fbpx
พล.ต.ท. หลวงพิชิตธุระการ ผู้ ‘สังหาร’ สี่อดีตรัฐมนตรี

พล.ต.ท. หลวงพิชิตธุระการ ผู้ ‘สังหาร’ สี่อดีตรัฐมนตรี

กษิดิศ อนันทนาธร เรื่อง

ภาพิมล หล่อตระกูล ภาพประกอบ

 

ความตายของ ‘สี่อดีตรัฐมนตรี’ คือ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์  นายจำลอง ดาวเรือง  นายถวิล อุดล  และ ดร.ทองเปลว ชลภูมิ เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2492 บริเวณกิโลเมตรที่ 14-15 ถนนพหลโยธินนั้น นับเป็นคดีสำคัญที่สร้างความด่างพร้อยให้กับวงการตำรวจของไทย ผู้มิได้พิทักษ์สันติราษฎร์ ในยุคที่มีอธิบดีกรมตำรวจอย่าง พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ และเป็นอาชญากรรมโดยรัฐครั้งสำคัญที่สร้างผลกระทบทางการเมืองอย่างมหาศาล

และหัวหน้าชุดสังหาร ที่รับตัว ‘สี่อดีตรัฐมนตรี’ ไปฆ่านั้น คือ พล.ต.ท. หลวงพิชิตธุระการ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง

 

คดีสังหารสี่อดีตรัฐมนตรี
ทองเปลว ชลภูมิ, ทองอินทร์ ภูริพัฒน์, ถวิล อุดล, จำลอง ดาวเรือง (ภาพจาก https://www.trueplookpanya.com/blog/content/51341/-timhis-tim-)

 

ประวัติ

 

พล.ต.ท. หลวงพิชิตธุระการ (หลง อัศวรักษ์) เกิดเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2443 เป็นบุตรของหลวงธุระการกำจัด (เทียม อัศวรักษ์) กับนางจ๋าย ที่ตำบลจักรวรรดิ์ อำเภอสัมพันธวงศ์ จังหวัดพระนคร

ในด้านการศึกษา สำเร็จชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 7 จากโรงเรียนมหาดเล็กหลวง เขาเป็นนักเรียนในพระมหากรุณาของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไปศึกษาวิชาตำรวจ ณ สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร (เขาน่าจะสำนึกในพระมหากรุณานั้นอยู่พอสมควร ดังที่ภายหลังได้ร่วมจัดงานวชิราวุธานุสสรณ์ เพื่อนำเงินรายได้ไปบูรณะพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 ที่สวนลุมพินี)

ภายหลังจากสำเร็จการศึกษา ได้สมรสกับนางสาวพูลลาภ จุลกะ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2470 มีบุตร-ธิดารวม 4 คน คือ สุดาดวง เทียมแสง พิชิต และเทียมศักดิ์

หลังจากล้มป่วยด้วยโรคเบาหวาน พล.ต.ท. หลวงพิชิตธุระการ ถึงแก่กรรมที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2499 รวมอายุได้ 55 ปี 11 เดือน 20 วัน

 

พล.ต.ท. หลวงพิชิตธุระการ
พล.ต.ท. หลวงพิชิตธุระการ (หลง อัศวรักษ์) 22 เมษายน 2443 – 12 เมษายน 2499 (ภาพจาก บทละครพูดสลับลำ เรื่อง วิวาหพระสมุท, พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพฯ)

 

อาชีพตำรวจ

 

นับตั้งแต่ปี 2469 ซึ่งเริ่มเข้ารับราชการ พล.ต.ท. หลวงพิชิตธุระการ ก็เจริญก้าวหน้าตามลำดับ ในชั้นแรกเป็นสารวัตรตำรวจนครบาลบางรัก และเป็นครูสอนวิชาตำรวจที่โรงเรียนพลตำรวจ ต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงพิชิตธุระการ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2474

หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว ได้เป็นผู้กำกับการกองที่ 4 (ทะเบียนตำรวจ) ตำรวจสันติบาล ในปี 2476  ต่อมาในปี 2478 ได้เป็นผู้กำกับการโรงเรียนตำรวจ ผู้กำกับการตำรวจนครบาลสายใต้ที่ 1 และที่ 2 (ในปี 2480)

ในปี 2481 ได้เป็นผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา และรองผู้บังคับการตำรวจภูธรเขตต์ 9 (นครศรีธรรมราช-สงขลา)  แล้วจึงย้ายไปเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรเขตต์ 1 (ลำปาง) ในปี 2484

เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น ได้รับตำแหน่งรองผู้บังคับการตำรวจสนามสหรัฐไทยใหญ่ และเป็นผู้บังคับการในปี 2485

จากนั้น ย้ายมาเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรเขตต์ 5 (พ.ศ. 2486) และเขตต์ 6 (พ.ศ. 2487) แล้วจึงเป็นรองจเรตำรวจในปี 2488 และผู้บังคับการตำรวจภูธรเขตต์ 9 และเขตต์ 7 ในปีถัดมา  ต่อมาจึงได้เป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรเขตต์ 4 ในปี 2490

หลังรัฐประหาร 2490 ได้รับตำแหน่งผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจฝ่ายปราบปราม ครั้นถึงปี 2492 ได้เป็นพลตำรวจตรี ครองตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจภูธร ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2492 และผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในวันที่ 2 มีนาคม 2492

22 ธันวาคม 2492 ได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางอย่างรวดเร็ว โดยไม่ปรากฏในประวัติว่าได้ใช้ตั๋วอะไรหรือไม่  เขาดำรงตำแหน่งนี้เรื่อยมา จนวันที่ 22 ธันวาคม 2494 ได้เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทยอีกตำแหน่งหนึ่ง

1 มกราคม 2495 ยังคงเป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย แต่ย้ายมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธร  และเหลือตำแหน่งรองปลัดฯ ตำแหน่งเดียว เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2496

จนถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2498 กระทรวงมหาดไทยให้พ้นจากตำแหน่งหน้าที่ราชการกรมตำรวจ

 

ความชอบในราชการ

 

ในหนังสืองานศพของ พล.ต.ท. หลวงพิชิตธุระการ ปรากฏ “ความชอบในราชการ” ที่ผู้ตายพอใจ 3 กรณี ได้แก่ การปราบกบฏบวรเดช พ.ศ. 2476 (ได้รับเหรียญพิทักษ์รัฐธรรมนูญ)  การจับกุมนายเอี่ยวเต็ก กับพวกรวม 10 คน ผู้ต้องหาว่าสมคบกันลักลอบฆ่าสุกรโดยมิได้รับอนุญาต พ.ศ. 2479  และการจับกุมนายพุ่ม สายลับทอง ผู้ยิงหลวงพิบูลสงคราม เมื่อ พ.ศ. 2477

แน่แปลกที่ แม้จะรับราชการในตำแหน่งใหญ่โตในกรมตำรวจต่อมาอีกนับสิบปี แต่ประวัติในหนังสืองานศพของเขา กลับไม่ปรากฏ “ความชอบในราชการ” อื่นใดอีก

 

สยามนิกร
หนังสือพิมพ์ สยามนิกร ฉบับวันเสาร์ที่ 5 มีนาคม 2492 (ภาพจาก 2500 สฤษดิ์-เผ่า: เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด)

 

ความไม่ชอบในราชการ

 

หลังความล้มเหลวของขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์ 2492 ทำให้นักการเมืองสายนายปรีดี พนมยงค์ และลูกศิษย์ลูกหาของเขาถูกกวาดล้างเป็นจำนวนมาก บ้างถูกจับกุม บ้างถูกสังหารผลาญชีวิต

‘สี่อดีตรัฐมนตรี’ ได้แก่ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์  นายจำลอง ดาวเรือง  นายถวิล อุดล และ ดร.ทองเปลว ชลภูมิ  ก็เป็นพวกหนึ่งที่ถูกทยอยจับกุมไว้ เพราะเห็นว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลในเวลานั้น

