fbpx
จุดจบวงการติวเตอร์? : เมื่อ “อูเบอร์สอนภาษา” บุกตลาด

จุดจบวงการติวเตอร์? : เมื่อ “อูเบอร์สอนภาษา” บุกตลาด

[et_pb_section admin_label=”section”] [et_pb_row admin_label=”row”] [et_pb_column type=”4_4″] [et_pb_text admin_label=”Text”]

อิสริยะ สัตกุลพิบูลย์ เรื่อง

“เด็กๆ ควรมีพื้นที่ให้พวกเขาได้เห็นโลกกว้างและจินตนาการถึงอนาคตในแบบที่ตัวเองใฝ่ฝัน”

Cindi Mi, ซีอีโอและผู้ก่อตั้งบริษัท VIPKID [1]

 

ใครที่ต้องการให้บุตรหลานเรียนภาษาอังกฤษจากครูคุณภาพเจ้าของภาษา แต่ไม่มีกำลังทรัพย์มากพอจะส่งเข้าโรงเรียนนานาชาติหรือเรียนต่อต่างประเทศ  วันนี้คุณสามารถให้พวกเขาเรียนรู้และฝึกฝนภาษาอังกฤษกับครูต่างชาติมากประสบการณ์ได้ง่ายๆ แค่ปลายนิ้ว

จะเรียนที่ไหนหรือเมื่อไหร่ก็ได้ เพียงมีคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือสำหรับต่ออินเทอร์เน็ต

แถมเสียค่าใช้จ่ายเพียงน้อยนิดเท่านั้น ไม่ต้องเสียเงินให้ร้านกาแฟและไม่ต้องเสียเวลากับจราจรแสนติดขัด

“อูเบอร์สอนภาษา” คือคำตอบ!

 

เมื่อ “อูเบอร์สอนภาษา” เริ่มฮิตในหมู่เด็กจีน

ผู้เขียนเคยเขียนเล่าเรื่องการเรียนการสอนผ่านคอร์สออนไลน์ขนาดใหญ่ (Massive Open Online Courses หรือ MOOC) ใน จุดจบของมหาวิทยาลัย? MOOC กับความท้าทายใหม่ในโลกการศึกษา เมื่อหลายเดือนก่อน มาวันนี้ธุรกิจการเรียนการสอนออนไลน์ได้ก้าวไปอีกขั้น ด้วยธุรกิจการเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์แบบตัวต่อตัว ซึ่งอาจทำให้ติวเตอร์รับสอนพิเศษตามบ้านหรือสถาบันติวเตอร์ยักษ์ใหญ่ต้องรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ในอีกไม่ช้า

ครูชาวจีนหัวใส Cindi Mi ผู้มีประสบการณ์สอนภาษาอังกฤษให้นักเรียนจีนมานานเกือบ 20 ปีได้ริเริ่มแนวคิดธุรกิจรูปแบบใหม่ โดยก่อตั้งเว็บไซต์ VIPKID (วีไอพีคิด) เพื่อให้ครูสอนภาษาอังกฤษจากสหรัฐอเมริกาสามารถสอนนักเรียนประถมชาวจีนผ่านอินเทอร์เน็ตได้ง่ายๆ โดยในหน้าแรกของเว็บไซต์เขียนอธิบายไว้ว่า “We provide 1-on-1 online full immersion language and content classes based on the US Common Core State Standards.”

ในระบบ VIPKID ครูแต่ละคนจะได้รับค่าจ้างราว 10-22 ดอลลาร์สหรัฐต่อชั่วโมง (ราว 350-770 บาทต่อชั่วโมง) จะได้ค่าแรงมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับคะแนนความนิยมที่นักเรียน “ตัดเกรด” ครูหลังหมดชั่วโมง

นอกจากนั้น ครูไม่จำเป็นต้องเตรียมสื่อการสอนเอง เพราะทางเว็บไซต์จะเตรียมสไลด์คล้ายงานสัมมนาออนไลน์ให้ เนื้อหาการสอนก็ถูกออกแบบมาให้มีรูปแบบสวยงามและน่าสนใจ ตรงตามความต้องการของนักเรียนแต่ละช่วงชั้น และตรงตามหลักสูตรการเรียนการสอนภาคบังคับระดับอนุบาลและประถมศึกษาของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

สิ่งที่ผู้สอนจะต้องเตรียมพร้อมนอกเหนือจากการสอนในแต่ละครั้งคือ การดึงดูดความสนใจและสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับนักเรียน ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำหรือให้กำลังใจนักเรียน การสร้างความรู้สึกสนุกสนานในการเรียนภาษาอังกฤษ ทั้งหมดนี้เพื่อให้ผลสัมฤทธิ์ที่นักเรียนและผู้ปกครองพึงพอใจ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่การเรียนกับคลิปวิดีโอไม่สามารถส่งมอบให้ได้

