วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร เรื่อง
“เสรีนิยม” เป็นหนึ่งในคำศัพท์ชวนสับสนที่สุดในโลก เพราะมีทั้งลัทธิเสรีนิยมแบบ “เก่า” และแบบ “ใหม่” ถ้ามองจากมุมเศรษฐศาสตร์การเมือง มีอีกหลายคำถามที่เราต้องตอบก่อนจะสรุปได้ว่า รัฐไทยเป็นเสรีนิยมแค่ไหนและแบบใด
ลัทธิเสรีนิยม (liberalism) เกิดขึ้นในยุคสมัยแห่งการรู้แจ้ง (Enlightenment) ของโลกตะวันตกช่วงปลายศตวรรษที่ 17 งานเขียนของนักคิดแห่งยุคสมัยอย่าง จอห์น ล็อก มองว่าอิสรภาพของปัจเจกบุคคลเป็นภาวะธรรมชาติของมนุษย์ที่ผู้ปกครองไม่อาจพรากไปได้ รัฐบาลในอุดมคติจึงควรมีบทบาทจำกัดอยู่ที่การปกป้องอิสรภาพและทรัพย์สินของเอกชน
อย่างไรก็ดี ผู้สมาทานแนวคิดเสรีนิยมแบบดั้งเดิมมักยืนกรานในหลักสิทธิของปัจเจก โดยไม่ได้สนับสนุนระบอบประชาธิปไตย เพราะพวกเขายังคงให้ความสำคัญกับสถานภาพที่แตกต่างกันของคนในสังคม จึงไม่ได้เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนควรได้รับสิทธิเท่าเทียมกัน เสรีนิยมดั้งเดิมจำนวนมากเชื่อว่าเพศหญิงไม่มีความคิดสมบูรณ์เท่าเพศชาย และคนยากจนไม่มีวิจารณญาณในการเลือกผู้นำ ดังนั้น หลักการเสรีนิยมที่พวกเขาสนับสนุนจึงควรนำมาใช้เฉพาะกับคนบางกลุ่มในสังคมเท่านั้น
วิวัฒนาการประชาธิปไตยในโลกตะวันตกจึงมีอยู่สองขยักใหญ่ ขยักแรกเป็นช่วงที่สิทธิการเลือกตั้งจำกัดอยู่ในมือของคนกลุ่มน้อยเท่านั้น โดยมักเป็นเพศชายที่มีสินทรัพย์หรือระดับการศึกษาตามกำหนด
ในฝรั่งเศสระหว่างปี 1815 ถึง 1830 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งคือ เพศชายอายุเกิน 30 ปีที่จ่ายภาษีทางตรงไม่น้อยกว่า 300 ฟรังก์ ทำให้จำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงในตอนนั้นจำกัดในวงแคบๆ ไม่เกิน 100,000 คน จากประชากรทั้งหมด 32 ล้านคน (หรือเพียงแค่ 3 เปอร์เซ็นต์ของประชากรเท่านั้น) กว่าที่สตรีจะได้รับสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งและลงรับสมัครเป็นผู้แทนได้ก็ต้องรอจนถึงศตวรรษต่อมาในปี 1902 โดยออสเตรเลียเป็นประเทศแรกในโลกที่ให้สิทธิดังกล่าว แต่ถึงกระนั้น ก็ยังจำกัดสิทธิอยู่ที่คนขาวเท่านั้น กว่าจะถึงขยักที่สองซึ่งพลเมืองทุกเพศทุกชาติพันธุ์จะมีสิทธิเท่าเทียมกัน (universal suffrage) ในออสเตรเลียต้องรอจนถึงปี 1962
ตัวอย่างข้างต้นสะท้อนถึงวิธีคิดของลัทธิเสรีนิยมแบบเก่า ซึ่งแม้จะเชื่อในสิทธิของปัจเจกชน แต่ก็ยังให้ความสำคัญกับขนบธรรมเนียมดั้งเดิมและระดับชนชั้นทางสังคมไปพร้อมๆ กัน
เสรีนิยมใหม่ (neo-liberalism) เป็นคำเรียกขานแนวคิดการพัฒนาที่ผงาดขึ้นในทศวรรษ 1980 อันเป็นช่วงเวลาที่ มาร์กาเร็ต แธตเชอร์ ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร และโรนัลด์ เรแกน เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา
สิ่งที่เราคุ้นเคยกันดีเวลาพูดถึงเสรีนิยมใหม่ก็คือ แนวคิดทางเศรษฐกิจที่เน้นบทบาทของตลาดเสรีและการจำกัดบทบาทของรัฐให้น้อยที่สุดเพื่อให้กลไกราคาเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รูปธรรมทางนโยบายก็คือ การผ่อนปรนกฎระเบียบ ลดงบประมาณรัฐ เปิดเสรีการค้าการลงทุน และแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นของเอกชน
