เมื่อวันที่ 4 เมษายน ที่ผ่านมา เป็นวาระครบรอบ 80 ปีแห่งการฉายรอบปฐมทัศน์ของภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก” บทประพันธ์ของนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งจัดสร้างโดย PRIDI PRODUCTION ในบรรยากาศของสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มต้นขึ้นแล้วบนโลกใบนี้
หลังจากนั้นเพียง 8 เดือน สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็แผ่มาถึงประเทศไทยผ่านการบุกของญี่ปุ่น ก่อนจะสงบลงในวันที่ 16 สิงหาคม 2488 โดยที่ไทยยังรักษาเอกราชเอาไว้ได้ เพราะการทำงานของขบวนการเสรีไทยที่มีนายปรีดีเป็นหัวหน้านั่นเอง
เมื่อกล่าวถึง “พระเจ้าช้างเผือก” คนมักนึกถึงจุดยืนในทางสันติภาพ เพราะเป็นประเด็นหลักที่ผู้สร้างเขียนไว้ทั้งในหนังสือและเกริ่นไว้ในตอนต้นของเรื่อง แต่หากพิเคราะห์ต่อไปแล้ว จะเห็นได้ว่ามีสารอีกหลายประการที่นายปรีดีได้ใส่ความหมายไว้ให้ผู้ชมได้ขบคิด
ในวาระ 80 ปีของการฉายพระเจ้าช้างเผือก จึงขอนำเสนอ “ศาสตร์พระเจ้าจักรา” ให้คนร่วมสมัยได้ช่วยกันสืบสาน รักษา และต่อยอด

ซึ่งจัดกิจกรรมฉายภาพยนตร์และเสวนาในวันที่ 4 เมษายน 2564
จุดยืนทางการเมืองในยามสงคราม
ภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก” เป็นการนำประวัติศาสตร์ยุคอยุธยามาดัดแปลงผสมจินตนาการขึ้นใหม่ โดยสร้างพระเจ้าจักราขึ้นมาจากเรื่องราวของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ กษัตริย์ซึ่งมีช้างเผือกในรัชสมัยถึง 7 เชือก จนได้รับการขนานพระนามว่า พระเจ้าช้างเผือก ผู้ทรงเคยกระทำยุทธหัตถีกับพระเจ้าแปรในประวัติศาสตร์มาแล้ว
โดยในเรื่องนี้ กำหนดให้พระเจ้าจักราเป็น ‘ยุวกษัตริย์’ และเน้นให้เป็นตัวแทนของพระมหากษัตริย์ซึ่งกล้าหาญ แต่รักสันติ
เรื่องย่อของภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ พระเจ้าหงสา ผู้มีความทะเยอทะยานและประสงค์จะทำลายอโยธยา ได้ทำทีขอช้างเผือกจากพระเจ้าจักรา และเมื่อทรงถูกปฏิเสธ ก็อ้างเป็นเหตุให้รุกรานเข้ามาทางเมือง “กานบุรี” พระเจ้าจักราก็ออกรบต่อตีกับอริราชศัตรู โดยไม่ประสงค์ให้อาณาราษฎรต้องล้มตาย จึงกระทำยุทธหัตถีกับพระเจ้าหงสาจนได้รับชัยชนะ
แต่ความแตกต่างของเรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก” กับภาพยนตร์สงครามในเวลาต่อมานั้นมีหลายประการ เช่น ปกติสงคราม ‘ไทยรบพม่า’ มักพูดถึงความขัดแย้งระหว่าง 2 ฝ่ายเพียงอย่างเดียว แต่ในเรื่องนายปรีดีได้พูดเรื่องสงครามโลกในเวลานั้น ผ่านการแต่งเรื่องทางประวัติศาสตร์ ที่สำคัญคือการเน้นในเรื่องว่า เมื่อพระเจ้าหงสามีพระเจ้าโมกุลแห่งอินเดียหนุนหลังแล้ว ก็จะสามารถแผ่ขยายอำนาจเข้ามายังอโยธยาได้ เป็นการเพิ่มมิติให้เห็นบริบทของการเมืองในระดับภูมิภาค-โลกมากกว่าเพียงหงสากับอโยธยา
และมีหลายต่อหลายครั้งที่พระเจ้าจักรามักทรงปรารภว่า “มิตรภาพจะมีคุณค่าอะไร ถ้ามันเป็นอุปสรรคขวางกั้นความทะเยอทะยาน” (หน้า 225)

