ครั้งหนึ่งผมได้มีโอกาสพบนักธุรกิจรายใหญ่ของจีนท่านหนึ่ง ซึ่งกำลังเจรจากับภาครัฐไทยเพื่อตัดสินใจย้ายฐานการลงทุนมาไทย ผมถามท่านว่าเจรจากับฝ่ายไทยเป็นอย่างไร คำตอบที่ได้รับคือ โหดหินมาก
ผมแอบดีใจว่าไทยเราเองก็เป็นนักเจรจาชั้นยอด แต่พอท่านเฉลยสาเหตุของความโหดหิน เล่นเอาขำไม่ออก ท่านบอกที่โหดหินเพราะฝ่ายไทยดูเหมือนจะไม่รู้ว่าจุดยืนของตนต้องการอะไร แถมเวลาตั้งโต๊ะเจรจาก็ต้องคุยกับหน่วยงานรัฐหลากหลายที่ไปคนละทิศละทาง ไม่มีการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ไม่มีหัวหน้าทีมเจรจาที่คุมยุทธศาสตร์และภาพรวมทั้งหมดได้
โลกการแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะเป็นโอกาสมหาศาลให้แก่ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายที่เล่นเกมเป็น และเกมที่สำคัญคือเกมเจรจา เริ่มต้นจากต้องรู้ว่าตนต้องการอะไร และมีไพ่อะไรอยู่ในมือ
หากถามนักวิชาการและผู้นำในวงยุทธศาสตร์การต่างประเทศของไทย ทุกคนจะย้ำเน้นถึงความสำคัญว่าไทยต้องวางตัวรักษาสมดุลระหว่างสองมหาอำนาจ ไม่มีใครแนะนำให้ไทยเลือกข้าง
แต่การรักษาสมดุลเองก็ทำได้สองลักษณะครับ แบบแรกคือรักษาสมดุลเชิงรับ คือจีนมาคุย เราก็กล้าๆ กลัวๆ เพราะกลัวจะผิดใจกับสหรัฐฯ พอถึงคราวสหรัฐฯ มาคุย เราก็ขออยู่เฉยๆ ดีกว่า เพราะกลัวผิดใจกับจีน สรุปคือไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะกลัวไปเหยียบหนวดมังกรหรือกระตุกต่อมพญาอินทรีถ้าไปคบหากับอีกฝ่าย
ต่างจากรูปแบบที่สอง คือรักษาสมดุลเชิงรุก เมื่อฝ่ายจีนมาคุย เรามีจุดยืนชัดเจนถึงผลประโยชน์ของชาติและสิ่งที่ไทยต้องการ หากเจรจาไม่ได้ก็มีทางเลือกคือฝั่งสหรัฐฯ เมื่อสหรัฐฯ มาคุย เราเองก็มีอำนาจต่อรองชัดว่าถ้าคุยไม่ได้ประโยชน์สมเหตุสมผล เราก็มีฝั่งจีนที่กำลังตามจีบเราอยู่เช่นกัน
การเจรจาในระดับธุรกิจก็ไม่แตกต่างกัน ในโลกที่ธุรกิจยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ และจีนกำลังออกไปบุกโลก ธุรกิจไทยเองต้องวางยุทธศาสตร์รักษาสมดุลเชิงรุก เข้าใจอำนาจต่อรองของตนที่สูงขึ้นในเกมการแข่งขันระหว่างสองขั้วธุรกิจ และอาศัยเกมเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงที่เป็นประโยชน์สูงสุดกับฝ่ายเรา
ผมมักสรุปเป็นคำย่อ 3M เพื่อเป็นธงนำกลยุทธ์ในการเจรจาและวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ในโลกทวิภพ ไม่ว่าจะในระดับชาติหรือระดับธุรกิจ
M ตัวแรก คือ Middle Power ไทยต้องตระหนักว่าในเกมการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจหลักทั้งสองในปัจจุบัน สถานะของไทยและอาเซียนนับว่าเป็นมหาอำนาจระดับกลาง (Middle Power) ความเข้าใจนี้จะทำให้เราตระหนักในอำนาจต่อรองที่เรามี และความสำคัญของเกมเจรจาเพื่อรักษาสมดุลเชิงรุก
ในอดีตเรามักถ่อมตัวว่าเราเป็นประเทศเล็ก จึงต้องดำเนินการต่างประเทศแบบโอนอ่อนตามมหาอำนาจ ขาดการดำเนินการเชิงรุกที่เหมาะสมกับสถานะที่สูงขึ้นของไทยและอาเซียนในเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในบริบทที่ไทยและอาเซียนมีความสำคัญสูงมากทั้งต่อสหรัฐฯ และจีนในเชิงยุทธศาสตร์
ไทยเองยังต้องพยายามยกระดับบทบาทของไทยในเกมภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาค ซึ่งจะส่งผลให้สามารถสร้างอำนาจต่อรองที่สูงขึ้นกับจีนและสหรัฐฯ ในการเจรจาหรือแสวงความร่วมมือเรื่องต่างๆ
ในการเจรจา เอาไม่เอาไม่ใช่คำตอบ ดีเบตในประเทศไทยเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับจีนหรือสหรัฐฯ มักวนเวียนอยู่ที่คำถามจะเอาหรือไม่เอา เช่น เอาหรือไม่เอาข้างจีน เอาหรือไม่เอาทุนจีน เอาหรือไม่เอารถไฟจีน เอาหรือไม่เอาวัคซีนจีน ฯลฯ มากกว่าที่จะเป็นคำถามว่าจะเอาอย่างไร เอาด้วยเงื่อนไขใด