งานศึกษาเรื่องผลดีผลเสียของ เสรีนิยมใหม่ทางเศรษฐกิจ มีอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวและแทบทุกคนล้วนเคยได้รับผลกระทบจากนโยบายเหล่านี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยเฉพาะการเข้ามาขององค์กรโลกบาลในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง หรือการที่ธุรกิจท้องถิ่นหลายประเภทต้องล่มสลายไป เพราะแข่งขันกับสินค้านำเข้าราคาถูกไม่ได้ ขบวนการทางสังคมในระดับโลกก็มักหยิบคำนี้มารณรงค์ต่อต้านแนวทางตลาดเสรีสุดขั้วในบรรดาประเทศกำลังพัฒนา
เรียกได้ว่า เราพอจะรู้ทันกันอยู่ ว่าเสรีนิยมใหม่ทางเศรษฐกิจคืออะไร และจะนำประเทศไปในทิศทางไหน แต่จะถกเถียง/ต้านทาน/ต่อรองได้แค่ไหนนั่นย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่ลัทธิเสรีนิยมใหม่ไม่ได้มีเพียงมิติทางเศรษฐกิจเท่านั้น
เสรีนิยมใหม่ยังมีมิติทางการเมืองซ่อนอยู่ด้วย แม้จะไม่ได้ต่อต้านประชาธิปไตยแบบเปิดเผย แต่ก็มักจะยอมแลกหรือลดหลักการประชาธิปไตยหากจำเป็น ด้วยอิทธิพลจากทฤษฎีทางเลือกสาธารณะ (Public Choice) ที่มองการเมืองเป็นเรื่องของการแสวงหาผลประโยชน์ระดับบุคคล เพื่อปกป้องผลประโยชน์สาธารณะให้ไกลจากนักเลือกตั้ง เสรีนิยมใหม่ทางการเมือง จึงเสนอให้ปรับกระบวนการออกแบบนโยบายให้ “ปราศจากการเมือง” (de-politicisation) มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
รูปธรรมของแนวคิดนี้ก็คือการลดอำนาจตัดสินใจของรัฐสภา และถ่ายโอนกระบวนการจัดการนโยบายสาธารณะให้มาอยู่ในมือของ “ผู้เชี่ยวชาญ” แทน ผ่านองค์กร หน่วยงาน และคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ในประเทศตะวันตกที่กลไกประชาธิปไตยเข้มแข็ง กระบวนการกำจัดการเมืองนี้นับเป็น “นวัตกรรมทางสถาบัน” ที่ออกแบบมาเพื่อคานอำนาจระหว่างผู้เชี่ยวชาญที่ยึดหลักวิชากับนักการเมืองที่เป็นตัวแทนของประชาชน จึงได้รับการโปรโมตอย่างแพร่หลายจนกลายมาเป็นแนวทางปฏิรูประบบราชการและกลไกรัฐในหมู่ประเทศกำลังพัฒนา
ดังนั้น ในเวทีโลก ต่อให้เสรีนิยมใหม่ทางเศรษฐกิจอาจอ่อนกำลังลงเพราะเผชิญกับแรงต้านทานทางสังคมมาตลอดสองสามทศวรรษ เสรีนิยมใหม่ทางการเมืองกลับกำลังสยายปีกในประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมาก เพราะมีรูปแบบที่แนบเนียนกว่า ทั้งยังไม่ถูกถกเถียงและศึกษาเท่ากับมิติทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี เริ่มมีงานระยะหลังที่ชี้ให้เห็นว่า หากนำแนวทางปลอดการเมืองมาใช้ในประเทศที่เป็นระบอบเผด็จการหรือกึ่งประชาธิปไตย อาจเป็นอีกครั้งที่แนวคิดซึ่งฟังดูดีมีหลักการถูกหยิบยืมมาใช้เติมพลังให้กับอำนาจนอกรัฐสภาและลดทอนอำนาจประชาชน
นอกจากนี้ การออกแบบนโยบายตามแนวทางนี้ยังตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า เราสามารถขีด “เส้นแบ่ง” ที่ชัดเจนระหว่าง “เศรษฐกิจ” กับ “การเมือง” ได้ ทั้งที่ในความเป็นจริง การออกแบบนโยบายเศรษฐกิจแทบทุกอย่างหนีไม่พ้นการให้คุณค่าทางจริยธรรมและการเมืองชุดหนึ่งๆ เป็นพิเศษ โดยไม่ได้มีทฤษฎีที่เป็นวิทยาศาสตร์มารองรับ มิพักต้องพูดถึงความหลากหลายของตัวทฤษฎีเศรษฐศาสตร์เอง
นี่คือวิวัฒนาการอันซับซ้อนของแนวคิด “เสรีนิยม” ในระบบเศรษฐกิจการเมืองโลก
แล้วรัฐไทยมีความเป็นเสรีนิยมแค่ไหน เก่าหรือใหม่มากกว่ากัน?
