วันที่ 12 ธันวาคม หรือ 12.12 ที่ญี่ปุ่น ไม่ใช่วันที่ขาช้อปทั้งหลายเพลิดเพลินกับสินค้าราคาลดกระหน่ำ แต่สมาคมการสอบวัดระดับความสามารถคันจิในภาษาญี่ปุ่น(日本漢字能力検定協会)ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น กำหนดให้วันที่ 12 ธันวาคมของทุกปีเป็น ‘วันคันจิ’(漢字の日)ตั้งแต่ปี 1995 เป็นต้นมา
คันจิ(漢字)คืออักษรจีนในภาษาญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในอักษร 3 ชนิด คืออักษรฮิรางานะ(平仮名)อักษรคาตาคานะ(カタカナ)และอักษรคันจิสองชนิดแรกเป็นอักษรญี่ปุ่นที่ต้องอ่านผสมคำจึงมีความหมาย แต่อักษรคันจิเป็นอักษรภาพที่แสดงความหมายโดยตัวเอง แต่ละตัวมีความหมายเข้าใจได้ทันที และเมื่อนำมาผสมกันก็เกิดเป็นคำที่มีความหมายใหม่ขึ้น เช่น 大 (แปลว่า ใหญ่) 人 (แปลว่า คน) ถ้านำมารวมกันเป็น大人 (แปลว่า ผู้ใหญ่) หรือ 毎 (แปลว่า ทุกๆ) 日 (แปลว่า วัน) ถ้านำมารวมกันเป็น 毎日 (แปลว่า ทุกวัน) เป็นต้น
ญี่ปุ่นรับอักษรคันจิมาจากจีน ย้อนไปราวศตวรรษที่ 6-7 เมื่อญี่ปุ่นรับพุทธศาสนามหายานมาจากจีนผ่านทางคาบสมุทรเกาหลี คัมภีร์พระไตรปิฎกเขียนเป็นอักษรจีนทั้งสิ้น เมื่อต้องการเรียนรู้พระธรรมจึงต้องศึกษาอักษรจีน ญี่ปุ่นได้ดัดแปลงตัวอักษรจีนบางส่วนให้เป็นแบบที่ง่ายขึ้น ประยุกต์ปรับใช้ให้ตรงกับความหมายในภาษาญี่ปุ่น และนำมาใช้ร่วมกับอักษรฮิรางานะที่ประดิษฐ์ขึ้นเอง แต่ในการอ่านออกเสียงยังคงให้มีการออกเสียงทั้งแบบจีน(音)และแบบญี่ปุ่น(訓)อีกด้วย ซึ่งผู้เรียนต้องจำให้ได้ทั้งหมด มิฉะนั้นก็อ่านหนังสือไม่เข้าใจ
ภาษาญี่ปุ่นจึงเป็นภาษาที่แปลกและยากมาก มีอักษรถึง 3 ชนิดใช้ร่วมกันในประโยคเดียวกันอาจมีอักษรทั้ง 3 ชนิด อยู่ด้วยกัน ซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่พบในภาษาอื่นๆ ในโลก นักเรียนตั้งแต่ชั้นประถมหนึ่งจะต้องอ่าน-เขียนได้ทั้ง อักษรฮิรางานะ (46 ตัว) คาตาคานะ (46 ตัว) แล้วตามด้วยอักษรคันจิ ซึ่งกระทรวงศึกษาและวิทยาศาสตร์กำหนดจำนวนคำที่ต้องเรียนรู้ในแต่ละชั้นปีการศึกษาจนถึงชั้นมัธยมปลาย
จำนวนคันจิที่ใช้ในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน เดิมกำหนดให้มี 1,945 ตัว และต่อมาให้เพิ่มขึ้นเป็น 1,981 ตัว และในปี 2010 เพิ่มจำนวนขึ้นอีกเป็น 2,136 ตัว เพื่อให้ครอบคลุมเนื้อหาการสื่อสารในสังคมที่มีรายละเอียดเพิ่มขึ้นตามเวลาที่เปลี่ยนไป ลองคิดดูเล่นๆ ว่า คันจิทั้งหมดนี้หากจับคู่ผสมกัน เป็นคำศัพท์ที่มี 2 ตัวบ้าง 3 ตัวบ้าง หรือ 4 ตัวบ้าง จะเกิดจำนวนคำศัพท์มากมายเพียงใดที่ใช้ในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ยังมีคันจิส่วนที่เกินจาก 2,136 ตัวนี้อีก ซึ่งหากจะใช้ มักเขียนคำอ่านเป็นอักษรฮิรางานะกำกับไว้ด้วย
สมาคมการสอบวัดระดับความสามารถคันจิในภาษาญี่ปุ่น ได้กำหนดให้วันที่ 12 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันคันจิ เริ่มตั้งแต่ปี 1995 เป็นต้นมา หลายคนคงสงสัยว่า ทำไมต้องเป็นวันที่ 12 ธันวาคม นั่นก็เพราะ 12.12 หากอ่านออกเสียงเรียงตามตัว จะพ้องกับความหมายว่า ‘ตัวอักษรดีๆ หนึ่งตัว’(いい字1字)