ครั้นถึงคืนวันที่ 3 ต่อเนื่องวันที่ 4 มีนาคม 2492 พล.ต.ต. หลวงพิชิตธุระการ นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ รองผู้บัญชาการสอบสวนกลาง ผู้เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนพิเศษเกี่ยวกับคดีกบฏ ได้ให้เบิกตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 คน จากที่คุมขังทั้ง 4 แห่ง พาออกจากกลางพระนครอ้างว่าจะพาไปโรงพักบางเขนที่ถนนพหลโยธินใกล้กับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

 

คดีสังหาร 4 รัฐมนตรี
(ภาพจาก เบื้องหลังคดีเลือดยุคอัศวินผยอง: คดีสังหาร 4 รัฐมนตรี)

 

จากนั้น เมื่อไปถึงบริเวณถนนพหลโยธิน กม. 14-15 ปรากฏข้อเท็จจริงว่า “หลวงพิชิตธุระการได้บอกให้ผู้ตายทั้ง 4 คนลงจากรถ โดยพูดว่า รถคันหน้าถูกยิง แต่ไม่มีใครยอมลง และได้มีคนหนึ่งในพวกผู้ตายได้พูดขอชีวิต แต่หลวงพิชิตธุระการกลับพูดขยั้นขยอจะให้ลงจากรถให้ได้  ทั้งได้พูดรับรองว่า ลงจากรถจะเป็นการปลอดภัย ถ้าหากอยู่ในรถจะไม่ปลอดภัย แต่ผู้ตายก็คงไม่มีใครยอมลงจากรถ

ขณะนั้นจำเลยที่ 1 (พลตำรวจจัตวา ผาด ตุงคะสมิต) ได้พูดถึงว่า ‘อ้ายพวกนี้ กบฏแบ่งแยกดินแดน เอาไว้ทำไม’ แล้วจำเลยที่ 2 (พลตำรวจจัตวา ทม จิตรวิมล) ก็พูดว่า ‘อ้ายพวกนี้เป็นกบฏ เอาไว้ทำไม’ ต่อจากนั้น จำเลยที่ 1 ก็ได้เรียกร้องชื่อจำเลยที่ 5 (สิบตำรวจเอก แนบ นิ่มรัตน์)  จำเลยที่ 5 ได้วิ่งเข้ามาทางข้างหลังหลวงพิชิตธุระการ  หลวงพิชิตธุระการเดินหลบออกไป ทั้งได้ตะโกนบอกให้นายร้อยตำรวจเอก พุฒ (บูรณสมภพ) หลบออกไปด้วย  แล้วจำเลยที่ 5 ได้ประทับปืนยิงผู้ตาย 1 ชุด  และข้างจำเลยที่ 5 นั้น ยังมีจำเลยที่ 3 (ร้อยตำรวจโท จำรัส ยิ้มละมัย) และที่ 4 (ร้อยตำรวจโท ธนู พุกใจดี) ยืนอยู่ในท่าเตรียมยิงเหมือนกัน ต่อจากนั้น ยังมีการยิงผู้ตายอีก 2-3 ชุด

ดูเพิ่มเติมได้ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1009/2504 ซึ่งเป็นการดำเนินคดีภายหลังหมดยุคของอธิบดีกรมตำรวจอย่าง พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์  สำหรับหลวงพิชิตธุระการ ไม่ตกเป็นจำเลย เพราะเสียชีวิตไปก่อน ส่วนพุฒ บูรณสมภพ หลบหนีไปต่างประเทศ

 

สังหารโหด 4 อดีตรัฐมนตรี
‘พาหนะสื่อมฤตยู’ จิ๊ปสเตชั่นเวกอนของตำรวจสันติบาล หมายเลข ก.ท. 10371 ที่นำ ‘สี่อดีตรัฐมนตรี’ ไปพบจุดจบที่ทุ่งบางเขน (ภาพนี้และอีก 3 ภาพที่เหลือ จาก เบื้องหลังสังหารโหด 4 อดีตรัฐมนตรี)

