ความรักเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนย่อมประสบในแง่มุมแตกต่างกันออกไป สำหรับผู้ที่ครองเรือนมีชีวิตคู่แล้วไซร้ คู่รักย่อมเป็นบ่อเกิดแห่งความสุข และเป็นที่เชิดหน้าชูตาแห่งเกียรติอันเกิดจากความประพฤติอันงดงามนั่นเอง
พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ผู้มีกำเนิดมาเป็น ม.จ.ธานีนิวัต โสณกุล (ซึ่งต่อไปในบทความนี้จะขอเรียกอย่างย่อเพื่อความสะดวกในการเอ่ยถึงว่า ‘ธานี’ โดยมิได้มุ่งแสดงความกำเริบเสิบสานแต่ประการใด) นั้น ก็อยู่ในข่ายนี้ คือมีเมียดี เป็นที่เพิ่มพูนเกียรติให้สามีได้ แม้ท่านทั้งสองจะล่วงลับดับชีพไปหลายสิบปีแล้วก็ตาม
ในบทความนี้ขอเสนอเรื่องหม่อมประยูร โสณกุล ณ อยุธยา ภรรยาของธานี ซึ่งมิเคยประพฤติผิดใดๆ ให้สามีด่างพร้อย และธานีเองก็ไม่เคยแสวงหาลาภยศอันมิชอบใดๆ ให้หม่อมของเขา รวมถึงไม่เคยมีหญิงคนสนิทอื่นๆ หรืออนุภรรยาเลย
ประวัติ
ประยูรเป็นธิดาของเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ซึ่งเกิดจากนางโต เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2441 ที่บ้านบางขุนพรหม กรุงเทพฯ โดยนางโต ผู้เป็นมารดาของประยูรนั้น เป็นลูกสาวของพระยาไชยวิชิตสิทธิสาตรา (นาค) กับคุณหญิงนวน อนึ่ง ท่านผู้หญิงตลับ เอกภรรยาของเจ้าพระยายมราชนั้น เป็นน้องสาวของนางโตผู้นี้
ในด้านการศึกษา ประยูรได้รับการอบรมเยี่ยงกุลสตรีในสมัยนั้นจากสำนักเจ้าจอมมารดาแส ในรัชกาลที่ 5 ในพระบรมมหาราชวัง และได้เข้าเรียนในโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์และโรงเรียนราชินีตามลำดับ นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้กว้างขวางขึ้นจากการติดตามเจ้าพระยายมราชผู้บิดาไปในที่ต่างๆ
สมรส
เมื่อประยูรอายุได้ 20 ปี ได้สมรสกับ ม.จ.ธานีนิวัต โสณกุล เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2461 ที่พระราชวังบางปะอิน โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้าทรงเป็นเจ้าภาพจัดงานพระราชทาน รวมทั้งพระราชทานเลี้ยงอาหารกลางวัน ณ สถานที่แห่งนั้นด้วย
ธานีเล่าถึงมูลเหตุแห่งการสมรสเอาไว้ว่า “ใน พ.ศ. ๒๔๖๑ พ่อได้กราบบังคมทูลสมเด็จพระพันปีหลวงซึ่งทรงรบเร้าอยู่เสมอให้แต่งงานนั้นว่า เป็นอันตกลงขอพระมหากรุณาในเรื่องนี้ แต่คนที่ทรงเลือกประทานหลายคนนั้นเผอิญพ่อไม่รู้จัก บัดนี้ก็ไม่รู้จัก แต่ตกลงสนองพระมหากรุณา ได้ทูลว่าได้เลือกเอาแม่นี้แหละ” ทั้งนี้ เพราะธานีเคยรับราชการเป็นเจ้ากรมราชเลขานุการในพระราชสำนักที่ตั้งขึ้นใหม่สำหรับสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ นับตั้งแต่ปีที่สมเด็จพระปิยมหาราชสวรรคต ดังความตอนหนึ่งว่า “ความจริงป้า (หมายถึงสมเด็จพระพันปีหลวงฯ) ไม่มีงานอันใดจะให้ทำดอก หากลูกโต (หมายถึงรัชกาลที่ 6) เขาไม่มีคนจะใช้ เขาตั้งตำแหน่งให้ป้าอย่างนี้ จึ่งขอแกมา แกก็ไปทำราชการกับเขาเถิด”
