พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย เรื่อง
เมื่อต้นปี ผมได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการ Eisenhower Fellowship ทำให้มีโอกาสเดินทางไปในเมืองต่างๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา พูดคุยกับผู้คนในสาขาต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจโจทย์ที่ตัวเองสนใจ และพยายามหาบทเรียนเพื่อนำมาปรับใช้กับประเทศไทย (อ่านบันทึกประสบการณ์ตอนแรกได้ ที่นี่)
โจทย์หลักที่ผมอยากรู้เกี่ยวข้องกับโลกของนโยบายสาธารณะ ซึ่งมีคำถามคาใจ ได้แก่ อะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีการวิเคราะห์และถกเถียงเรื่องนโยบายสาธารณะอย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกา, ทำอย่างไรให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายสาธารณะ และทำอย่างไรให้นโยบายสาธารณะได้รับการตรวจสอบ วิเคราะห์ และปรับปรุงให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด
ประเด็นสำคัญของนโยบายสาธารณะ คือ แทบทุกนโยบายจะมี ‘คนได้’ และ ‘คนเสีย’ เสมอ และบ่อยครั้ง ผลกระทบ ข้อดี ข้อเสีย และต้นทุนของแต่ละนโยบายก็เป็นเรื่องค่อนข้างซับซ้อน ไม่ใช่เรื่องง่ายในการวิเคราะห์และประมาณการ ส่วนการจัดลำดับความสำคัญของนโยบายต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัด ก็ไม่ได้ทำได้ง่ายๆ แบบในทฤษฎี
สิ่งที่ผมสนใจคือ ทำอย่างไรจึงจะทำให้ ‘คนได้’ และ ‘คนเสีย’ ได้ออกเสียงและความเห็นของตน แต่ลำพังเพียงแค่การ ‘เลือก’ นโยบายผ่านเสียงข้างมากในกระบวนการลงคะแนนเสียงก็อาจจะไม่ใช่คำตอบทั้งหมด เพราะผู้ลงคะแนนอาจขาดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายอย่างแท้จริง การวิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญอาจมีความสำคัญในฐานะวัตถุดิบที่เติมเข้ามาในกระบวนการตัดสินใจ
ในการเดินทางท่องโลกนโยบายสาธารณะรอบนี้ ผมจึงพยายามเน้นไปพูดคุยกับคนในห้ากลุ่มใหญ่ คือ
(1) ผู้กำหนดนโยบายด้านต่างๆ ทั้งนโยบายการคลัง นโยบายการเงิน และนโยบายการค้า
(2) ผู้วิเคราะห์นโยบาย เช่น สถาบันวิจัยต่างๆ, Congressional Budget Office (CBO) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ประเมินผลกระทบของนโยบายการคลัง รายงานตรงต่อรัฐสภา รวมไปถึงกลุ่มของอาจารย์มหาวิทยาลัย
(3) สื่อมวลชน ซึ่งทำหน้าที่รายงานข่าว และทำให้ประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับนโยบายเป็นที่สนใจของประชาชนทั่วไป
(4) ภาคประชาสังคม ทั้งหน่วยงานที่ดูแลผลประโยชน์ของผู้บริโภค และกลุ่มผลประโยชน์ อย่างหอการค้า (Chamber of Commerce)
(5) นักการเมืองและทีมงาน ในระดับรัฐบาลกลางและระดับรัฐ ซึ่งต้องประมวลผลกระทบจากกระแสแต่ละเรื่องต่อฐานเสียงของตน และนำมาตัดสินใจในการลงคะแนนเสียงเพื่อออกกฎหมายและนโยบายต่างๆ