ชีวิตอาณาราษฎร
พระเจ้าจักราในเรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นตลอดว่าไม่ประสงค์ให้ไพร่ฟ้าต้องเดือดร้อนจากภัยสงคราม เมื่อถึงจุดที่สามารถจะยุติการเข่นฆ่ากันได้ พระองค์ก็ใช้วิธีเป็นฝ่ายทรงช้างไปหาพระเจ้าหงสาเพื่อขอทำยุทธหัตถี สู้กันตัวต่อตัวเพื่อยุติปัญหา เพราะศัตรูของพระเจ้าจักราคือพระเจ้าหงสาพระองค์เดียวเท่านั้น มิใช่ราษฎรชาวหงสา
ดังนั้น เมื่อเอาชนะพระเจ้าหงสาได้แล้ว จึงทรงปล่อยราษฎรชาวหงสาให้เดินทางกลับมาตุภูมิ โดยมิได้เบียดเบียนบีฑาประการใด ดังมีพระบรมราโชวาทความตอนหนึ่งว่า
“ขอให้ครั้งนี้เป็นบทเรียนสำหรับพวกเจ้า บทเรียนสำหรับพวกเราทุกคน อย่าให้ต้องถูกบังคับขับขี่เช่นวัวควายอีกเลย … จงเล่าขานให้ลูกหลานของเจ้าฟังถึงเรื่องในวันนี้ เรื่องของกษัตริย์ต่อกษัตริย์ทรงกระทำยุทธหัตถีกันเพื่อยุติกรณีพิพาท เพื่อว่าอนุชนรุ่นหลังจะได้รับรู้และกำชับผู้นำของตนให้กระทำเยี่ยงนี้บ้าง หากพวกเขาจำต้องต่อสู้กัน ด้วยวิถีทางนี้เท่านั้น จึงจะทำให้ชนทั้งผองในโลกได้รอดพ้นจากสงครามอันไร้ประโยชน์ และความทุกข์ทรมานที่ไม่จำเป็นเลย” (หน้า 325)
และ “ทหารแห่งหงสา! เก็บอาวุธของพวกเจ้า แล้วกลับไปบ้านเมืองของเจ้า ขอจงมีสันติสุขเถิด” (หน้า 326)

ผู้ประพันธ์ ความไม่พยาบาท นวนิยายเรื่องแรกของไทย
นอกจากนี้ ยังมีอีกฉากหนึ่งที่น่าสนใจมาก คือเมื่อครั้งที่พระเจ้าหงสาจะเกณฑ์ไพร่พลมารบกับอโยธยา ได้เสด็จออกพระระเบียงเพื่อประกาศข่าวการทำสงครามให้พสกนิกรได้รับทราบ ชายสูงอายุคนหนึ่งลุกขึ้นแล้วกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า
“พสกนิกรต่างเหนื่อยล้าจากการทำสงครามไปทั่วทุกคน ในชีวิตของข้าพระพุทธเจ้าได้ถูกสั่งให้ไปทำสงครามกว่าสิบหน และครั้งนี้เพื่อช้างเผือกเพียงเชือกเดียว ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกเชื่อมั่นเหลือเกินว่า สิ่งที่พระองค์มีพระราชประสงค์ให้พวกข้าพระพุทธเจ้าไปตายเพื่อให้ได้มานั้นย่อมสามารถได้มาด้วยวิธีการเจรจาโดยสันติ” (หน้า 267)
ชายผู้นั้นได้รับพระราชทานหอกจากพระเจ้าหงสาพุ่งตรงปักอกที่หัวใจเป็นการปลิดชีพทันที