สมาคมฯ จะคัดเลือกอักษรคันจิ 1 ตัว ที่มีผู้ส่งเข้ามาจากทั่วประเทศที่มากที่สุด ทั้งทางไปรษณียบัตรและทางอินเทอร์เน็ต โดยปีนี้เปิดให้ร่วมโหวตตั้งแต่ วันที่ 1 พฤศจิกายนถึงวันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา และประกาศให้เป็น ‘คันจิแห่งปี’ กล่าวคือ เป็นคำที่มีความหมายสื่อถึงเรื่องราว เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปีนั้น ตั้งแต่ต้นปีจวบจนจะถึงสิ้นปีในเดือนธันวาคมนั่นเอง คนในประเทศต้องผ่านเหตุการณ์อะไรมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ในด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การต่างประเทศ วัฒนธรรม ภัยพิบัติ กีฬา ความบันเทิง เป็นต้น นัยว่าต้องการส่งเสริมให้ผู้คนเข้าใจ สนใจในอักษรคันจิซึ่งถือเป็นวัฒนธรรมของญี่ปุ่น และเพื่อให้ผู้คนได้ทบทวนเรื่องราวในหนึ่งปีที่กำลังจะจบลงและมีความหวังในสิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้นรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงด้วย
นั่นหมายความว่า อักษรคันจิเพียงตัวเดียว สามารถบอกเล่าเรื่องราว ความรู้สึกนึกคิด กระแสสังคม ทั้งเรื่องทุกข์และสุขของคนทั้งประเทศในปีนั้น เป็นเหมือนบันทึกประวัติศาสตร์ประจำปีแบบย่นย่อที่สุด และแสนจะสั้นประจำปีนั้นๆ ก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน่ายินดีหรือเรื่องทุกข์ยากที่เผชิญร่วมกัน นอกจากนั้นยังอาจเป็นเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่คนทั้งโลกต้องเผชิญร่วมกันก็ได้ น่าทึ่งทีเดียว…
พิธีการประกาศ ‘คันจิแห่งปี’ จัดขึ้นที่วัดคิโยมิสึเดระ(清水寺)ที่เกียวโต วัดไม้เก่าแก่สร้างในศตวรรษที่ 8 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก หรือที่นักท่องเที่ยวชาวไทยรู้จักกันในชื่อวัดน้ำใส มีการถ่ายทอดสดออกอากาศ บนระเบียงกว้างชั้นบนของอาคารไม้ ท่านเจ้าอาวาส หลวงพ่อ เซฮัน โมริ(森清範)จะบรรจงเขียนตัวอักษรคันจิที่ได้รับคัดเลือกด้วยพู่กันขนาดใหญ่ มีขนสีขาวทำจากขนหูของวัว ขนาดของพู่กันเฉพาะส่วนขนยาว 11.5 ซ.ม. เขียนบนกระดาษทำมือคุโรทานิของเกียวโตขนาด 150 ซ.ม. x 130 ซ.ม. เป็นกระดาษทำมือผลิตภัณฑ์ของเกียวโตที่ทำสืบทอดกันมายาวนาน
เนื่องจากไม่มีข้อกำหนดว่าจะใช้อักษรตัวเดิมที่เคยใช้มาแล้วไม่ได้ ตลอดช่วง 28 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 1995-2022 จึงน่าแปลกที่มีคันจิตัวเดียวกันครองแชมป์ถึง 4 ครั้ง
ตัวอักษรดังกล่าวคือ 金 (คิน) แปลว่า ‘ทอง’ หรือ จะหมายรวมถึง เงินที่ใช้ซื้อสิ่งของก็ได้ เป็นอักษรประจำปี 2000 ปี 2012 ปี 2016 และปี 2021 นั่นคือญี่ปุ่นได้ครองเหรียญทองในกีฬาโอลิมปิกที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย ลอนดอน อังกฤษ และริโอเดอจาเนโร บราซิล 5 เหรียญ 7 เหรียญ และ 12 เหรียญ ตามลำดับ
ในปี 2021 ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพจัดงานโอลิมปิก 2020 และพาราลิมปิก ที่ต้องเลื่อนมาจัดในปี 2021 จากการระบาดอย่างหนักของโควิด-19 ในปี 2020 การแข่งขันจบลงด้วยดี ได้รับเสียงชมเชยจากนานาประเทศที่ญี่ปุ่นสามารถจัดงานระดับโลกท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้อย่างเรียบร้อย มิหนำซ้ำคนญี่ปุ่นยังภูมิใจที่นักกีฬาญี่ปุ่นคว้าชัยชนะในกีฬาหลายประเภท ได้ ‘เหรียญทอง’(金メダル)มาครองมากกว่าครั้งก่อนๆ จึงนับเป็นเรื่องน่ายินดีและเป็นความภาคภูมิใจของคนทั้งประเทศ