สำหรับการเป็นเจ้าภาพจัดงานพระราชทานนั้น ธานีเล่าว่าเป็นเพราะ “โดยเหตุที่พ่อเป็นลูกกำพร้าทั้งพ่อทั้งแม่ จึ่งจะทรงรับเป็นพ่อและให้เทียบเกียรติที่จะพระราชทานอย่างลูกหลวง คือพระราชทานเลี้ยงกลางวันที่พระราชวังบางปะอินอันเป็นที่ประทับอยู่ ณ บัดนั้น ทั้งยังพระราชทานเงินรับไว้พ่อ ๑๕ ชั่ง กระดุมข้อมือ ว.ป.ร. เพชรลงยา ๑ คู่ พระราชทานเข็มพระบรมนามาภิไธย ราม ร. เพชร ๑ อัน และเงินรับไว้ ๑๐ ชั่งแก่แม่”
ธานีกับประยูรมีลูก 4 คน คือ ม.ร.ว. ผู้ชายซึ่ง “ตายเสียแต่ยังเล็กอายุไม่ถึงกี่วัน” แล้วก็มี ม.ร.ว.นิวัตวาร ม.ร.ว.ปาณฑิตย์ และ ม.ร.ว.สุพิชชา
ชีวิตหลังสมรส
ประยูรเป็นผู้หญิงแบบโบราณ คือดำรงชีวิตอยู่เพื่อคนอื่นโดยแท้ คอยดูแลทุกข์สุขของทุกๆ คนในครอบครัว ไม่เพียงแต่ลูกหลานเท่านั้น ยังรวมไปถึงน้องๆ ของธานี ซึ่งเป็นหม่อมเจ้าผู้หญิงอีกหลายองค์ด้วย นอกจากนี้แล้ว ในวังนั้นยังมีท้าววรจันทร์ (เจ้าจอมมารดาวาดในรัชกาลที่ 4) คุณย่าของธานีเป็นใหญ่อยู่ด้วย ประยูรก็สามารถปรับตัวจนเป็นที่โปรดปรานของท่านได้
สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ตั้งข้อสังเกตว่า น้องสาวของธานีนั้น หลายองค์มีอายุมากกว่าประยูร ด้วยเหตุนี้ เธอผู้เป็นพี่สะใภ้ก็จะเรียกหม่อมเจ้าหญิงแห่งโสณกุลว่า ‘ท่านหญิง’ ส่วนเจ้าหญิงเหล่านี้ก็เรียกเธอว่า ‘แม่ประยูร’ โดย ม.จ.สิบพันพารเสนอ โสณกุล เคยรับสั่งกับสุลักษณ์ว่า “ฉันขอชมแม่ประยูร เขามาเป็นสะใภ้บ้านเรา ตัวคนเดียว มาเจอพวกเราสาวๆ ที่เป็นน้องผัวของเธอตั้งหลายคน แต่แล้วเธอก็ปรับตัวให้เป็นที่รักใคร่ชอบพอของเราทุกคนได้”
สุลักษณ์ยังกล่าวชื่นชมประยูรไว้ว่า “หม่อมประยูรมีเวลาให้สามี และลูกๆ ตลอดจนญาติของสามีและญาติของท่านเอง ตลอดจนมิตรสหายทั้งหลายอย่างเป็นกำลังใจเบื้องหลัง ดังแทบไม่เห็นท่านออกงานการใดๆ แต่การงานต่างๆ ทั้งรั้ววังของในกรมฯ นั้น ท่านดูแลในรายละเอียดต่างๆ หมด และเป็นกันเองกับทุกชนชั้น แม้ดูท่านออกจะอายๆ และเก็บตัว แต่ถ้าคุ้นเคยกับท่านแล้ว ท่านคุยด้วยอย่างไม่ถือตัวเอาเลย”
ประยูรยังมีความอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นเดียวกับธานี สามีของเธอ ดังที่สุลักษณ์เล่าเอาไว้ว่า เมื่อ ม.จ.อาชวดิศ ดิศกุล ทรงเสกสมรสกับพระองค์เจ้าศิริรัตนบุษบงนั้น ได้มาขอให้ธานีและประยูรไปปูที่นอนให้บ่าวสาว ทีแรกเธอปฏิเสธเพราะอ้างเหตุไม่มีชาติวุฒิ แม้บิดาท่านเป็นเจ้าพระยา แต่ก็เป็นเพียงสามัญชน ต่อท่านชายและพระองค์หญิงอ้อนวอน โดยให้เหตุผลว่านับถือในคุณสมบัติของธานีและเธอนอกเหนือจากความเป็นญาติ เธอจึงยอมรับปูที่นอนให้