หน่วยงานต่างๆ ที่ผู้เขียนได้เดิ
ผู้กำหนดนโยบาย
ผมเดินทางไปพบผู้กำหนดนโยบายด้านต่างๆ ในหลายเมือง เช่น เจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังของสหรัฐ เจ้าหน้าที่ตัวแทนการค้าสหรัฐ (USTR) ซึ่งเกี่ยวข้องกับนโยบายการค้า เจ้าหน้าที่ประจำ Board of Governors of the Federal Reserve ซึ่งทำหน้าที่เหมือนสำนักงานใหญ่ของธนาคารกลางของสหรัฐ และ Federal Reserve Bank เมืองซานฟรานซิสโก แอตแลนตา และบอสตัน เพื่อฟังความเห็นของคนที่ทำหน้าที่ออกนโยบายถึงความสำคัญในการวิเคราะห์นโยบายและการรับฟังความเห็นจากประชาชน
สิ่งที่น่าสนใจคือ ผู้กำหนดนโยบายของแต่ละหน่วยงาน มีความคิดเห็นคล้ายกันในเรื่องการมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายของประชาชน กล่าวคือ มีความตระหนักถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชน รู้ว่ากฎหมายและนโยบายที่จะออกมาต้องทำประชาพิจารณ์ และนำความคิดเห็นจากภาคประชาชนเข้าไปสู่กระบวนการออกนโยบาย
หน่วยงานวิเคราะห์นโยบาย
สำหรับกลุ่มสำนักวิจัยหรือ think tank มีหน้าที่วิเคราะห์วิจัยและให้ความเห็นต่อนโยบายต่างๆ สิ่งที่น่าสนใจคือ ในสหรัฐอเมริกา มีสถาบันวิจัยจำนวนมาก ทั้งในรูปของหน่วยงานสังกัดมหาวิทยาลัย หน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานอิสระที่ไม่ได้พึ่งเงินอุดหนุนจากภาครัฐ สถาบันวิจัยเหล่านี้ผลิตงานคุณภาพและได้รับการยอมรับจากภาควิชาการอย่างสูง
หน่วยงานหนึ่งที่น่าสนใจคือ Congressional Budget Office (CBO) ซึ่งมีหน้าที่ประเมินต้นทุนและผลกระทบด้านการคลังจากนโยบายต่างๆ CBO เป็นหน่วยงานของรัฐบาล แต่เป็นอิสระจากรัฐบาล และขึ้นกับรัฐสภา ทำให้สามารถผลิตบทวิเคราะห์ได้อย่างเป็นกลาง และได้รับความเชื่อถือในด้านคุณภาพ แต่บ่อยครั้งก็จะถูกวิจารณ์จากทั้งสองฝ่ายว่าเข้าข้างอีกฝั่งหนึ่ง (แปลว่าต้องทำอะไรสักอย่างถูกแน่ๆ) ในเมืองไทยมีความพยายามจัดตั้งสำนักงานงบประมาณประจำรัฐสภา (PBO) เพื่อให้ทำหน้าที่คล้ายกัน แต่ที่ผ่านมายังไม่ประสบความสำเร็จ
นอกจากนี้ ยังมีสถาบันวิจัยอิสระอีกจำนวนมาก ที่ทำหน้าที่วิเคราะห์และให้ความเห็นต่อนโยบายต่างๆ สถาบันวิจัยเหล่านี้มีความหลากหลายทั้งในแง่อุดมการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม บางครั้งผู้คนจะรู้ว่าสำนักวิจัยแต่ละแห่งจะให้เหตุผลประกอบการวิเคราะห์อย่างไร ก่อนที่จะออกมาแถลงเสียด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น American Enterprise Institute และ Heritage Foundation เป็นสำนักวิจัยที่สนับสนุนแนวคิดตลาดเสรี (มีอุดมการณ์ทางเศรษฐกิจค่อนไปทางขวา) นิยมรัฐขนาดเล็ก และมักสนับสนุนแนวคิดทางการเมืองแบบพรรครีพับลิกัน (แต่ก็ไม่เสมอไป) ในขณะที่ Brookings Institute เป็นสำนักวิจัยที่มักมีแนวความคิดเป็นกลางค่อนไปทางซ้าย สนับสนุนความเสมอภาค และมักมีความเห็นใกล้เคียงกับข้อเสนอหลายอย่างของพรรคเดโมแครต
