะขายถึงเอเคอร์ละพันเหรียญ สิ่งที่ทรัมป์ทำไม่ใช่การเก็บเงิน แต่คือการยื่นอ้างสิทธิในที่ดินผืนนั้นมันเสียเลย

ต้องบอกว่าในช่วงนั้นเป็นยุคที่มีการขุดเหมืองเพื่อหาแร่ธาตุต่างๆ (รวมถึงทองคำ) กันมาก จึงมีกฎหมายให้คนสามารถอ้างสิทธิในที่ดินสาธารณะต่างๆ ได้ ถ้าหากบอกได้ว่าเป็นผู้ค้นพบสายแร่ในที่ดินนั้น ทรัมป์ก็ทำอย่างนั้น แต่ประเด็นก็คือ เขาไม่เคยค้นพบแร่ธาตุอะไรเลย และมีการสืบสาวราวเรื่องภายหลังพบว่าสำนักงานที่ดินของสหรัฐอเมริกายุคนั้นเต็มไปด้วยการฉ้อฉลคอร์รัปชั่น ทรัมป์จึงใช้ช่องว่างนี้อ้างสิทธิ ทำให้เขาได้ที่ดินนั้นมาครองโดยไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่แดงเดียว

ที่สำคัญก็คือ พอได้ครอบครองที่ดินแล้ว ทรัมป์ไม่คิดจะขุดเหมืองอะไรทั้งนั้น เขากลับสร้างร้านอาหารอีกร้านหนึ่งขึ้นมา แล้วให้บริการเหมือนร้านอาหารแรกเปี๊ยบ นั่นคือเป็นร้านอาหารที่มีเซ็กซ์อยู่เบื้องหลัง ธุรกิจของเขาดีงามอยู่ช่วงหนึ่ง เพราะผู้คนเดินทางมาขุดค้นแร่ธาตุต่างๆ กันมากมาย แต่แล้วก็เกิดอาการ ‘ฟองสบู่แตก’ เมื่อพบว่าแถวๆ นั้นไม่ค่อยมีแร่ธาตุอะไรนัก ทุกอย่างที่เคยพองฟูจึงดิ่งลงเหวแทบจะเรียกได้ว่าในชั่วข้ามคืน

แต่ทรัมป์นั้นทั้งโชคดีและมองการณ์ไกล เพราะพอเขารู้ข่าวเรื่องการค้นพบทองคำในอลาสก้า (ซึ่งต่อมาเรียกว่าเป็นการ ‘ตื่นทองคลอนไดค์’ หรือ Klondike Gold Rush) เขาก็ตัดสินใจขายทรัพย์สินที่มอนเตคริสโตเกือบหมด แล้วกลับไปตั้งหลักที่ซีแอตเทิลอีกครั้ง แล้วพอเห็นว่าผู้คนเริ่มแห่กันไปตื่นทองที่อลาสก้า ทรัมป์ก็เลยตัดสินใจรวบรวมเงินเดินทางขึ้นเหนือไปในแถบยูคอน (Yukon) ของแคนาดาที่อยู่ใกล้กับอลาสก้า

เป็นที่รู้กันว่าทรัมป์ไม่ได้อยากจะไปทำเหมืองหรอก แต่เขาเห็น ‘โอกาส’ ที่จะตักตวงจากพวกตื่นทองต่างหากเล่า ทรัมป์ไปเปิดร้านอาหารใหม่ แรกทีเดียวเป็นร้านที่เป็นเต็นต์ก่อน อยู่ระหว่างเส้นทางทุรกันดารที่คนต้องเดินทาง แต่เขาก็กล้าเสี่ยง ร้านนั้นไม่ได้เป็นแค่ร้านอาหาร แต่คอนเซ็ปต์ยังคงเหมือนเดิม เพราะนำเสนอเซ็กซ์ให้ลูกค้าด้วยโดยเปิดเต็นต์ให้เช่าสำหรับทำกิจกรรมทางเพศ

ต่อมาในปี 1900 ทรัมป์หันมาเปิดร้านอาหารใหม่ในเมืองไวท์ฮอร์ส ซึ่งอยู่ในแถบยูคอน ร้านนี้กลายเป็นร้านใหญ่ที่สุดของแถบนั้น เสิร์ฟอาหารวันละ 3,000 จาน แถมยังมีทั้งการพนันและเซ็กซ์ให้กับลูกค้าด้วย กิจการรุ่งเรืองเฟื่องฟูอย่างมาก ทำให้ทรัมป์ร่ำรวยเป็นเศรษฐี

แต่ที่น่าสนใจอีกครั้งก็คือ แค่ ‘ได้กลิ่น’ ของหายนะ คือรัฐบาลท้องถิ่นเริ่มจะออกกฎเกณฑ์มาสั่งห้ามการค้าประเวณีและการเล่นพนัน ทรัมป์ก็ขายหุ้นในร้านอาหารให้เพื่อน แล้วก็ทิ้งยูคอนไปเลยโดยไม่เสียดมเสียดายอะไรทั้งนั้น แล้วไม่กี่ปีต่อมา ร้านอาหารที่เคยยิ่งใหญ่ก็ถูกไฟไหม้จนราบ คนที่เขียนหนังสือประวัติของทรัมป์ถึงกับบอกว่า นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่แม้จะมีคนฉิบหายขายตัวจำนวนมาก แต่ทรัมป์กลับกลายเป็นผู้ชนะ