แนวทางที่ควรจะเป็นคือการมีจุดยืนว่าประเทศไทยต้องการอะไรและมีมาตรฐานอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานสิ่งแวดล้อม แรงงาน กฎหมายแข่งขันทางการค้า และมีแนวทางการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ เพื่อส่งเสริมการแข่งขันและกำกับดูแล ไม่ว่าจะเป็นทุนจากจีนหรือทุนจากสหรัฐฯ และไม่ว่าจะเป็นโครงการความร่วมมือกับจีนหรือกับสหรัฐฯ
M ตัวที่สองคือ Mitigating Risks ไทยต้องดำเนินยุทธศาสตร์ที่เน้นกระจายความเสี่ยงในโลกที่ผันผวนและยังคงไม่แน่นอนว่าใครจะเป็นผู้ชนะในเกมการแข่งขันระหว่างสองมหาอำนาจ
การกระจายความเสี่ยงอาจแบ่งได้เป็นสามมิติ มิติแรก คือรักษาสมดุลและกระจายความเสี่ยงระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ตัวอย่างเช่นการวางยุทธศาสตร์เทคโนโลยีของไทย ต้องพยายามเชื่อมโยงเข้ากับทั้งสองห่วงโซ่เทคโนโลยี เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพื่อไม่ให้เกิดกรณีแทงม้าตัวเดียว ท่ามกลางสภาวะการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่างสองค่ายในการปฏิวัตินวัตกรรม ซึ่งยังคงไม่แน่นอนว่าค่ายใดจะชนะหรือเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมหรือเทคโนโลยีใด
มิติที่สอง คือกระจายความเสี่ยงสู่ขั้วที่สามและมหาอำนาจรอง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ด้านการค้าและการลงทุนเชิงรุกกับสหภาพยุโรป รัสเซีย ญี่ปุ่น อินเดีย กลุ่มประเทศแอฟริกา กลุ่มประเทศลาตินอเมริกา กลุ่มประเทศเอเชียใต้ กลุ่มประเทศเอเชียกลาง
นอกจากนั้น ในยุทธศาสตร์การค้ากับจีนก็ต้องกระจายความเสี่ยงไปยังหลากหลายมณฑลและคลัสเตอร์เมือง ไม่ใช่พึ่งพาเฉพาะการค้ากับมณฑลกว่างตงเป็นหลักดังเช่นที่ปรากฏในสถิติการค้าไทย-จีน (จากข้อมูลปี 2018 การค้าระหว่างไทยกับกว่างต่งคิดเป็น 1 ใน 4 ของการค้ากับจีนทั้งหมด)
มิติที่สาม คือกระจายความเสี่ยงในการดำเนินยุทธศาสตร์ของแต่ละภาคเศรษฐกิจภายในประเทศ เช่น ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเคยพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก รวมทั้งต้องกระจายความเสี่ยงเรื่องห่วงโซ่การผลิตในอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยีหรือการแพทย์ ไม่ให้พึ่งพิงประเทศมหาอำนาจใดสูงเกินไป เพื่อไม่ให้มหาอำนาจใช้เป็นเครื่องกดดันไทยได้
M ตัวสุดท้ายคือ Mainland Southeast Asia ไทยต้องวางยุทธศาสตร์เป็นประเทศศูนย์กลางและเป็นจุดเชื่อมโยงกับประเทศอาเซียนภาคพื้นทวีป ได้แก่ กัมพูชา เมียนมา ลาว และเวียดนาม ธุรกิจไทยเองก็ควรต้องมองเป้าหมายระดับตลาดอาเซียนภาคพื้นทวีป ไม่ใช่เฉพาะตลาดไทย และต้องวางตนเป็นพันธมิตรธุรกิจกับจีนในการร่วมกันบุกตลาดอาเซียนภาคพื้นทวีป ซึ่งไทยมีความคุ้นเคยกว่าจีน รวมทั้งให้ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตและกระจายสินค้าสู่อาเซียนภาคพื้นทวีป
ไทยต้องมีความเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคมากยิ่งขึ้น ไทยควรแสดงบทบาทเชิงรุกในการประสานกับประเทศลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อมีจุดยืนร่วมกันที่ชัดเจนในประเด็นนโยบายสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับจีน และเพื่อสร้างอำนาจต่อรองจากการรวมกลุ่ม เช่น ประเด็นการสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงตอนบน
หากให้สรุป จะเห็นว่าทั้ง 3M ล้วนเชื่อมโยงกัน M ตัวแรก Middle Power คือเข้าใจอำนาจต่อรองของไทย M ตัวที่สอง Mitigating Risks คือต้องพร้อมมีทางหนีทีไล่ อย่าเอาไข่ทั้งหมดใส่ในตะกร้าใบเดียว และ M ตัวสุดท้ายคือ ต้องมีฐานที่มั่นของตนที่มั่นคง โดยมองในระดับตลาดอาเซียนภาคพื้นทวีป ไม่ใช่เพียงตลาดภายในประเทศ
ยุทธศาสตร์ 3M จะเป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและพลังการรักษาสมดุลเชิงรุกให้กับไทยในโลกภูมิรัฐศาสตร์ที่ผันผวน หมดยุคที่จะเล่นเกมการทูตแบบลู่ตามลม