ถ้าวัดจากความพยายามในการปฏิรูประยะหลังแล้ว ดูเหมือนว่ารัฐไทยอาจถูกผลักไปทาง “เสรีนิยมแบบเก่า” มากกว่าแบบใหม่ด้วยซ้ำ เพราะในขณะที่การปฏิรูปหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญนำหลักสิทธิปัจเจกชนมาอ้างอิง ก็มีดอกจันกำกับไว้คู่กับขนบธรรมเนียมโบราณและสถานะทางสังคมเสมอ – สิทธิของปัจเจกไม่ได้มีที่ยืนโดยตัวของมันเองแต่อย่างใด อันเป็นลักษณะของเสรีนิยมโบราณที่ไม่ค่อยจะเสรีสักเท่าไรนัก
อย่างไรก็ดี ถ้าจะตอบคำถามนี้ให้เป็นระบบจริงๆ ในทางเศรษฐศาสตร์การเมืองก็ยังมีอีกสองเรื่องที่ต้องนำเข้ามาขบคิด
อย่างแรกคือความเข้มแข็งของรัฐไทย ต่อให้รัฐไทยสมาทานแนวคิดใดแนวคิดหนึ่งอย่างจริงจัง การบังคับใช้ก็อาจลักลั่นไปตามพื้นที่และหน่วยงานต่างๆ อยู่ดี เพราะรัฐไทยไม่ใช่รัฐเข้มแข็งที่มีความสามารถเท่ากับรัฐตะวันตกหรือแม้แต่รัฐในเอเชียอีกหลายรัฐ “แรงจูงใจ” ที่รัฐอยากทำ จึงเป็นคนละสิ่งกับ “ความสามารถ” ของรัฐที่จะทำให้เป็นจริงเสมอ
ความเข้มข้นของการเป็นเสรีนิยมในรัฐไทยก็คงกระจัดกระจายลดหลั่นตามความสามารถนี้
อีกเรื่องที่สำคัญก็คือ ระบอบการปกครองในรัฐไทยก็เปลี่ยนแปลงไปมาบ่อย ระบอบทหารกับระบอบเลือกตั้งย่อมมีวาระและผลประโยชน์ที่ไม่เหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้ระบอบทั้งสองเองก็ยังมีความแตกต่างภายใน เช่น ระบอบทหารก็มีทั้งที่ทหารนำ (เช่นรัฐบาลประยุทธ์) และที่แบ่งอำนาจกับเทคโนแครต (เช่นรัฐบาลเปรม) หรือระบอบเลือกตั้งที่มีทั้งแบบพรรคเดียวนำ (เช่นรัฐบาลไทยรักไทย) และรัฐบาลผสม (เช่นรัฐบาลชวนและอภิสิทธิ์)
ความต่างของระบอบและกลุ่มผลประโยชน์ที่ค้ำอำนาจนั้นไว้ น่าจะมีผลไม่น้อยว่ารัฐบาลยุคนั้นจะเลือกรับเอาส่วนไหนของเสรีนิยมมาใช้ และตัดทิ้งส่วนไหนที่ไม่สอดคล้องกับประโยชน์ตัวเองไป
ความอ่อนแอของกลไกรัฐกับรูปแบบรัฐบาลที่หลากหลายจึงกลายเป็น “ตัวคัดกรอง” เสรีนิยมใหม่ให้รัฐไทยไปโดยปริยาย แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ที่เรารู้แน่ๆ ก็คือ เสรีนิยมนั้นไม่ได้เสรีอย่างชื่อของมัน ไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่ก็ตาม และเป็นอุดมการณ์ที่ให้ประโยชน์กับคนกลุ่มหนึ่งมากกว่าคนกลุ่มอื่นเสมอ
อ้างอิง/ อ่านเพิ่มเติม
วิวัฒนาการเสรีนิยมใหม่ระดับโลก เช่น David Harvey “ประวัติศาสตร์ฉบับย่อของลัทธิเสรีนิยมใหม่” (2555) แปลโดย ภัควดี วีระภาสพงษ์ เก่งกิจ กิติเรียงลาภ สุรัตน์ โหราชัยกุล และ Manfred Steger and Ravi Roy “เสรีนิยมใหม่: ความรู้ฉบับพกพา” แปลโดย วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง (2559).
พัฒนาการประชาธิปไตยและการเปลี่ยนแปลงทางสถาบันในโลกตะวันตก เช่น Charles Tilly “Democracy” (2007) และ Ha-Joon Chang “Kicking Away the Ladder: Development Strategy in Historical Perspective” (2003).
งานศึกษาผลกระทบของลัทธิเสรีนิยมใหม่ เช่น Gerald Epstein, ed. “Financialization and the World Economy” (2005) และ Graham Harrison “Neoliberal Africa: The Impact of Global Social Engineering” (2010).
เสรีนิยมใหม่ทางการเมือง เช่น John Harriss “Depoliticizing Development: The World Bank and Social Capital” (2002) และ Frank Vibert “The Rise of the Unelected: Democracy and the New Separation of Powers” (2007).
ประเมินความเข้มแข็งของรัฐไทยเชิงเปรียบเทียบ เช่น Peter Evans and James Rauch “Bureaucracy and Growth: A Cross-National Analysis of the Effects of Weberian State Structures on Economic Growth” (1999).
เศรษฐกิจการเมืองของนโยบายรัฐไทย ผมเสนอไว้ใน “Coalition Politics and Reform Dynamics in Thailand” (2014) และ “Reign-seeking and the Rise of the Unelected in Thailand” (2016).