เรียกได้ว่าคนที่มีแนวคิดและอุดมการณ์ทางการเมืองต่างกัน สามารถหาบทวิเคราะห์ ซึ่งให้เหตุผลสนับสนุนหรือคัดค้านนโยบายตามความเห็นทางการเมืองของตนเองได้ ในสังคมที่เต็มไปด้วยหน่วยงานวิเคราะห์นโยบาย ทำให้สถาบันเหล่านี้ต้องแข่งกันนำเสนอความคิด และรักษาคุณภาพในการวิเคราะห์ของตน
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ สถาบันวิจัยเหล่านี้ไม่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาล แต่มักจัดตั้งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร จากทุนประเดิมจากบุคคลที่เชื่อในการผลักดันแนวนโยบายที่เป็นประโยชน์ (ตามอุดมคติทางการเมืองของเขา) และสนับสนุนการวิเคราะห์และให้ความรู้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับนโยบายสาธารณะ
ทุนในการดำเนินงานส่วนสำคัญมาจากเงินบริจาค จากทั้งบริษัทและบุคคลที่สามารถนำไปหักภาษีได้ โดยมีกฎระบุไว้อย่างเฉพาะเจาะจงว่ากิจกรรมใดทำได้และทำไม่ได้ (เช่น การล็อบบี้ทางการเมือง) และต้องมีการเก็บหลักฐานการใช้เงินอย่างละเอียด
ด้วยความที่สถาบันวิจัยเหล่านี้ไม่ต้องพึ่งพารายได้จากโครงการวิจัยภายใต้งบประมาณของรัฐ (แบบสถาบันวิจัยหลายแห่งในเมืองไทย) ทำให้ไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ สามารถวิจารณ์รัฐบาลได้อย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องห่วงว่าจะโดนตัดเงินโครงการวิจัย ยิ่งสถาบันวิจัยนั้นทำงานออกมาอย่างมีคุณภาพ และมีความสำคัญต่อการถกเถียงเรื่องนโยบายมาก สถาบันนั้นก็มีโอกาสได้รับเงินบริจาคเพิ่มขึ้น แต่ถ้าสถาบันใดมีปัญหาเรื่องคุณภาพงาน หรือประเด็นเรื่องความโปร่งใส หรือมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ก็อาจทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ จนเงินบริจาคอาจลดลงได้
ปัจจัยสำคัญของความสำเร็จจึงอยู่ที่การแข่งขันกัน ทั้งในเรื่องคุณภาพของงานวิเคราะห์วิจัย และเรื่องความโปร่งใส
‘ตลาด’ ของเงินบริจาคและองค์กรการกุศลในสหรัฐอเมริกานั้นใหญ่มาก สามารถสร้างงานที่มีคุณภาพได้จำนวนมาก และมีผลกระทบอย่างกว้างขวางในหลายด้าน ตั้งแต่ศิลปะ ดนตรี กีฬา การศึกษา วิทยาศาสตร์ ศาสนา การสาธารณสุข ไปจนถึงการวิเคราะห์นโยบายสาธารณะเลยทีเดียว สาเหตุอาจเป็นเพราะความเชื่อทางศาสนา และผลประโยชน์ทางภาษี (ที่มีการบังคับใช้อย่างจริงจัง) ทำให้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าอยากจะสร้าง “สินค้าสาธารณะ” ในแบบที่ตัวเองสนใจ แทนที่จะจ่ายเงินให้กับรัฐบาลไปเต็มๆ