ปี 2020 คำว่า 密 (มิทสึ) แปลว่า ‘เบียดเสียด หนาแน่น ใกล้ชิด ลับตา’ ซึ่งตรงกับการรณรงค์ให้เว้นระยะห่างกัน หลีกเลี่ยง 3 密 หรือ ความหนาแน่นสามชนิด คือ 密閉 (สถานที่อากาศปิดไม่ถ่ายเท) 密集 (การอยู่รวมกันอย่างหนาแน่น) 密接 (การสัมผัสใกล้ชิด ไม่เว้นระยะห่าง) เพื่อลดการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ชีวิตปกติต้องเปลี่ยนไป แต่อันที่จริงแล้ว 密 นี้ ก็มีข้อดีอยู่บ้าง เมื่อต้องทำงานอยู่ที่บ้านหรือออกนอกบ้านน้อยลง ก็ช่วยสร้างความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับครอบครัวยิ่งขึ้น จากการที่ไม่เจอหน้ากัน ไม่ได้คุยกัน ก็หันหน้ามาพูดคุยกัน ปรับทุกข์กัน (โดยเว้นระยะห่างบ้าง)
มีคันจิอีกตัวหนึ่งที่ใช้มาแล้ว 2 ครั้ง ก็คือ 災 (ไซ) (ภัยพิบัติ หายนะ) ได้แก่ ปี 2004 เป็นปีที่ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับแผ่นดินไหว ที่จังหวัดนีงาตะ และปี 2018 เกิดแผ่นดินไหว พายุไต้ฝุ่น และภัยธรรมชาติที่จังหวัดฮอกไกโด
อันที่จริงแล้วในปี 1995 ซึ่งเป็นปีเริ่มแรกของการกำหนดอักษรคันจิประจำปี ก็ประเดิมด้วยอักษรเกี่ยวกับภัยพิบัติ 震 (ชิน)(สั่นไหว) คือเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่โกเบ คร่าชีวิตผู้คนเป็นจำนวนมาก
ส่วนปี 2010 暑 (อากาศร้อน) เป็นปีที่อากาศในฤดูร้อนของญี่ปุ่นร้อนมากที่สุดในรอบ 30 ปี นอกจากนี้ยังมีคันจิที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ การต่างประเทศ การเมือง กล่าวคือ
ปี 1997 倒 (ล้มลง) เป็นปีที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ยักษ์ใหญ่ยามาอิชิ และบริษัทอื่นรวม 4 แห่งประสบภาวะล้มละลายตามติดกันมา
ปี 2008 変 (เปลี่ยน) เป็นเรื่องการเมืองต่างประเทศ คือนายบารัค โอบามา เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
ปี 2009 新 (ใหม่) เป็นครั้งแรกที่พรรคเสรีประชาธิปไตย (พรรคแอลดีพี 自民党) ไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่พรรคฝ่ายค้านได้จัดตั้งรัฐบาล นำโดยนายยูกิโอะ ฮาโตยามะ เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ปี 2014 税 (ภาษี) ปีที่รัฐบาลประกาศขึ้นภาษีผู้บริโภคในรอบ 17 ปี จาก 5% เป็น 8%
ปี 2017 北 (ทิศเหนือ) ในที่นี้หมายถึงเกาหลีเหนือประกาศทดลองขีปนาวุธ
ส่วนคำที่เกี่ยวกับเรื่องกีฬาก็มี เช่น
ปี 2003 虎 (เสือ) คือปีที่ทีมเบสบอลไทเกอร์สขวัญใจประชาชนชนะเลิศในรอบ 17 ปี
ปี 2013 輪 (ห่วง) ในที่นี้หมายถึง 5 ห่วง สัญลักษณ์ของกีฬาโอลิมปิก คณะกรรมการโอลิมปิกกำหนดให้ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก ปี 2020
ก่อนจะเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 คือปี 1999 ปีสุดท้ายของศตวรรษที่ 20 ใช้อักษร 末 (ปลาย, ท้าย)
ส่วนปี 2019 อันเป็นปีที่ญี่ปุ่นเปลี่ยนชื่อรัชศกใหม่จาก 平成 (เฮเซ) เป็น 令和 (เรวะ) เฉลิมฉลองการขึ้นครองราชสมบัติของสมเด็จพระจักรพรรดินารุฮิโตะ อักษรคันจิประจำปีคือ 令 (ความดีงาม ความถูกต้อง)
สำหรับปี 2022 นี้ คำใดได้รับคัดเลือกเป็นคันจิประจำปี ?