 

เกียรติตำรวจของไทย  

     

ศาลฎีกาสรุปข้อเท็จจริงของเหตุการณ์นี้ไว้ว่า “ผู้ตายทั้ง 4 คน เป็นนักการเมืองทางฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลในขณะนั้น ทั้งเป็นบุคคลสำคัญในพรรคฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล และเคยเป็นรัฐมนตรีมาแล้ว  ได้มีการกบฏขึ้นในระหว่างที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีในระยะติดๆ กัน ถึง 2 ครั้ง ย่อมเป็นที่เข้าใจว่าเพราะพรรคพวกฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ก่อขึ้น และมีรายงานว่าผู้ตายได้ร่วมในการกบฏ จึงมีเหตุเพ่งเล็งถึงผู้ตายว่าได้มีส่วนร่วมอยู่ด้วย แล้วผู้ตายก็ถูกจับกุมในระยะเวลาใกล้ชิดนั้น และถูกแยกย้ายควบคุมไว้ในสถานที่ต่างๆ กัน ซึ่งมีเจ้าพนักงานตำรวจควบคุมอยู่อย่างแข็งแรง ไม่มีเหตุที่จะต้องย้ายไปทำการควบคุมที่อื่นรวมกันไว้ทั้ง 4 คน

และข้ออ้างของฝ่ายตำรวจที่ว่ามีโจรมลายูมาชิงตัวนั้น ศาลก็ไม่เห็นด้วย ดังเหตุผลที่ว่า “ถ้ามีผู้ร้ายมาดักแย่งชิง ย่อมจะมีการต่อสู้ขัดขวางบ้าง ตรงที่เกิดเหตุสองข้างถนนมีต้นไม้ปลูกไว้ห่างๆ พ้นออกไปเป็นที่โล่งไม่มีที่กำบังหรือสิ่งพรางสายตาที่คนร้ายจะเข้ามาซุ่มยิงได้ ปรากฏว่าผู้ที่ถูกกระสุนปืน คงมีแต่ผู้ตายรวม 4 คนเท่านั้น ผู้อื่นที่ไปด้วยไม่มีใครได้รับบาดเจ็บด้วยกระสุนปืนเลยแม้แต่คนเดียว ทั้งๆ ที่มีรอยกระสุนปืนยิงทะลุเข้ามาทางประตูด้านขวา … และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควบคุมไปในขบวนนั้นก็ไม่มีผู้ใดได้เห็นคนร้ายเลย

สำหรับเหตุผลในการฆาตกรรมครั้งนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า “การกระทำของจำเลยผู้กระทำความผิดเหล่านี้ พอเห็นได้ว่าเป็นเครื่องมือของผู้อื่นที่ใช้ให้กระทำ

น่าเสียดายที่ในเวลาที่มีการพิจารณาคดีนี้ หลวงพิชิตธุระการถึงแก่กรรมไปเสียก่อน จึงไม่อาจทราบเหตุผลจากปากของนายตำรวจหัวหน้าชุดซึ่งลงมือฆ่าได้ แต่จะมีเหตุผลใดเล่าที่ฟังขึ้น หรืออนุญาตให้ตำรวจลงมือเข่นฆ่าประชาชน เพียงเพราะเขาเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลเท่านั้นเอง

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ เคยวิเคราะห์ไว้ว่าการกระทำครั้งนี้ “น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่คณะรัฐประหารมุ่งจะดำเนินการเพื่อปราบปรามกลุ่มการเมืองกลุ่มเสรีไทยให้ขยาด ไม่ก่อการสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลอีกต่อไป ทั้งที่ความจริงแล้ว อดีตรัฐมนตรี 4 คน ไม่ได้เข้าร่วมก่อการกบฏครั้งนี้เลย

 