ประเด็นนี้ทำให้สะท้อนคิดถึงเมืองไทยว่า คนไทยบริจาคเงินเพื่อสาธารณะกันไม่น้อย แต่ปัญหาเรื่องความโปร่งใสของหน่วยงานผู้รับบริจาค ความยุ่งยากด้านเอกสาร และการบังคับด้านภาษี (ใบอนุโมทนาบัตรหากันได้ง่ายๆ) อาจไม่ได้ทำให้ผู้เสียภาษีมีแรงจูงใจในการใช้ประโยชน์จากสิทธิทางภาษีผ่านการบริจาคเงินเพื่อสร้างสินค้าสาธารณะ
น่าคิดเหมือนกันว่า ทำอย่างไรจึงจะปรับปรุงกระบวนการบริจาคเงินเพื่อสังคมให้เข้มแข็งและกว้างขวางขึ้นได้ โครงการ e-donation ที่เพิ่งเปิดตัวไป อาจช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ได้ไม่มากก็น้อย
สื่อมวลชน
สื่อมวลชนทำหน้าที่สำคัญในการติดตามและเลือกประเด็นที่ประชาชนสนใจ นำบทวิเคราะห์ต่างๆ ที่มีอยู่มาย่อยและนำเสนอต่อประชาชน หรือบางครั้งก็ทำการวิเคราะห์เอง เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบ
สิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งต่อกระบวนการวิเคราะห์และถกเถียงเรื่องนโยบาย คือ ความมีเสรีภาพของสื่อมวลชน โดยเลือกตั้งคำถามในประเด็นที่ประชาชนสนใจ ยกขึ้นมาเป็นกระแส และทำให้ผู้รับผิดชอบแต่ละฝ่ายทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด โดยไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยและข้อกฎหมาย อาทิ การนำผู้กำหนดนโยบายและนักวิเคราะห์นโยบายที่มีมุมมองต่างกัน มาถกเถียงกันแบบมีเหตุผล โดยยึดหลักการและผลประโยชน์สุทธิต่อประชาชนเป็นที่ตั้ง และให้ประชาชนเลือกตัดสินจากเหตุผลที่แต่ละฝ่ายนำเสนอ
ทั้งหมดนี้เป็นการสร้างบรรยากาศของการออกนโยบายให้ยึดอยู่บนหลักการ ให้ความรู้แก่ประชาชน และสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
กลุ่มผลประโยชน์
ภาคประชาสังคมที่ดูแลผลประโยชน์ของกลุ่มผลประโยชน์อย่างองค์กรคุ้มครองผู้บริโภค และกลุ่มธุรกิจอย่างหอการค้า สมาคมนายธนาคาร หรือสมาคมธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ก็มีบทบาทสำคัญในการหาจุดยืนของกลุ่มต่างๆ ต่อประเด็นนโยบาย เพื่อให้แน่ใจได้ว่าผลประโยชน์ของสมาชิกได้รับการคุ้มครอง หรือรู้ว่านโยบายใหม่จะส่งผลกระทบต่อสมาชิกอย่างไร
บ่อยครั้งที่กลุ่มผลประโยชน์เหล่านี้อาจมีการ ‘ล็อบบี้’ เพื่อเจรจา แลกเปลี่ยน หรือกดดันให้ออกนโยบายในแนวทางที่กลุ่มตนได้รับประโยชน์ แม้ฟังดูแล้วจะเป็นประเด็นเรื่องของผลประโยชน์ แต่ถ้าการเจรจาอยู่บนโต๊ะ และทุกกลุ่มได้รับโอกาสเท่าเทียมกัน การเจรจาผลประโยชน์ก็อาจจะทำให้นโยบายได้รับการปรับปรุงจนเกิดประโยชน์สูงสุด
นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน
นักการเมืองเป็นอีกกลุ่มที่มีความสำคัญต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการออกนโยบายสาธารณะ
สิ่งที่สำคัญต่อนักการเมืองทุกระดับ คือ คะแนนความนิยมในเขตเลือกตั้งของเขา แปลว่าไม่ว่าประเด็นใดกำลังถูกถกเถียงกัน สิ่งที่นักการเมืองให้ความสำคัญมากที่สุดคือ การประเมินว่าฐานเสียงของตัวเองในเขตเลือกตั้งคิดอย่างไรกับประเด็นนั้น และคนกลุ่มดังกล่าวได้รับผลประโยชน์หรือเสียประโยชน์อย่างไร อีกทั้งในฐานะนักการเมือง เขาควรเลือกตัดสินใจในการลงคะแนนอย่างไร จึงจะได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นในเขตเลือกตั้ง
ตัวอย่างเช่น นักการเมืองในเขตเลือกตั้งที่มีฐานเสียงเป็นคนตกงาน ผู้ได้รับผลกระทบจากการค้าเสรี อาจจะเลือกลงคะแนนสนับสนุนมาตรการกีดกันทางการค้า ในขณะที่เขตเลือกตั้งในพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรมหรือเกษตรกรรม อาจไม่สนับสนุนมาตรการกีดกันทางการค้า
แน่นอนว่านักการเมืองทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ต้องทำหน้าที่ออกเสียงในการพิจารณาร่างกฎหมายปีละเป็นร้อยฉบับ ไม่มีทางที่นักการเมืองทุกคนจะรู้เรื่องรายละเอียดของกฎหมายแต่ละฉบับได้ บทวิเคราะห์จากสถาบันวิจัยต่างๆ จึงมีบทบาทอย่างมากในการยกระดับความรู้ความเข้าใจของผู้กำหนดนโยบาย และทำให้การตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายต่างๆ มีประสิทธิภาพและรอบด้านมากขึ้น
จากสหรัฐฯ ถึงไทย
ตลอดการเดินทางทั่วสหรัฐอเมริกา 7 สัปดาห์ ผมได้พบเจอคนน่าสนใจจำนวนมาก หนึ่งในคนที่ผมประทับใจที่สุด คือ Marilyn Watkins ซึ่งทำงานอยู่ที่ Economic Opportunity Institute – think tank เล็กๆ ในเมืองซีแอตเติล
Watkins ทำงานเรื่องสิทธิแรงงานในรัฐวอชิงตัน ในตอนแรก ตัวผมเองไม่แน่ใจว่าการนัดหมายพูดคุยกับเธอจะได้ประโยชน์อะไรมากนัก แต่เมื่อเธอเล่าเรื่องกระบวนการขับเคลื่อนนโยบายเกี่ยวกับสวัสดิการการลาในระดับมลรัฐ ผมได้เรียนรู้มากมาย และรู้สึกประทับใจอย่างยิ่งตอนเธอบอกกับผมว่า ตัวเธอทำวิจัย ขับเคลื่อน และผลักดันเรื่องนี้มาตั้งแต่สมัยสาวๆ เมื่อ 19 ปีที่แล้ว
ลองนึกดูว่าเธอต้องมีความทุ่มเทและความตั้งใจขนาดไหนจึ งสามารถทำงานในประเด็นเดียวได้ยาวนานขนาดนี้ สุดท้าย เธอมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้รัฐวอชิงตันเป็นรัฐที่ห้าของสหรัฐอเมริกา ที่มีระบบสวัสดิการการลาที่ชดเชยจากระบบประกันของรัฐ
ที่น่าสนใจคือ ในแทบทุกวงสนทนา พอผมแนะนำตัวว่ามาจากเมืองไทย และชวนคุยถึงประเด็นที่อยากรู้ คำถามที่ได้รับกลับมาคือ ด้วยการเมืองที่ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน เสรีภาพของสื่อมวลชนที่มีอย่างจำกัด การขาดความรับผิดชอบของกระบวนการทางการเมือง และคุณภาพของสถาบันทางกฎหมายและการเมืองต่างๆ ที่น่าเป็นห่วง มีความเป็นไปได้แค่ไหนที่จะทำให้กระบวนการทางนโยบายดีขึ้น
ก็ได้แต่หวังว่าเราจะพยายามหาทางร่วมกันในการปรับปรุงส่วนประกอบที่สำคัญเหล่านี้ และรอว่าเมื่อระบอบประชาธิปไตยหวนกลับมา เราจะสามารถร่วมกันผลักดันให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์และกำหนดนโยบายสาธารณะได้อย่างยั่งยืน