 

Cindi Mi ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง VIPKID | ที่มา: เว็บไซต์ CKGSB

 

ทางฝั่งของนักเรียนและผู้ปกครองนั้น เพียงแค่เข้าไปสมัครสมาชิกในเว็บไซต์ VIPKID ก็สามารถเลือกครูที่ชอบและเวลาเรียนที่ต้องการได้ตามความพอใจ หากเป็นครูที่ได้ระดับคะแนนความนิยมสูงก็จะยิ่งมีราคาแพง  การเรียนแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 25 นาที ตามด้วยการให้คะแนนครูสอนดีโดยนักเรียน

ในปัจจุบัน เว็บไซต์ยังมีแค่ภาษาจีนกลาง และจำกัดเฉพาะผู้ที่ใช้หมายเลขโทรศัพท์ในประเทศจีนเท่านั้น

 

คลิปตัวอย่างการเรียนการสอนของ VIPKID

 

จากประสบการณ์ของนักเรียนหลายคนพบว่า การเรียนภาษาอังกฤษวันละ 25 นาที เพียงสามครั้งต่อสัปดาห์ ติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งปี สามารถช่วยทำให้เด็กที่ไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติเลยในวันแรกที่เรียน กลายเป็นเด็กที่มีความมั่นใจและพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วในที่สุด อีกทั้งยังสามารถใช้โครงสร้างประโยคที่ซับซ้อน จนผู้ใหญ่หลายคนต้องยกนิ้วให้

 

คลิปตัวอย่างพัฒนาการด้านภาษาของนักเรียน

https://www.youtube.com/watch?v=mri-pHFRDe0

 

แม้ว่าธุรกิจการสอนภาษาอังกฤษแบบตัวต่อตัวและการเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์จะมีมานานแล้ว เช่น Wall Street English หรือ Rosetta Stone แต่ธุรกิจ EduTech Startup (ธุรกิจเพื่อการศึกษาที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต) รูปแบบใหม่นี้สามารถลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้เรียนและผู้สอนได้มากมาย อีกทั้งยังมีระบบการให้ผลตอบแทนครูตามระดับคะแนนความนิยม ซึ่งช่วยการันตีคุณภาพการสอนของครูได้อีกด้วย

VIPKID ยังเป็นช่องทางสร้างรายได้เสริมให้กับครูอเมริกันที่เผชิญงานหนักแต่ผลตอบแทนต่ำ ครูสอนภาษาอังกฤษบางคนได้รับรายได้จาก VIPKID ไม่ต่ำกว่า 1-2 แสนบาทต่อเดือนเลยทีเดียว[2] ข้อดีอีกประการหนึ่งคือบรรดาคุณครูผู้พิการหรือเจ็บป่วยที่อาจไม่สะดวกสอนตามโรงเรียนปกติก็สามารถสอนผ่านเว็บไซต์นี้ได้ไม่ยาก

 

เมื่อ Startup ก็ต้องทำประกันคุณภาพครู

 

การประกันคุณภาพครูเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในธุรกิจนี้  Cindi Mi เคยกล่าวว่า

“สิ่งที่ทำให้ดิฉันกังวลมากที่สุดไม่ใช่จำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้นหรือรายได้ที่เติบโตเหมือนธุรกิจ Startup ทั่วไป หากเป็นเรื่องคุณภาพการสอนและผลสัมฤทธิ์ต่างหาก เพราะเมื่อผู้ปกครองจ่ายเงินให้เราแล้ว เขาควรจะมั่นใจได้ว่าลูกหลานของเขาต้องเก่งภาษาอังกฤษ”[3]

นอกจากระบบการให้ผลตอบแทนครูตามคะแนนความนิยมแล้ว กระบวนการคัดเลือกครูก็มีความเข้มงวดมากเป็นพิเศษ ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็เข้ามาเป็นหนึ่งในทีมผู้สอนของ VIPKID ได้ง่ายๆ

ครู VIPKID แต่ละคนต้องผ่านกระบวนการสมัครและสัมภาษณ์งานเหมือนบริษัททั่วไป ผู้สมัครจะต้องพูดภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันได้ ต้องจบปริญญาตรีแล้วเป็นอย่างน้อย หากมีปริญญาที่เกี่ยวข้องกับการสอนและพัฒนาการของเด็กโดยตรงจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ

นอกจากนั้น ครู VIPKID ต้องผ่านประสบการณ์สอนเด็กอายุ 5-12 ปีมาแล้วอย่างน้อย 1 ปี ทั้งยังต้องส่งวิดีโอแนะนำตัวและตัวอย่างการสอนให้กับคณะกรรมการพิจารณา