เวลาประมาณ 14.00 น. พิธีกรแจ้งให้ทราบว่าปีนี้มีผู้ร่วมส่งคำมาหลายช่องทางเป็นคนหลายวัย รวมทั้งสิ้นกว่า 223,000 เสียง และคำที่ได้รับคัดเลือกประจำปีนี้จำนวนสูงสุด 10,804 เสียง คือ 戦 (เซน) (การต่อสู้ การสู้รบ การทำสงคราม) คำนี้ได้รับคัดเลือกเป็นครั้งที่สองแล้ว
ครั้งแรกคือปี 2001 ที่เกิดเหตุก่อการร้าย 9/11 ที่สหรัฐอเมริกา
ในครั้งนี้ คำว่า 戦 สื่อถึงการที่รัสเซียใช้กองกำลังทหารรุกรานยูเครน กลายเป็นสงคราม การต่อสู้ และมีการสูญเสียชีวิตของผู้คน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่กระทบในวงกว้างต่อผู้คนทั่วโลกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อสำรวจความรู้สึกของคนญี่ปุ่น ต่างก็รู้สึกว่าเป็นปีที่ต้องดิ้นรน ‘ต่อสู้’(戦い)เพื่อการดำรงชีวิตของตัวเอง จากผลกระทบของสงครามรัสเซีย-ยูเครน และผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ยาวนานถึง 3 ปีกว่าแล้ว และยังไม่จบสิ้น สินค้าสำคัญในชีวิตประจำวันมีราคาพุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาพลังงาน น้ำมัน และค่าไฟฟ้า กล่าวได้ว่าแทบไม่มีอะไรที่ยังไม่ขึ้นราคา มิหนำซ้ำ ค่าเงินเยนยังอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว และอ่อนค่าที่สุดในรอบ 32 ปีตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา ซ้ำเติมต้นทุนราคาสินค้าและพลังงานที่ญี่ปุ่นต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ในขณะที่ค่าจ้าง ค่าแรงของผู้คนยังไม่ขึ้น ทำให้ทุกคนต้องรัดเข็มขัดกันอย่างหนัก และ ‘ต่อสู้’ เพื่อการอยู่รอด
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังต้องเผชิญกับการละเมิดอธิปไตย การแผ่อิทธิพลของจีน อีกทั้งการที่เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธมาตกบริเวณน่านน้ำญี่ปุ่นอยู่หลายครั้ง สร้างความตระหนกตกใจแก่คนญี่ปุ่นอย่างมาก รัฐบาลนายฟุมิโอะ คิชิดะ พยายามผ่านกฎหมายเพิ่มงบประมาณในการป้องกันประเทศ เพราะตระหนักในภัยสงครามและการยั่วยุจากประเทศเพื่อนบ้าน
‘การต่อสู้’ ไม่ได้ให้ความรู้สึกต้องปะทะ ห้ำหั่นกันเท่านั้น แต่เรื่องน่ายินดีก็มี เมื่อสื่อถึงทีมฟุตบอลญี่ปุ่นที่พัฒนาจนมีความสามารถโดดเด่น ลงสนาม ‘ต่อสู้’ จนมีชัยเหนือทีมฟุตบอลของเยอรมนีและสเปนในการแข่งขันฟุตบอลโลกปีนี้ และนักกีฬาญี่ปุ่นอื่นๆ ยังโดดเด่นในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่ปักกิ่งอีกด้วย