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
ประยูรไม่เคยรับราชการมีตำแหน่งใดๆ แม้กระทั่งที่ปรึกษาในคณะกรรมการต่างๆ ในสมัยนั้น แต่เธอก็ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามโอกาสสำคัญต่างๆ ตามความดีความชอบหรือสถานะของธานีผู้เป็นสามีของเธอ ดังนี้
ในปี พ.ศ. 2461 ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตติยจุลจอมเกล้า เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ราว 3 เดือนหลังจากเสกสมรสกับธานีในเดือนกันยายน (ขณะนั้นขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน) อนึ่ง ในคราวเดียวกันนั้น ธานีได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ
ครั้นปี พ.ศ. 2467 ในพระราชพิธีฉัตรมงคล พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เธอได้รับเลื่อนเป็นทุติยจุลจอมเกล้า (ส่วนธานีได้รับเลื่อนเป็นปฐมจุลจอมเกล้า ตั้งแต่ พ.ศ. 2465)
ต่อมาในปี พ.ศ. 2493 คราวที่มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ประยูรได้รับเลื่อนขึ้นเป็นทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ
แม้หลังจากนั้น ธานีจะได้เป็นถึงผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ดี เป็นประธานองคมนตรีก็ดี เขาก็มิได้ใช้เส้นสายให้หญิงคนรักของตนได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ใดๆ เลย
ความอ่อนน้อมถ่อมตัว ไม่แสวงหาผลประโยชน์ของธานีนี้เป็นที่ประจักษ์ ดังมีเรื่องเล่าว่ามีผู้เสนอให้เลื่อนกรม จากที่เดิมเป็นกรมหมื่นขึ้นเป็นกรมหลวง แต่ธานีเองกลับเป็นผู้คัดค้าน โดยอ้างธรรมเนียมว่า (ในกรณีที่ไม่ใช่พระ) พระองค์เจ้าตั้งที่ทรงกรมนั้น เป็นได้มากสุดเพียงกรมหมื่นเท่านั้น
ความรุนแรงในการปกครอง
ไม่ปรากฏว่าประยูรใช้ความรุนแรงใดๆ กับบ่าวในบ้านหรือไม่ แต่มีกรณีที่ปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์ซึ่งเชื่อมโยงกับเธอผ่านทางความเป็นญาติได้ นั่นคือการลงโทษบ่าวในบ้านของหม่อมเจ้าประวาศสวัสดี ชายากรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช พระราชโอรสในรัชกาลที่ 5 ทั้งนี้ เพราะท่านหญิงองค์นี้เป็นพี่สาวของธานีนั่นเอง อย่างไรก็ดี เจ้าหญิงองค์นี้สิ้นชีพิตักษัยไปตั้งแต่ พ.ศ. 2445 ก่อนหน้าที่เธอจะเสกสมรสกับธานี