จากนั้น ผู้สมัครต้องผ่านการคัดเลือกรอบแรกต้องเข้าสัมภาษณ์และสอนสดต่อหน้าคณะกรรมการคัดเลือกในขั้นตอนสุดท้ายจึงจะได้รับเข้าทำงาน ซึ่งอัตราการเข้ารับทำงานในปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 6-10 ของผู้สมัครทั้งหมด[4] นับว่าเป็นสนามที่มีการแข่งขันสูงและการันตีคุณภาพของผู้สอนได้อย่างดี

 

ครูผู้สอนแชร์ประสบการณ์สัมภาษณ์สุดโหดของ VIPKID

 

ผู้เขียนได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนชาวต่างชาติที่เป็นหนึ่งในทีมผู้สอนของ VIPKID  เขาเล่าว่าการทำงานให้ที่นี่เหมาะกับการใช้ชีวิตอิสระของเขา เพราะสามารถเดินทางท่องเที่ยวไป สอนไปได้โดยใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์

นอกจากนั้น VIPKID ยังได้สร้างกลุ่มชุมชนออนไลน์ระหว่างกลุ่มครูด้วยกัน เพื่อพัฒนาศักยภาพครูและแบ่งปันประสบการณ์การสอนระหว่างกันผ่านช่องทางออนไลน์ ทำให้ระยะทางอันห่างไกลไม่ใช่อุปสรรคในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างครูด้วยกัน โดย VIPKID ได้จับมือกับบริษัท Coursera ผู้ให้บริการ MOOC รายใหญ่ ในการอบรมครูผู้สอนผ่านช่องทางออนไลน์อีกด้วย[5]

 

เมื่อธุรกิจทำกำไร คู่แข่งก็เริ่มไหลมา

VIPKID ประสบความสำเร็จอย่างเกินความคาดหมาย ทั้งที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2013 นี้เอง

ในรอบปี 2016 บริษัทมีครูในสังกัดมากกว่าหนึ่งหมื่นคนทั่วโลก มีจำนวนนักเรียนที่เคยผ่าน VIPKID มาแล้วร่วมแสนคน[6] เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสถาบันการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกก็ว่าได้

บริษัทได้ประกาศระดมทุนเมื่อปี 2015 มูลค่าราว 125 ล้านดอลล่าร์สหรัฐและได้ผู้ถือหุ้นใหญ่ของจีน คือ Sinovation Ventures นำโดย Kaifu Lee อดีตประธานบริษัทกูเกิลประเทศจีน, Yunfeng Capital ของแจ๊ค หม่า มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของจีน, Northern Light, Sequoia Capital China รวมถึง โคบี้ ไบรอัน นักบาสเก็ตบอลชาวอเมริกัน ก็ยังเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทด้วย[7]

ในอนาคต VIPKID ยังวางแผนที่จะขยายการให้บริการครอบคลุมการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และวิชาอื่นๆ เป็นภาษาอังกฤษตามหลักสูตรของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

เมื่อแนวโน้มธุรกิจของ VIPKID ในจีนกำลังมาแรงแบบฉุดไม่อยู่ ในปัจจุบันจึงมีธุรกิจ EduTech Startup หน้าใหม่เริ่มเข้ามาให้บริการสอนภาษาออนไลน์แบบตัวต่อตัวมากขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทเหล่านั้นยังมีขนาดเล็กกว่ามาก ทั้งในแง่จำนวนครูและนักเรียน

ตัวอย่างของบริษัทหน้าใหม่ เช่น ITALKI ที่ให้บริการสอนภาษาแบบตัวต่อตัว โดยไม่จำกัดเฉพาะภาษาอังกฤษเท่านั้น คนไทยก็สามารถสอนภาษาไทยให้กับชาวต่างชาติได้เช่นกัน กลุ่มเป้าหมายของ ITALKI ครอบคลุมบุคคลทั่วไปด้วย ไม่ได้จำกัดเฉพาะเด็กอายุ 5-12 ปีเหมือน VIPKID แต่เรื่องอัตราการให้บริการ ระบบการเรียนการสอน และการคัดเลือกครูมีความคล้ายคลึงกัน

อีกบริษัทที่น่าสนใจ คือ 51 Talk ของฟิลิปปินส์ ซึ่งให้บริการการเรียนการสอนภาษาอังกฤษออนไลน์แบบตัวต่อตัว หากผู้ใช้บริการต้องการเรียนกับครูอเมริกันก็จะต้องจ่ายค่าเรียนมากกว่าการเรียนกับครูฟิลิปปินส์

ธุรกิจ EduTech Startup เจ้าอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันได้แก่ NiceTalkSkimatalk และ Cambly  ทั้งหมดนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และอาจเป็นรูปแบบใหม่ของการเรียนภาษาอังกฤษหรือการเรียนพิเศษที่จะเข้ามาแทนที่การเรียนแบบเดิมๆ

 

การเติบโตของ EduTech Startup สะท้อนความหมดศรัทธาของการศึกษาในระบบ?