บทเรียนจากประวัติศาสตร์

 

ไสว สุทธิพิทักษ์ ตั้งข้อสังเกตว่า กรณีฆาตกรรม ‘สี่อดีตรัฐมนตรี’ ในคราวนี้ นับว่า “เป็นการนำความมัวหมองมาสู่วงการตำรวจของไทยในขณะนั้นเป็นอย่างยิ่ง  จริงอยู่ การตายของบุคคลทั้ง 4 เกิดขึ้น เพราะความหลงผิด และมัวเมาในอำนาจของตำรวจการเมืองเพียง 3-4 คน แต่ผลสะท้อนทำให้ตำรวจอาชีพที่สำนึกในหน้าที่ทั้งหลายต้องพลอยได้รับความมัวหมองไปด้วย

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พล.ต.ท. หลวงพิชิตธุระการ ผู้ควบคุมการสังหาร ‘สี่อดีตรัฐมนตรี’ จะต้องเป็นผู้มีมลทินมัวหมองไปชั่วกาลปวสาน

ต่างความคิด ผิดถึงตาย เริ่มต้นตั้งแต่ “ยุคทมิฬ” ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยตั้งแต่ทศวรรษ 2490 มาแล้ว ขออย่าให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกเลย

 

ภรรยาของ ‘สี่อดีตรัฐมนตรี’
ภรรยาของ ‘สี่อดีตรัฐมนตรี’ ในวันบำเพ็ญกุศลที่วัดมกุฏกษัตริยาราม (บังอร ภูริพัฒน์, นิ่มนวล ชลภูมิ, ทองดำ ดาวเรือง, บุญทัน อุดล)

 

คดีสังหาร 4 รัฐมนตรี
ภาพถ่ายในวันบำเพ็ญกุศลศพของ ‘สี่อดีตรัฐมนตรี’ ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม ซึ่งไสว สุทธิพิทักษ์ เล่าว่า “คนไปในงานสวดศพก็น้อยเหลือเกิน … ไม่มีใครกล้าไปในงานศพ เกรงจะมีอันตรายมาถึงตัว และก็มีอันตรายจริงๆ เสียด้วย เพราะตลอดเวลา 7 วันที่ตั้งศพบำเพ็ญกุศล ก่อนบรรจุนั้น ทุกคืนจะมีสมุนของผู้ทรงอำนาจในขณะนั้นไปคอยดูว่ามีใครไปฟังพระสวดบ้าง”

 

สังหารสี่อดีตรัฐมนตรี
ที่บรรจุศพของ ‘สี่อดีตรัฐมนตรี’ ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม ก่อนฌาปนกิจ

 

บรรณานุกรม

  • พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, บทละครพูดสลับลำ เรื่อง วิวาหพระสมุท, พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายพลตำรวจโท หลวงพิชิตธุระการ (หลง อัศวรักษ์) ณ เมรุวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน วันที่ 26 กรกฎาคม 2499.
  • พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, สุภาษิตพระร่วง คำโคลง และการแสดงตำนานเสือป่า, คณะกรรมการอำนวยการจัดงาน วชิราวุธานุสสรณ์ จัดพิมพ์เป็นธรรมบรรณาการ ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายพลตำรวจโท หลวงพิชิตธุระการ (หลง อัศวรักษ์) ณ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน วันที่ 26 กรกฎาคม 2499.
  • บัญชร ชวาลศิลป์. 2500 สฤษดิ์-เผ่า: เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด, กรุงเทพฯ: แสงดาว, 2563.
  • สมบูรณ์ วรพงษ์. เบื้องหลังคดีเลือดยุคอัศวินผยอง: คดีสังหาร 4 รัฐมนตรี, พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ: สายธาร, 2550.
  • หัด ดาวเรือง. เบื้องหลังสังหารโหด 4 อดีตรัฐมนตรี (ชีวิตและงานของอดีตสี่รัฐมนตรี), พระนคร: อักษรสาส์น, 2508.

 

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save