ในปี 1902 ทรัมป์แต่งงาน และย้ายกลับไปนิวยอร์ก ที่นี่เขาทำงานเป็นช่างตัดผมและเป็นผู้จัดการร้านอาหารกับโรงแรมอีกหน ถึงตอนนี้ ทรัมป์มีเงินเก็บมากแล้ว เขาส่งเงินไปฝากไว้ในเยอรมนีเป็นจำนวนถึง 80,000 มาร์ก ซึ่งเทียบค่าเงินในปัจจุบันอยู่ที่มากกว่าห้าแสนเหรียญ

ทรัมป์ฝันอยากกลับเยอรมนีบ้านเกิดเมืองนอนเสมอมา และเขาก็พาภรรยากลับไปที่นั่นจริงๆ แต่ทางการเยอรมนีขับเขาออกนอกประเทศด้วยข้อหาไม่จงรักภักดีต่อประเทศ เพราะการที่ทรัมป์เดินทางมาอเมริกา มันคือการที่เขา ‘หนีทหาร’ เขาจึงสูญเสียสัญชาติบาวาเรียนและเยอรมัน แม้ทรัมป์จะอุทธรณ์หลายครั้ง แต่สุดท้ายเขาก็ต้องเดินทางกลับนิวยอร์กพร้อมภรรยา

เป็นช่วงนั้นเอง ที่คือโอกาสทองของทรัมป์ เพราะเมื่อกลับมานิวยอร์ก เขาค่อยๆ เริ่มทยอยซื้อที่ดินในนิวยอร์ค เขาซื้อตึกแล้วปล่อยให้คนเช่า โดยอาศัยความชำนาญในการทำงานเป็นผู้จัดการโรงแรม เขาจึงรู้ว่าที่ดินหรืออาคารตรงไหนมีอนาคต และอนาคตที่ว่า ก็คืออนาคตของมหานครที่จะกลายเป็นเหมือนเมืองหลวงของโลก

นั่นเองที่เป็นมรดกตกทอดมาสู่ลูกชายและหลานชายของเขาในอนาคต

หลานชายที่ชื่อ โดนัลด์ ทรัมป์

4

ชีวิตของเฟรเดอริก ทรัมป์ แลดูโลดโผน แต่ความตายของเขากลับเรียบง่ายยิ่งนัก

ในวันที่ 29 เมษายน 1918 ทรัมป์ออกมาเดินเล่นกับเฟร็ด ลูกชายของเขา แต่จู่ๆ ทรัมป์ก็รู้สึกป่วยมากขึ้นมากะทันหันทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่มีอาการอะไรเลย เขาจึงรีบกลับไปนอนที่บ้าน

เขาไม่ได้ลุกขึ้นมาจากเตียงอีกเลย เพราะในวันรุ่งขึ้น – เขาก็ตาย

เป็นไปได้ว่าทรัมป์จะไม่มีวันรู้เลยว่าเขาป่วยเพราะอะไร เมษายน 1918 คือการระบาดระลอกแรกของไข้หวัดสเปน จึงเป็นไปได้ที่ทรัมป์อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองป่วยเป็นโรคนี้ แต่ผลการวินิจฉัยของแพทย์พบว่าเขามีอาการปอดอักเสบ และเฟรเดอริก ทรัมป์ ก็เหยื่อรายแรกๆ ของไข้หวัดสเปน โรคที่คร่าชีวิตคนหลายล้านคนทั่วโลกในอีกหนึ่งถึงสองปีต่อมา

ทรัมป์ทิ้งความเป็นเจ้าของบ้านสองชั้นขนาดเจ็ดห้องนอนในควีนส์เอาไว้ ทิ้งที่ดินเปล่าห้าแห่ง และทรัพย์สินต่างๆ รวมแล้วมีมูลค่าคิดเป็นเงินในปัจจุบันคือ 588,207.86 เหรียญ หรือกว่า 19 ล้านบาทไทย ถือว่าเขาเป็นคนมั่งคั่งคนหนึ่งเลยทีเดียว

5

ในที่สุด โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ยอมรับรากเหง้าเยอรมันของเขา ในปี 1999 ในงานฉลองความสัมพันธ์ระหว่างเยอรมนีกับอเมริกา และในคลิปวิดีโอปี 2011 โดนัลด์ ทรัมป์ เล่าว่า เมื่อเขาเดินพาเหรดร่วมฉลองความสัมพันธ์ผ่านทรัมป์ทาวเวอร์สูง 69 ชั้น เขาได้มองขึ้นไปยังตึกนั้น และคิดในใจว่า “This is a long way from Kallstadt”

ใช่แล้ว คาลชตัดต์ ก็คือบ้านเกิดของเฟรเดอริก ทรัมป์ นั่นเอง

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save