คติทางประชาธิปไตย
หลังพระเจ้าหงสาปลิดชีพพสกนิกรของตนเองด้วยความโกรธเกรี้ยวไปแล้วนั้น ทรงมีพระราชดำรัสชัดเจนว่า “คำสั่งของข้า คือ กฎหมายสูงสุดยิ่งกว่าอื่นใด” (หน้า 268)
คติทางการเมืองเช่นนี้ตรงกันข้ามกับพระเจ้าจักราทีเดียว
เปรียบเทียบจากตอนต้นเรื่อง เมื่อสมุหราชมณเฑียรเสนอว่า พระเจ้าจักราควรปฏิบัติตามโบราณราชประเพณีในการมีพระมเหสี 365 คน แต่พระเจ้าจักราทรงปฏิเสธ โดยยกสถานการณ์ที่หงสาอาจมาบดขยี้อโยธยาได้ทุกเมื่อ สมควรที่จะหาช้าง 365 เชือกไว้ใช้งานมากกว่านั้น พระองค์ได้ทรงถามความเห็นของเสนาพฤฒามาตย์ที่อยู่ในมหาสมาคม ณ ที่แห่งนั้นก่อนตัดสินใจ
พอเหล่าเสนาฯ พากันโค้งกายถวายความเคารพ เห็นด้วยทุกประการ มีแต่สมุหราชมณเฑียรผู้เดียวที่ไม่เห็นด้วย ดังนี้แล้ว พระเจ้าจักราจึงตัดสินว่า “ในเมื่อบรรดาเสนาบดีส่วนใหญ่ต่างเห็นชอบที่จะจับช้างก่อน เราก็ควรเตรียมให้พร้อมสำหรับการนั้น” (หน้า 226)

ความเป็นอารยะ/ศิวิไลซ์
ในประเด็นการนำเสนอความเป็นอารยะหรือความศิวิไลซ์ของประเทศไทยต่อสายตาชาวโลกนั้น ไม่เพียงปรากฏแต่ในส่วนเนื้อหาที่จะได้กล่าวถึงต่อไปนี้เท่านั้น แต่เรื่องที่อยากตราไว้ในเบื้องต้น คือเรื่องการถ่ายทำภูมิประเทศ ความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้ วิถีชีวิตของผู้คน นาฏศิลป์ ดนตรี โดยเฉพาะเพลงประกอบภาพยนตร์ ที่พระเจนดุริยางค์นำเพลงดนตรีไทยเดิมมาเรียบเรียงแล้วบรรเลงออกมาอย่างไพเราะ ฟังได้โดยไม่ล้าสมัย

ประเด็นสำคัญที่พระเจ้าจักราแสดงให้เห็น คือ “ทรงแก้ไขเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมต่างๆ ให้สอดคล้องกับพระราชอัธยาศัยที่เรียบง่ายและสมถะ กล่าวได้ว่า ในขณะที่ความต้องการจะเปลี่ยนแปลงระเบียบขนบธรรมเนียมเริ่มเกิดขึ้นในประเทศตะวันตกนั้น แผ่นดินไทยโดยพระเจ้าแผ่นดินเองได้ทรงเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลงในแบบเดียวกันแล้ว แผ่นดินไทยจึงเริ่มมีการปฏิรูปขนบธรรมเนียมประเพณีหลายๆ อย่างที่เหมาะสม โดยพระเจ้าแผ่นดินทรงเป็นผู้นำ ในเวลาเดียวกันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตะวันตก” (หน้า 212-213)
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ นายปรีดีได้ยึดถือ “ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่” ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างเคร่งครัด ดังพระบรมราชโองการ ความว่า
“ธรรมเนียมที่หมอบคลานกราบไหว้ในประเทศสยามนี้ เหนว่าเปนการกดขี่แก่กันแขงแรงนัก … ธรรมเนียมที่หมอบคลานนั้น ให้เปลี่ยนอิริยาบถเปนยืนเปนเดิน ธรรมเนียมที่ถวายบังคมแลกราบไหว้นั้น ให้เปลี่ยนเปนก้มสีสะ ธรรมเนียมที่ยืนที่เดินแลก้มสีสะนี้ไช้ได้เหมือนกับธรรมเนียมที่หมอบคลานถวายบังคมแลกราบไหว้”
โดยจะเห็นได้ว่า ฉากในภาพยนตร์ตลอดทั้งเรื่องมีแต่ธรรมเนียมเดิน ยืน และก้มศีรษะเท่านั้น