กรณีของหม่อมเจ้าประวาศสวัสดีมีว่า อำแดงวง ยื่นฟ้องได้ท่านหญิงผู้เป็นนายจ้าง เป็นคดีพิพาททำร้ายร่างกายเมื่อ พ.ศ. 2443 (ร.ศ. 119) ฐานที่เอาหนังแรดเฆี่ยนตี ดังความตอนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าเป็นแต่ลูกจ้าง ซึ่งจะกดขี่เฆี่ยนตีเช่นนี้ไม่ถูก หม่อมเจ้าหญิงประวาศก็หาฟังไม่…ข้าพเจ้ายื่นฟ้องต่อศาลให้ปรับจำเลยเป็นเงิน ๓๐๐ บาท ๕๖ อัฐ ถานเฆี่ยนตีข้าพเจ้าโดยผิดกฎหมาย คือ ข้าพเจ้ามิได้เป็นทาษลูกหนี้ของจำเลย”
อย่างไรก็ดี แม้อำแดงวงจะไม่ได้มีสถานะเป็นทาสตามระบบสังคมเดิมแล้ว แต่กรณีของเธอก็เสมือนเป็นทาสรูปแบบใหม่ เพราะเป็นการรับจ้างทำงานให้ โดยรับเงินล่วงหน้าเป็นเงินก้อนจำนวน 261 บาท โดยหนี้เงินนี้จะลดลง 4 บาท ต่อการทำงาน 1 เดือน ซึ่งเมื่อคิดตามอัตรานี้ เธอต้องทำงานอยู่นานถึง 5 ปี จึงปลดเปลื้องพันธะได้
ถึงที่สุดแล้ว คดีนี้ศาลยกฟ้อง ตามพระราชกระแสของสมเด็จพระปิยมหาราช รัชกาลที่ 5 ที่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นความเล็กน้อย ให้เป็นการแล้วกันไป
ส่งท้าย
น่าคิดว่า ถ้ากรณีของหม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดีเป็นคดีในปัจจุบัน ศาลยุติธรรมจะวินิจฉัยอย่างไร และอย่างน้อยก็นับเป็นเคราะห์ดีของธานี ที่หญิงคนรักของเขามิได้มีพฤติกรรมใช้ความรุนแรงกับบ่าวในบ้านให้ปรากฏขึ้นเป็นมากรณีพิพาทเช่นนี้
บรรณานุกรม
- พิทยลาภพฤฒิยากร, พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่น, อัตตชีวประวัติ (พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงพระศพ พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ณ พระเมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส 15 ธันวาคม 2517), หน้า 53.
- ภาวิณี บุนนาค, รักนวลสงวนสิทธิ์(กรุงเทพฯ : มติชน, 2563), หน้า 74.
- ภาวิณี บุนนาค, ผู้หญิงในกระบวนการยุติธรรมในสังคมไทย รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึง พ.ศ. 2478 : ศึกษาจากคดีความและฎีกา (วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2554), หน้า 84.
- ราชกิจจานุเบกษา, เล่มที่ 35, 26 มกราคม 2461, หน้า 2930.
- ราชกิจจานุเบกษา, เล่มที่ 41, 23 พฤศจิกายน 2467, หน้า 2659-2660.
- ราชกิจจานุเบกษา, ตอนที่ 25 เล่มที่ 67, 2 พฤษภาคม 2493, หน้า 1806-1807.
- ส. ศิวรักษ์, อ่านคน-ไทย (กรุงเทพฯ : ศยาม, 2548), หน้า 132-138.
- เอกสารราชการมณฑลนครศรีธรรมราชในสมัยที่เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เป็นข้าหลวงเทศาภิบาล ร.ศ. 115-125 (พ.ศ. 2439-2449) (พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ หม่อมประยูร โสณกุล ณ อยุธยา ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส 23 มีนาคม 2520), หน้า (1)-(2).