ข่าวคราวเกี่ยวกับความสามารถอันต่ำต้อยด้านภาษาอังกฤษของคนไทยไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่นับวัน ปัญหาเรื่องภาษาอังกฤษของคนไทยยิ่งรุนแรง เหลื่อมล้ำ และไร้อนาคต

จากการจัดอันดับความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของคนไทยโดย สถาบัน Education First ในปี 2016 พบว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 56 จาก 72 ประเทศทั่วโลก และอยู่ในอันดับที่ 15 จาก 19 ประเทศในเอเชีย นำหน้าเพียงประเทศศรีลังกา มองโกเลีย กัมพูชา และลาว

เมื่อเปรียบเทียบระหว่างเพศหญิงกับชาย พบว่า ชายไทยมีความสามารถการใช้ภาษาอังกฤษต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลกและเอเชียอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่หญิงไทยนั้นมีคะแนนอยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยมากกว่า (สถิตินี้เป็นจริงในกลุ่มผู้สอบ TOEIC ด้วยเช่นกัน โปรดดู 2015 Report on Test Takers Worldwide: The TOEIC Listening and Reading Test หน้า 12) แม้แต่ในประเทศไทยเอง ระดับความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษยังมีความเหลื่อมล้ำ ดังเห็นได้จากระดับคะแนนเฉลี่ย O-NET ภาษาอังกฤษที่ต่ำกว่าในกลุ่มคนและจังหวัดที่มีรายได้น้อยกว่า อีกทั้งมีระดับคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ราว 31% หรือระดับ “ดีกว่ากามั่ว” เท่านั้น[8]

ในบรรดากลุ่มคนไทยผู้เข้าทดสอบระดับความรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการทำงานหรือศึกษาต่อต่างประเทศอย่าง TOEIC (ไทยอยู่ลำดับที่ 39 จาก 45 ประเทศ)[9] TOEFL (ไทยอยู่ลำดับที่ 21 จาก 35 ประเทศในเอเชีย)[10] และ IELTS (ไทยอยู่ลำดับที่ 24 จาก 40 ประเทศทั่วโลกในกลุ่มผู้สอบเพื่อเรียนต่อต่างประเทศ)[11] ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะแซงหน้าประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ได้ในอนาคตอันใกล้ แม้ว่าคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะมีรายได้และโอกาสทางสังคมที่ดีและสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีแล้วก็ตาม

ท้ายที่สุด ผู้เขียนขอฝากคำพูดตอนหนึ่งจากบทสัมภาษณ์ของ Cindi Mi แห่ง VIPKID ที่ว่า

“ความสำเร็จของ VIPKID … แสดงให้เห็นถึงความคิดของพ่อแม่ชาวจีนรุ่นใหม่ที่เริ่มหมดศรัทธากับระบบการศึกษาจากภาครัฐที่เน้นการสอบแข่งขันเพื่อเอาคะแนน มาสนับสนุนการเสริมสร้างความปรารถนาที่จะเรียนรู้และสำรวจโลกกว้างของเด็ก”[12]

ขออนุญาตกระซิบเบาๆ หวังว่ารัฐบาลไทยและผู้ประกอบการเพื่อการศึกษาหน้าใหม่จะได้ยิน.

 
[/et_pb_text] [/et_pb_column] [/et_pb_row] [/et_pb_section]

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

21 Nov 2018

เมื่อโรคซึมเศร้าทำให้อยากจากไป

เรื่องราวการรับมือกับความคิด ‘อยากตาย’ ผ่านประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คนเคียงข้าง และบทความจากจิตแพทย์

ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์

21 Nov 2018

World

1 Oct 2018

แหวกม่านวัฒนธรรม ส่องสถานภาพสตรีในสังคมอินเดีย

ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก สำรวจที่มาที่ไปของ ‘สังคมชายเป็นใหญ่’ ในอินเดีย ที่ได้รับอิทธิพลสำคัญมาจากมหากาพย์อันเลื่องชื่อ พร้อมฉายภาพปัจจุบันที่ภาวะดังกล่าวเริ่มสั่นคลอน โดยมีหมุดหมายสำคัญจากการที่ อินทิรา คานธี ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์

ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก

1 Oct 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save