พระราชาผู้ประเสริฐ
สมุหราชมณเฑียรซึ่งเป็นผู้เร่งรัดให้พระเจ้าจักราปฏิบัติตามโบราณราชประเพณีเรื่องมีมเหสีเทวี 365 องค์นั้น ได้กล่าวสรรเสริญพระมหากษัตริย์ของเขาเมื่อจบเรื่องว่า “พระองค์ทรงรักประเทศกับช้างของพระองค์มากกว่าความคิดที่จะมีพระมเหสี 366 องค์!” (หน้า 338)
โดยในตอนจบ พระเจ้าจักราได้เลือก เรณู ธิดาของสมุหราชมณเฑียรเป็นพระราชินีเพียงพระองค์เดียว โดยไม่มีเบี้ยหวัด เงินปีหรือพระตำหนักส่วนพระองค์ (หน้า 331)
จากนั้น พระราชินีเรณูได้ทูลพระเจ้าจักรา ความว่า “ถึงหม่อมฉันจะเป็นเพียงราชินีกิตติมศักดิ์ ก็ขอให้หม่อมฉันได้ทูลว่า การเลี้ยงดูนางสนมทั้ง 365 นางนั้น จะเป็นการสิ้นเปลืองพระราชทรัพย์อย่างมาก พระราชทรัพย์เหล่านี้ควรจะนำไปใช้ในการส่งเสริมความกินดีอยู่ดีให้แก่ประชาราษฎร์และความรุ่งเรืองของประเทศมากกว่า” (หน้า 332)
และ “ถึงสงครามจะยุติ เราก็ยังต้องการใช้ช้างจำนวนมากไม่เพียงแต่สำหรับกองทัพเท่านั้น แต่สำหรับงานในป่าด้วยเพคะ อีกอย่างหนึ่ง พวกช้างนี่เป็นสัตว์น่ารักนะเพคะ หม่อมฉันชอบมัน … ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทน่าจะทรงนำพระราชทรัพย์ไปใช้จ่ายในการเลี้ยงดูช้างทั้งหลาย” (หน้า 333)
พระเจ้าจักราทรงเห็นพ้องด้วยกับพระราชินีของพระองค์ ทรงชื่นชมว่า “ที่รักของฉัน การณ์จะเป็นไปตามที่เธอบอกมา แต่เธอต้องช่วยฉัน ดูเธอจะเป็นคนเดียวที่เข้าใจฉัน ยิ่งมองเธอ ฉันยิ่งชอบเธอ” (หน้า 333-334)
และยกจากตำแหน่งพระราชินีกิตติมศักดิ์ให้เป็นพระราชินีตัวจริงของพระองค์
“เธอจะมาเป็นราชินีของฉันไหม เป็นราชินีตัวจริงของฉัน” (หน้า 334)

ตั๋วช้าง (เผือก)
พระเจ้าจักราได้แสดงศาสตร์ของพระองค์ไว้ให้ปรากฏแล้ว ถึงความเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ผู้รักประเทศชาติและความสุขของราษฎรยิ่งกว่าความสุขส่วนพระองค์
แม้จะเป็นพระมหากษัตริย์ที่วิเศษถึงเพียงนั้น แต่ก็น่าสงสารพระองค์อยู่ไม่น้อย หากชีวิตของพระองค์จะมีพระราชินีเพียงพระองค์เดียวที่เข้าใจพระองค์ท่าน (“ดูเธอจะเป็นคนเดียวที่เข้าใจฉัน”)
ท้ายที่สุดนี้ จึงขอเชิญชวนผู้อ่านมารับชมภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก” ฟรีแบบมิต้องมี “ตั๋วช้าง (เผือก)” เพื่อว่าอาจจะคนเห็นศาสตร์พระเจ้าจักราในมุมมองแตกต่างออกไปจากผู้เขียนก็เป็นได้
จากหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)
บรรณานุกรม
- ประกาศธรรมเนียมใหม่ จุลศักราช 1235
- ปรีดี พนมยงค์. พระเจ้าช้างเผือก (นครปฐม : หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน), 2558).