คำที่ได้คะแนนรองลงมาคือ 安 (อัน) (ราคาถูก อุ่นใจ ปลอดภัย) ซึ่งสื่อถึงตลอดทั้งปีนี้ ชาวญี่ปุ่นต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องวิตกกังวล ไม่สบายใจ ทั้งจากภัยสงคราม การกระทบกระทั่งกับประเทศเพื่อนบ้าน และค่าเงินเยนอ่อนตัว ซึ่งล้วนกระทบต่อการดำเนินชีวิตทั้งสิ้น ผู้คนจึงโหยหาความรู้สึก ‘เบาใจและอุ่นใจ’ คำนี้ได้รับการโหวต 10,616 เสียง ห่างจากอันดับหนึ่งเพียง 188 เสียง จึงอาจกล่าวได้ว่า ทั้งคำในอันดับหนึ่งและอันดับสองต่างก็ถ่ายทอดความรู้สึกของคนญี่ปุ่นในปีนี้ได้เป็นอย่างดีทีเดียว
เมื่อเขียนแผ่นป้ายคำว่า 戦 เสร็จแล้ว ก็นำแผ่นป้ายถวายวัดเป็นเครื่องบูชา แล้วท่านเจ้าอาวาสเริ่มนำสวดภาวนาขอให้ปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า เป็นปีที่ชาวญี่ปุ่นจะสามารถดำเนินชีวิตอย่างอุ่นใจและปกติสุข
ขณะที่ประชาชนทั่วไปมีความรู้สึกทุกข์ใจ วิตกกังวล ไม่อุ่นใจ และต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอด นายฟุมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีก็เปิดเผยความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับคันจิประจำปีนี้ว่าอยากให้เป็นคำว่า 進 (ชิน) (ก้าวไปข้างหน้า ก้าวหน้า) ญี่ปุ่นกำลังเผชิญสิ่งที่ท้าทายหลายอย่าง จึงอยากให้นโยบาย ‘ทุนนิยมใหม่’(新しい資本主義)และความร่วมมือกับกลุ่มประเทศ G7 ดำเนินนโยบายให้สำเร็จลุล่วงไปทีละอย่างๆ
ปีที่แล้ว 2021 เมื่อถูกถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ นายคิชิดะ นายกรัฐมนตรี ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งหมาดๆ ของญี่ปุ่นบอกว่าอยากให้เป็นคำว่า 拓 (ทาคุ) (เปิดกว้าง ขยาย) ซึ่งมีนัยของคำว่า 開拓 (ไคทาคุ) หรือ ‘บุกเบิก พัฒนาให้ก้าวหน้า’ สื่อถึงความมุ่งมั่นว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายต่างๆ ให้ทันสมัย บุกเบิกเรื่องใหม่ๆ ให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ได้ฟังอย่างนี้แล้ว ชาวญี่ปุ่นก็ฮึกเหิมอยากถือจอบ ถือเสียม ร่วมมือกับรัฐบาลใหม่ช่วยกันพัฒนาประเทศ
หนึ่งปีผ่านไป รัฐบาลนายคิชิดะต้องเผชิญกับปัญหาทั้งจากภายนอกและภายในประเทศเอง โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์การลอบสังหารอดีตนายกรัฐมนตรีนายชินโซ อาเบะ(安倍晋三)ขณะกำลังช่วยลูกพรรคปราศรัยหาเสียง ความจริงหลายประการที่สังคมได้รับรู้ ทำให้คะแนนความนิยมของรัฐบาลนายคิชิดะที่เคยพุ่งสูงสุดเมื่อเข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ ก็ลดฮวบลงต่ำสุดอย่างน่าใจหาย
ปีหน้าฟ้าใหม่ 2023 ชาวญี่ปุ่นหวังว่าจะได้บันทึก ‘คันจิแห่งปี’ เป็นคำที่ให้ความสุขใจและรอยยิ้ม
ถ้ามี ‘ภาษาไทยแห่งปี’ บ้าง สำหรับปี 2565 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป ท่านผู้อ่านคิดว่าเราควรใช้ ‘คำภาษาไทย’ ว่า…อะไรดี?